ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
“มึงจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอดาว คิดผิดคิดใหม่ได้นะมึง”
พันดาวมองหน้าคนพูดที่มีใบหน้าเคร่งเครียดด้วยกังวลและเป็นห่วงเป็นใยในตัวเธอก่อนจะยิ้มอย่างเศร้าหมอง
เธอก็อยากจะคิดทบทวนใหม่อีกครั้งเหมือนกัน...แต่ผ่านกระบวนการคิดมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว สุดท้ายคำตอบที่ได้ก็คือเธอควรจะหยุด...ยุติความสัมพันธ์ที่มีกับชายคนนั้นไว้เพียงแค่นี้ ก่อนที่เธอจะยังถลำรักเขาลึกจนเจ็บปวดใจมากไปกว่านี้ เพราะคนที่เธอรักเขาไม่ได้รักเธอเลย
ไม่ใช่สิ...เขาคนนั้นนะเกลียดเธออยู่แล้ว มีแต่เธอนี่แหละที่ดื้อรั้นดันทุรังรักเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา รักจนลืมแม้กระทั่งรักตัวเอง
“ถ้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ เดินหน้าต่อไปทั้งที่เขาไม่เคยสนใจ ผลักไสไล่ส่ง ไม่ยอมพบหน้านะเหรอ” พันดาวถามกลับพร้อมกับเหยียดยิ้มอย่างข่มขื่น ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อคิดถึงเขาคนนั้นที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เจ้าของหัวใจหากเป็นเจ้าของร่างกายไปแล้วด้วย
ขอบตาพันดาวร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อล้นคลอหน่วยตา มันเป็นความคิดโง่ ๆ ของเธอที่คิดว่าเมื่อตกเป็นของกันและกันแล้วเขาจะยอมรับเธอเป็นเมีย ในวันนั้นเมื่อมีโอกาส เห็นเขาเมาจนครองสติไม่อยู่ ด้วยความหวัง เมื่อเป็นของเขาแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เธอรีบพาตัวเข้าไปใกล้ชิด...
“พี่เหนือ” พันดาวลองร้องเรียกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเมามายไม่น้อย มือเล็กยื่นไปแตะแขนกำยำอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อเห็นว่าแดนเหนือไม่ผลักไสเหมือนทุกที ใจก็ชื้นขึ้นมา เลยกล้าที่จะขยับกายไปใกล้เขาอีกนิด
“หือ...ใครนะเรา” แดนเหนือโน้มกายลงมาเล็กน้อย ดวงตาเข้มดุหรี่ลงเพื่อเพ่งมองสาวน้อยตรงหน้าให้ชัดเจนสักหน่อย เพราะดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะ... “ฉันคุ้นหน้าเธอจังเลย เหมือนยายเด็กนั่นจังเลยแงะ”
เสียงบ่นงึมงำที่ดังมาทำให้พันดาวตกใจจนเผลอสาวเท้าก้าวถอยไปด้านหลัง ตอนนี้ให้แดนเหนือรู้ไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร แต่หลักจากนี้...ไม่เป็นไร
“เอ่อ...”
“แต่ไม่น่าจะใช่หรอก” ศีรษะทุยส่ายสะบัดเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและเชื่องช้าเพราะความมึนงงที่มี “ถึงเด็กนั่นจะชอบตามตื้อ แต่ก็ยังเป็นเด็กดีอยู่นิดหน่อยที่ไม่ค่อยชอบเที่ยวกลางคืน”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดมาแบบนี้ พันดาวอดที่จะยิ้มไม่ได้ ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้คิดจะมาที่นี่หรอกนะ แต่พอได้ยินกลุ่มเพื่อน ๆ ของแดนเหนือนัดแนะกันว่าจะมาเที่ยวกัน เธอก็เกิดอยากรู้ขึ้นมา เขาจะดื่มไปเยอะหรือเปล่า แล้วเขาจะเมาจนครองสติอยู่ไหม ระหว่างนั้นจะมีผู้หญิงมาเกาะแกะหรือเปล่า แล้วก็มีจริง ๆ แต่ดีหน่อยที่แดนเหนือยังไม่มีทีท่าสนใจจะสานต่อความสัมพันธ์เกินเลยบนเตียงกับใคร
