เขาหล่อเขาร้ายและร้อนแรงดังเปลวเพลิงที่พร้อมจะละลายน้ำแข็งอย่างเธอ ให้เดือดพล่านด้วยไฟเสน่หา.. ++++++++++ “คนบ้าปล่อยนะ พี่แสน อ๊ายย” หญิงสาวหวีดร้องเสียงหลงเมื่อภาสกรก้มลงหอมแก้มใสหนักๆ อย่างมันเขี้ยวและอยากแกล้ง “แก้มน้ำแข็งหอมจัง” “พี่แสนคนบ้า รังแกน้ำแข็ง คอยดูนะน้ำแข็งจะฟ้องพี่ธาร” หญิงสาวหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย “ฟ้องไอ้ธารคนเดียวเหรอ ฟ้องคุณอาด้วยสิ และฟ้องให้หมดด้วยนะว่าพี่ทำอะไรบ้าง” “พี่แสนจะทำอะไร ว้าย.. ปล่อยนะ คนบ้า พี่แสน กรี๊ดดด..” ทิพย์ธาราหวีดร้องเสียงหลงเมื่อตกอยู่ในวงแขนที่รัดแน่นของเขาแล้วทิพย์ธาราก็รู้ได้ทันทีว่าตนตกเป็นรองเขาหญิงสาวดิ้นเร่าอย่างโมโหฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ความเยือกเย็นที่มีก่อนหน้าหายไปสิ้น เพราะเมื่อปะทะกับเขาทีไรเธอก็มักจะเป็นเช่นนี้และไม่สามารถควบคุมตัวเองให้สงบเยือกเย็นได้นานเลยสักครั้ง
“คุณปู่มาที่นี่ทำไมครับ..” แสน หรือ เด็กชายภาสกร ไทเลอร์ เกรย์ เด็กชายวัยเก้าขวบ ถาม คุณโลแกน ผู้เป็นปู่อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมคุณปู่ของตนต้องพาเขามาที่บ้านหลังเล็กจ้อยแบบนี้ บ้านหลังเล็กจ้อยแต่น่ารักร่มรื่นน่าอยู่ สำหรับภาสกรบ้านของคนอื่นเล็กหมดนั่นล่ะ เพราะเขาเติบโตมาในคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่าพื้นที่กว้างขวาง บ้านใครที่เล็กกว่าคฤหาสน์ของเขาคือเล็กกระจ้อยร่อยทั้งนั้น
“มาเยี่ยมน้องไงล่ะ” ผู้เป็นผู้ตอบยิ้มๆ ท่าทางของคุณปู่มีความสุขมาก มากกว่าตอนที่น้องๆ เขาเกิดเสียอีก
คุณอาภาค หรือ ทวิภาค เป็นน้องชายต่างแม่ของ คุณลูอิส ไทเลอร์ เกรย์ ผู้เป็นบิดาของเขา
“แต่ผมมีน้องแล้ว”
“นี่ก็เป็นน้องอีกคน น้องเล็กสุดของเราไง..” เด็กชายนึกถึงทารกตัวแดงๆ เหมือนน้องๆ ฝาแฝดของตนแล้วก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่มีเด็กคนไหนน่ารักเท่ากับน้องๆ ของตนแน่นอน...
“อี๋ ท่าทางจะไม่น่ารักเหมือนน้องของผมหรอก”
“ฮ่าๆ ใครจะน่ารักไปกว่าไอ้สองแสบของหลานล่ะ” คุณโลแกนหัวเราะหลานชายที่ทั้งรักและหวงน้องๆ ทั้งสองของตนมาก ใครก็น่ารักสู้สองแสบน้องชายน้องสาวฝาแฝดของตนไม่ได้ซึ่งภาสกรนั้นทั้งโอ้อวดทั้งรักน้องทั้งสองยิ่งกว่าอะไร
เอกธนา กับ อุษาพิไล เด็กชายหญิงวัยสี่ขวบนั้นกำลังซนเลยทีเดียว แต่ภาสกรก็รักน้องทั้งสองมากแต่กับเด็กคนอื่นๆ ภาสกรจะไม่ค่อยสุงสิงด้วย เหมือนจะรักแต่น้องตัวเองคนอื่นไม่รักอะไรทำนองนั้น
ภาสกรเป็นหลานรักที่เขารักมากเพราะเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมั่นใจในตัวเองและเรียนเก่งระดับอัจฉริยะคุณโลแกนจึงพาเด็กชายไปไหนมาไหนด้วยเสมอ เพื่อสอนงานและสอนการใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายให้หลานรัก โดยหมายมั่นไว้ว่าภาสกรจะสืบทอดกิจการของตนได้ดีและภาสกรจะทำให้ไทเลอร์ เกรย์ ยิ่งใหญ่และมั่นคงมั่งคั่งได้อย่างแน่นอน
เด็กชายลูกผสม ไทย แม็กซิกัน อเมริกัน คนนี้หน้าตารูปร่างแทบไม่มีเค้าของความเป็นคนเอเชียเลยก็ว่าได้ ใบหน้าเรียวคมคายดวงตาสีเขียวมรกตเหลือบทองดูสวยแปลกตา กับเรือผมสีน้ำตาลเข้มประกายแดงนิดๆ นั้นทำให้เวลาที่เรือนผมหยกศกต้องแสงแดดกลายเป็นสีแดงเจิดจ้าเหมือนแสงตะวัน และเพราะ คุณปานวาด ผู้เป็นศรีสะใภ้อยากให้ลูกชายมีความเป็นไทยบ้างจึงตั้งชื่อให้ว่า ภาสกรเพื่อที่เด็กชายจะได้ไม่ลืมตัวว่า เลือดในกายของเขานั้นมีสายเลือดของคนไทยไหลวนอยู่ ซึ่งคุณโลแกนก็ไม่ขัดข้องและเขาก็ชอบชื่อนี้ ภาสกรเป็นเสมือนหนึ่งแสงตะวันในใจของเขา...
“ไหนคุณพ่อว่าคุณปู่โกรธอาภาคอยู่ไงครับ” นี่เป็นหนึ่งในความแก่แดดของเด็กชาย คุณโลแกนหัวเราะเบาๆ
“ตอนนั้นโกรธแต่ตอนนี้หายโกรธแล้ว ก็เลยมารับขวัญน้องไงล่ะ”
“ว้า.. คุณปู่หายโกรธเร็วจัง”
“ความรัก ทำให้เราไม่สามารถโกรธคนที่เรารักได้หรอกนะแสน..” ดวงตาสีเดียวกันกับหลานชายเป็นประกาย ภาสกรเงยหน้ามองผู้เป็นปู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจสิ่งนั้นนัก แต่เด็กชายก็ไม่ได้ซักถามอะไรพวกเขาก็มาหยุดหน้าบันไดเตี้ยๆ ที่เจ้าของบ้านยืนรอรับ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ที่รัก..” ย่าเล็ก หรือ คุณย่าลดา ภรรยาคนที่สองของคุณปู่ยิ้มกว้างแล้วกางแขนออกเมื่อผู้เป็นสามีเดินเข้าไปหาทั้งสองกอดกันแน่นด้วยความรักและคิดถึงเพราะไม่เจอกันเกือบปี
“ผมคิดถึงคุณนะ อยากจะรับไปอยู่ด้วยกัน” คุณปู่ประคองใบหน้างามของคุณย่าไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยนแตกต่างจากเวลาทำงานที่ท่าทางของคุณปู่จะดุดันน่าเกรงขาม ใครๆ ก็กลัวคุณโลแกนทั้งนั้นเพราะท่านดุมาก
“ไปไม่ได้หรอกค่ะ ต้องเลี้ยงหลานๆ”
“ไงจ๊ะ น้องแสนของคุณย่า ไม่เจอกันแค่ปีเดียวตัวโตแล้วนะ”
คุณย่าเล็กหันมากอดภาสกรแล้วหอมแก้มเด็กชายเบาๆ ภาสกรชอบคุณย่าเล็กเพราะคุณย่าเล็กเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่น่ารักและตัวหอม
“ครับ แต่แสนคิดถึงคุณย่า คุณย่าไม่ไปหาเลย” เด็กชายพ้อแล้วซบลงกับอกผู้เป็นย่า
“ย่าต้องเลี้ยงน้องๆ ครับ เอาล่ะเราเข้าบ้านกันเถอะค่ะคุณ ลูกๆ รออยู่” คุณย่าเล็กควงแขนสามีเดินเข้าบ้านไปทั้งคุยกันกระหนุงกระหนิงหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ซึ่งท่าทางที่อ่อนโยนยิ้มหัวของคุณปู่นั้นแทบจะไม่มีให้เห็นเมื่อคุณปู่เดินเข้าออฟฟิศและทำงาน
ภาสกรมองตามคุณปู่คุณย่าของตนแล้วก็นึกชื่นชม เขาโตขึ้นเขาก็อยากจะมีคนที่รักกันจนแก่เฒ่าแบบคุณปู่บ้าง เด็กชายคิดอย่างแก่แดด...