เมื่อเห็นว่าแดนเหนือสนใจเพียงแค่นั่งดื่มและสนทนากับเพื่อน ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผู้หญิงที่เข้าหาหวังจะสานความสัมพันธ์ด้วย อีกทั้งนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย กลับบ้านไปนอนดีกว่า แต่เอาเข้าจริงเท้ากลับพาเธอเดินตามร่างหนาแกร่งที่บอกกับเพื่อนว่าจะไปห้องน้ำแทนอย่างไม่ทันจะรู้ตัว
“ว่าแต่...มาคนเดียวเหรอ”
“ค่ะ มาคนเดียว นี่ก็คิดว่าจะกลับแล้ว พี่...คุณละคะ” พันดาวรีบเปลี่ยนคำร้องเรียกแทบไม่ทัน เมื่อสังเกตุเห็นว่าคิ้วของแดนเหนือเลิกขึ้น “จะไปไหน เมาอย่างนี้ระวังจะเดินไปสะดุดเท้าใครเข้านะคะ โดนเขาเอาคืนจนเจ็บตัวไป ฉันไม่ช่วยนะ” หญิงสาวทำใจกล้ากระเซ้าเสียงหวานใส ก่อนแอบเบือนหน้าพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สงสัยอะไร
แดนเหนือเผลอหลุดเสียงหัวเราะออกไป “จะไม่ช่วยจริงเหรอ...ถ้าผมล้มลงไป คุณจะไม่ยอมกอดช่วยผมจริง ๆ เหรอ”
พันดาวได้แต่อ้าปากค้าง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ยิ่งเมื่อแดนเหนือยกมือขึ้นทาบบนแก้มเนียนใส ปลายนิ้วลูบไล้ผิวเนื้อเนียนนุ่มก็ยิ่งทำให้หัวใจของเต้นแรงแข่งกับเสียงของดนตรีที่ดังกระหึ่มอยู่บนเวทีด้วยคาดไม่ถึงว่า...แดนเหนือจะจับแก้มของตนเอง
“ช่วย...มั้งคะ” พันดาวตอบเสียงแผ่วเบาอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“น่ารักจัง...น่ารักแล้วก็น่าจูบด้วย”
พันดาวได้แต่กะพริบตามองแดนเหนือปริบ ๆ เธอคิดว่า... ‘พี่เหนือคงจะเมามากแล้ว ถึงได้พูดออกมาแบบนี้’ และคงจะเป็นเธอเองนี่แหละที่บ้ามากที่ตอบเขาไปว่า “แล้วคุณอยากจะ...ลองจูบฉันดูไหมละคะ”
“น่ารักอย่างนี้กลัวว่าจะไม่ได้หยุดที่จูบนะสิ”
พันดาวยิ้มหวานขณะเอียงคอเล็กน้อย “ถ้าเป็นที่นี่ คงจะหยุดแค่จูบจริง ๆ นั่นแหละ แต่ถ้าที่อื่นก็...ไม่แน่นะคะ คุณอาจจะได้มากกว่ากอด...จูบ” ในเมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกับแดนเหนือถึงขนาดนี้แล้วจะให้เธอปล่อยโอกาสดี ๆ นี้ให้หลุดมือไปนะเหรอ...ไม่มีทาง! “ก็ได้นะคะ”
“น่าสนใจจังเลย” นิ้วยาวของแดนเหนือนวดคลึงริมฝีปากอิ่มนุ่ม “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคนน่ารักจะกล้าตามผมไปไหมล่ะ เพราะว่าผมนะ...ไม่อยากแค่กอดกับจูบคุณจริง ๆ นั่นแหละ ผมอยาก..” แดนเหนือไม่ทันจะได้บอกว่าเขาต้องการสิ่งใดก็ต้องรีบตวัดแขนกอดกระชับร่างเล็กเพรียวมาแนบชิด เพราะมีบางคนเดินมาแล้วกระแทกจนหญิงสาวเกือบจะล้มลงไป
ความใกล้ชิดทำให้แดนเหนือได้สัมผัสกับกลิ่นกายหอมละมุนที่มันทำให้เขาเผลอทาบมือไปบนแก้มนุ่ม ปลายนิ้วไล้คลึงเคล้นกลีบปากอิ่ม ก่อนจะถือโอกาสกดปากและจมูกลงไปบนแก้มใส ขบเม้มไปถึงใบหูเล็กแล้วก็กระซิบบอกกับหญิงสาวไปว่า
“ผมอยากเป็นคนเอาเสื้อผ้าคุณออก ได้กอด ได้หอม ได้สัมผัสผิวเนื้อเนียนนุ่มหอมขอบคุณ ทุกซอก...ทุกมุม”
อื้อ...พี่เหนือจะพูดออกมาแบบนี้ไม่ได้นะ...อย่านะ
“ปากนี้...” นิ้วยาวนวดคลึงริมฝีปากอิ่ม “คงจะต้องหวานมากแน่เลย ถ้าได้จูบหลาย ๆ ครั้งก็คงจะดี”
“แล้วทำไมถึงไม่ทำอย่างที่ต้องการละคะ ฉันก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย” พันดาวยังใจกล้าจับเอาแขนแกร่งมาโอบรัดรอบกายให้มือหนาวางบนสะโพก ยอมให้เขาแดนเหนือกดคลึงลงไปโดยไม่สนใจว่าจะมีคนมองมาด้วยซ้ำ แต่ก็ยังโชคดีหน่อยที่ร้านอาหารกึ่งพับแห่งนี้แสงสว่างมีน้อย ถ้าอยู่ไกลกันก็ไม่มีเห็นว่าเธอกับแดนเหนือทำอะไรกัน
“อยากกอด...จูบ ตรงไหนก็ทำได้นะคะ” พันดาวทำใจกล้าลูบไล้ลำตัวแดนเหนือ แต่ก็เสียดายที่ชายหนุ่มใส่เสื้อถึงสองตัว...เสื้อเชิ้ตแขนขาวทับเสื้อยืดตัวในที่ยังจะเอาชายเสื้อใส่ไว้ในกางเกงยีนด้วย ทำให้เธออดได้สัมผัสกับลอนกล้ามเนื้อบึกบึนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นปึก
“ฮื่อ...อย่ายั่วสิ แค่นี้ก็จะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เพราะครอบครัวเกิดเรื่องไม่ดี เขมกรจึงตัดสินใจทำการแลกเปลี่ยนกับใครบางคน...จากนั้นเขาก็กลายมาเป็นคุณชายเกาหยุนเอ๋อร์ที่ไร้ความทรงจำ ที่...ก่อเรื่องราวไว้นั่นคือ การป่าวประกาศต่อหน้าผู้คนว่าจะเป็น “ฟูเหรินของซ่งหยวนเจ๋อ” อีกฝ่ายคงจะโกรธเขาอยู่นะ ถึงได้ตามติดไม่ยอมห่าง หรือว่าเขาเข้าใจอะไรผิดไป เพราะการตามติดของซ่งหยวนเจ๋อทำให้เขาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ แต่คงเท่าอีกฝ่ายที่เดี๋ยวก็เลี้ยงอาหารเขา เดี๋ยวก็ให้เขาขี่หลัง นั่นก็มิหนักเท่ากับคอยป้อนอาหารเขานะสิ... หยุนเอ๋อร์...” ซ่งหยวนเจ๋อเอ่ยเรียกเสียงเข้มแต่นุ่มนวล ขณะทอดสายตาที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนสบกับดวงตาของเกาหยุนเหลียง “ไม่...ดื้อนะ” หากมิใช่ถูกซ่งหยวนเจ๋อกอดกระชับเอวเอาไว้...เกาหยุนเหลียงรู้เลยว่าเข่าตนเองจะต้องอ่อนยวบทรุดลงไปกองอยู่บนพื้นแน่นอน ไหนจะหัวใจที่มันเต้นราวกับจะทะลุออกมาจากอกอีกเล่า ทำให้เขาคิดว่า กลับถึงเรือนเมื่อไหร่ ควรให้ท่านแม่เชิญท่านหมอมาดูหน่อย เหตุใดถึงได้มีอาการประหลาดเช่นนี้มากนักเมื่ออยู่กับซ่งหยวนเจ๋อ ถ้าหากว่าเป็นอะไรร้ายแรงจะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที “ดีมาก...หยุนเอ๋อร์ที่ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เกเร ทำตัวเป็นอันธพาล...น่ารัก”
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขเลย พ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับชายที่เธอไม่รักแทนน้องสาวต่างมารดาของเธอ เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมของตน ในวันแต่งงาน เธอหนีออกจากบ้านไปและได้มีอะไรกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในคืนนั้น หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหนีไปแต่สุดท้ายก็ถูกพ่อเธอหาจนพบ และหนีไม่รอดชะตากรรมที่จะต้องแต่งงานแทนน้องสาว เธอจะพบว่าชายที่เคยมีอะไรกับเธอในคืนนั้นก็คือสามีของเธอหรือไม่ และเขานั้นจะรู้ว่าเธอเป็นแค่เจ้าสาวปลอมหรือไม่ ตลอดจนความลับเบื้องหลังของสามีคนจนจะเป็นเช่นไร ติดตามไปด้วยกันเลย
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล
เธอคิดว่าพวกเขาจะต่างคนต่างไปหลังจากการหย่าร้าง โดยเขาใช้ชีวิตของเขาเอง ส่วนเธอก็มีความสุขกับเธอไป-- แต่แล้ว... "ที่รัก ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาได้ไหม" ชายใจร้ายที่เคยหักหลังเธอสุดท้ายก็ก้มหัวที่หยิ่งผยองลง "เราคืนดีกันเถอะ ผมขอร้องล่ะ" ซูเชียนชือผลักดอกไม้ที่ชายคนนั้นมอบให้ออกไปอย่างเย็นชา และตอบอย่างใจเย็น "มันสายไปแล้ว"