“เด็กอะไรน่าเกลียด..” เด็กชายจ้องมองเด็กหญิงตัวอวบขาวผ่องแก้มแดงสวมชุดสีชมพูฟรุ้งฟริ้งที่นอนหลับพริ้มอยู่ในเปลอย่างไม่ชอบใจ เด็กคนนี้ไม่เห็นน่ารักเหมือนน้องๆ ของเขาสักนิด
ดูสิ หน้าตายับยู่ยี่ปากก็พ่นน้ำลายฟอดๆ แม้ตอนหลับแล้วยังทำปากจุบจับๆ เหมือนกินอะไรอยู่ตลอดเวลา โตขึ้นคงอ้วนเป็นหมูตอน... เด็กชายคิดในใจ
“อย่ามาว่าน้องสาวเรานะ..” เสียงเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้น ภาสกรจึงหันไปมองก็พบว่าเด็กชายหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงไม่แพ้ตนแต่จะผอมเก้งเก้งยืนอยู่หน้าตึงอยู่
“ก็จริงนี่ ดูสิ หน้าตาบี้แบน น้ำลายฟูมปากด้วย ผมก็หรอมแหรม สงสัยจะหัวล้าน น่ารักสู้น้องๆ เราไม่ได้สักนิด”
“น้องตัวเองน่ารักแค่ไหนเชียว แล้วนี่ตัวเป็นใคร มาทำอะไรในห้องน้องเรา” เด็กชายตัวผอมเก้งก้างเดินมาหาด้วยสีหน้าท่าทางไม่ใคร่จะพอใจที่มีคนแปลกหน้ามากล่าวหาว่าน้องสาวของตนไม่น่ารัก
“เราเป็นหลานของคุณปู่โลแกน ชื่อภาสกรแล้วตัวล่ะ” เด็กชายกอดอกเชิดหน้าขึ้นอย่างไว้ตัว
“เราก็หลานของคุณปู่โลแกนเหมือนกัน ชื่อ เทพธารา” อีกคนก็ทำท่าเช่นเดียวกันเหมือนหยั่งเชิงกันในที
“อ้าวเด็กๆ รู้จักกันรึยังจ๊ะ” ก่อนที่พวกเขาจะเอ่ยอะไรต่อ คุณธิชา หญิงสาวชาวไทยหน้าตาสวยหวานละมุนยิ้มหวานให้เด็กๆ
“เอาล่ะเด็กๆ มารู้จักกันไว้นะคะ คนนี้ภาสกรเป็นลูกขอคุณลุงลูอิส กับคุณป้าปานวาด แสนจ๊ะ นี่ลูกของอาเอง เทพธารา รู้จักกันไว้และต้องรักกันนะคะเด็กๆ”
“ครับ” เด็กๆ รับคำอย่างหนักแน่นแล้วหันไปยิ้มให้กันอย่างยินดี
“เอาล่ะ ธารพาแสนไปกินของว่างนะลูก น้องกำลังหลับอยู่เดี๋ยวน้องตื่นมางอแง” คุณธิชาบอกเด็กๆ เพราะเด็กน้อยเพิ่งหลับไปเมื่อครู่ และกว่าจะหลับได้เล่นเอาคุณแม่ยังสาวเหนื่อยเลยทีเดียว
“ครับ.. เราไปเล่นในสวนกันเถอะ” เทพธารายิ้มกว้างให้เพื่อนใหม่แล้วจูงมือภาสกรออกไป
“สวัสดีค่ะ ท่านผีปู่ผีย่าผีตาผียายท่านผีบรรพบุรุษทั้งหลายเจ้าขา หนูชื่อลลนานะคะ ชื่อเล่นว่านุ่มค่ะ ถูกคนใจร้ายหน้าตาดีแต่ปัญญานิ่มเข้าใจผิดจับตัวมาแล้วยังพูดจาทำร้ายจิตใจนุ่มต่างๆ นานา นุ่มเสียใจมากเลยค่ะและคิดถึงบ้านมากแล้วก็เป็นห่วงนิ่งที่อาการสาหัสอยู่ด้วย นุ่มอยากขอให้พวกท่านดลบันดาลให้เขาปล่อยตัวนุ่มกลับบ้านเร็วๆ ด้วยค่ะ และขอให้นุ่มพ้นจากอำนาจชั่วร้ายป่าเถื่อนของคนใจร้ายด้วยเถิ้ดดด และจะให้ดีนุ่มขอสามตัวตรงๆ งวดนี้เลยนะคะ นุ่มจะได้มีเงินมีความสุขสบายไม่ต้องทำงานกลางคืนให้ใครดูหมิ่นเหยียดหยามว่าเป็นผู้หญิงกลางคืน ไม่ต้องเจอผู้ชายนิสัยไม่ดีมาลวนลามทำร้าย แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ดีมากๆ ก็ขอให้นุ่มได้สามีดีๆ หล่อๆ จิตใจดีไม่ปัญญานิ่ม และรวยมาก รักนุ่มมากๆๆๆ นะคะ สาธุๆๆ” “นี่เธอ พอได้แล้ว เลอะเทอะเพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว” สิงหาเอ็ดหญิงสาวที่บรรจงปักธูปด้วยรอยยิ้มอย่างหมั่นไส้เหลือคณา “อ้าว.. คุณนี่นะ ฉันขอในสิ่งที่ฉันอยากได้จริงๆ เผื่อท่านจะดลบันดาลให้ฉันได้ดังหวัง จะได้ไม่ต้องมาเจอคุณอีกไง” “อย่างกับฉันอยากจะเจอเธองั้นล่ะ” “แต่คุณก็จับตัวฉันมา” “โอ๊ย... โอเค ฉันผิดเองที่ไม่ดูให้ดี ขอโทษ โอเคมั้ย พอใจรึยัง” สิงหาโวยเสียงขุ่นมองหน้าหญิงสาวที่ยิ้มยียวนด้วยความหมั่นไส้เหลือกำลัง พอรู้ว่าเขาผิดเจ้าหล่อนก็เล่นไม่เลิก
เพราะถูกแม่เลี้ยงใจร้ายเสือกไสไล่ส่งมาให้เป็นเมียขัดดอกของนายใหญ่แห่งหุบเขาคนเถื่อนที่ใครๆ ต่างก็กล่าวขวัญกันว่า โหดร้ายน่ากลัว แต่แล้วเธอกลับพบว่า คนเถื่อนอย่างเขาก็มีหัวใจ และมีไว้เพื่อเธอคนเดียว ++++++++++ “พี่มาร์คไปแล้ว.. ทีนี้ก็เหลือแค่เรา..” ปิ่นกมลเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพัง และถิ่นเถื่อนก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ดูท่าทางเขาขัดเขินไม่น้อย “มีอะไรจะสารภาพกับปิ่นมั้ยคะ” “ไม่มีนี่นา..” “ใครกันนะบอกว่า เป็นผัวเมียกัน ต้องบอกกันทุกเรื่อง ให้ไว้ใจกันและกัน” ถิ่นเถื่อนทำอึกๆ อักๆ ท่าทางของคนตัวใหญ่โต แต่ดูเก้งก้างเมื่อตอนนี้เขามีความผิดติดตัว “ก็บางเรื่อง มันยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกไง..” “อ้ออออ.. หรือคะ แล้วพี่เถื่อนคิดว่าจะบอกปิ่นตอนไหนคะ และเรื่องไหนบ้าง” ปิ่นกมลเดินมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม แล้วเงยหน้ามองเขายิ้มๆ ถิ่นเถื่อนเมินหน้าหนีน้อยๆ แต่ใบหูแดงก่ำ “ก็..” “ก็อะไรคะ..” ปิ่นกมลซักไซ้ ถิ่นเถื่อนหันกลับมามองหน้าคนช่างซักอย่างรู้สึกหมั่นไส้แกมเอ็นดูคนตรงหน้ายิ่งนัก “ก็.. ไปคุยกันบนห้องดีกว่าไง” “ว้าย... พี่เถื่อน ปล่อยปิ่นนะคะ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย..” ปิ่นกมลหวีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อชายหนุ่มตวัดร่างบอบบางขึ้นไว้ในวงแขนแข็งแรงหน้าตาเฉย
สวย ดุดัน เข้ม หยาบคาย เผ็ด แซ่บ ตดเป็นตด ฟังไม่ผิดหรอก ตดน่ะถูกแล้ว นั่นคือ นิยามของ ฝันงาม ชื่อสวยหรูคุณหนูสุดๆ แต่นั่นมันไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าเธอจะเป็นคุณหนูสายแบ๊ว เพราะเธอคือผู้ฉีกทุกกฎของคำว่ากุลสตรี .. +++++++ “จะมีผัวทั้งทีก็ต้องดูดีๆ สิคะ ธิดาหน่อทองไม่ได้กระจอกงอกง่อยนะ มีทั้งมงและสายตะพายพร้อมโล่เกลียดก็อด.. จะให้เอาพวกไม่มีอนาคตมาทำผัวเหรอ..” “ครับเมียพี่ฉลาดเก่งที่สุดในสามโลก เมียจ๋า.. พี่ร้อนแล้ว..” กวินเริ่มเสียงสั่นพร่าเมื่อมือเล็กร้ายกาจเลื่อนไปยังแก่นกลางกายที่เริ่มคึกคะนอง.. “วันนี้งามจะทำให้พี่วินลืมโศก ลืมเศร้า เราจะมันกันอย่างเดียว..” กวินหัวเราะลั่นกับคำพูดห่ามๆ ของเมียรักที่แสนจะตรงไปตรงมาและตรงใจเขาเหลือเกิน.. “งั้นแสดงฝีมือเลยเมียจ๋า หากฟ้าไม่เหลืองห้ามหยุดนะ..” กวินท้าทายฝันงามหรี่ตามองเขาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างยั่วยวน.. “อย่าร้องขอชีวิตก็แล้วกัน..” ปล. หนังสือเสียงนี้ได้รวมตอนพิเศษไว้ด้วยนะคะฟังกันเต็มอิ่มไปเลยจ้า
“จะอ่อยฉันอีกนานไหม...” เสียงห้าวดังขึ้นทำให้หญิงสาวลืมตาทันทีก่อนจะผละออกจากวงแขนแกร่งของเขาทันที ใบหน้านวลแดงปลั่งทั้งขัดเขินและอับอายกับคำพูดของเขาแต่เหนือสิ่งอื่นใดเธออับอายที่กำลังจะกลายเป็นสาวร่านร้อนเที่ยวกอดจูบกับผู้ชายมากกว่า “คนบ้า ปากเสีย... ฉะ ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นเสียหน่อย...” หญิงสาวสูดหายใจลึกๆ แล้วถลึงตาใส่เขาพลางต่อว่าเขาเสียงเขียวแต่ข้างในใจสาวกลับสั่นไหวหวิวๆ แทบจะเป็นลมแข้งขาสั่นไปหมดจนขยับเดินไม่ได้...
เจ้าสาวคาวโลกีย์สำหรับเขา เพราะหวงชีวิตหนุ่มโสดที่ยังใช้ไม่คุ้ม เพราะไม่ต้องการแต่งงานตามคำสั่งของมารดาที่ทั้งเจ้ายศเจ้าอย่างและจุ้นจ้านวุ่นวาย ทำให้เขาต้องหาไม้กันหมาที่ต้องแสบแซบเร้าใจเพื่อคานอำนาจของมารดา...สำหรับเธอ มีเงินท่วมหัว ไม่ต้องมีผัวก็ได้ จึงต้องมารับอาชีพไม้กันหมาให้ชายหนุ่ม แต่เมื่อหลวมตัวรับงานนี้ ณดา ก็แทบมอดไหม้ด้วยไฟเสน่หาอันร้อนแรง
CEO,เมียเก็บ,การเบรรยายแบบมัลติเธรด,สัญญารัก,โรแมนติก,นิยายอีโรติก,ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ซับซ้อน,การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"