หลังจากที่หลินเทียนพูดจบ เขาก็เหยียบคันเร่ง รถก็เหมือนลูกกระสุนปืนที่ถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาขับรถไปตามถนนของเมืองจิ่วเจียงเรื่อย ๆ ราวกับว่าต้องการจะปลดปล่อยความคับข้องใจในช่วงสามปีที่ผ่านมาออกไปให้หมด
ในฐานะนายน้อยคนที่สองของตระกูลหลิน เขาได้รับการฝึกฝนที่หลากหลายจากครอบครัวตั้งแต่เขายังเด็ก
เขาฝึกฝนด้านศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่อายุแปดปี เข้าเรียนสถาบันดนตรีเมื่ออายุสิบสามปี และจบหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจครบสี่ปีเมื่ออายุสิบแปดปี
แม้แต่ในสนามรบ เขาก็ได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์ระดับเทพ จากการช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ
เมื่อสามปีก่อน หลินเทียนยอมรับการฝึกฝนจิตใจของครอบครัว โดยได้รับความช่วยเหลือจากนายท่านเจียง เขาจึงแต่งงานเข้าไปอยู่ในตระกูลเจียงเป็นเวลาสามปี
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาไม่สามารถใช้ทรัพย์สมบัติของครอบครัวและความรู้ความสามารถที่เขาเรียนรู้มาจากครอบครัวได้เลย ทำได้เพียงใช้ชีวิตได้แบบคนธรรมดาเท่านั้น
เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากการทดสอบสิ้นสุดลง เขาจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองให้ตระกูลเจียงได้รู้ แต่ตอนนี้...
หลินเทียนพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันว่า “เจียงเชียนหนิง ตอนที่คุณได้รู้ว่าคนที่เป็นเศรษฐีในสายตาของคุณ เป็นเพียงแค่คนกระจอก ๆ คนหนึ่งในสายตาของผมเท่านั้น คุณจะมีสีหน้ายังไงนะ?”
ที่วิลล่าตระกูลเจียง เมืองจิ่วเจียง
ตอนหกโมงเย็น หลังจากหลินเทียนปลดปล่อยความโกรธไปหมดแล้ว ก็กลับไปที่บ้าน
เขากำลังจะเอาสิ่งของของตัวเองกลับ แล้วก็จะออกจากบ้านตระกูลเจียงไปแบบไม่หวนกลับมาอีกเลย
“คุณกลับมาแล้วเหรอ? ฉันทำกับข้าวเอาไว้แล้ว รีบมากินสิ”
ในห้องครัว เสียงที่ไพเราะของเจียงเชียนหนิงดังออกมา
ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น เธอกลับมาก่อนเวลา เพื่อตั้งใจมาทำอาหารเย็นมื้อพิเศษให้กับหลินเทียน
ก่อนหน้านี้ หลินเทียนจะเป็นคนทำอาหารทุกมื้อ
หลินเทียนไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเงียบ ๆ แล้วก็เก็บข้าวของทั้งหมดของเขา
ตอนอยู่ที่บ้านของตระกูลเจียง เขาได้นอนแค่เตียงเล็ก ๆ ในห้องรับแขกเท่านั้น ส่วนของใช้ของเขาก็ต้องยัดเอาไว้ในห้องเก็บของ
พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันในนามของสามีภรรยา แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา หลินเทียนเป็นเพียงพี่เลี้ยงเด็กและคนขับรถของตระกูลเจียงเท่านั้น
เมื่อหลินเทียนเก็บข้าวของเสร็จ เขาก็เตรียมจะออกไปทันที
แต่เจียงเชียนหนิงกลับยืนกอดอก ขวางหน้าประตูใหญ่เอาไว้ แล้วก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณเป็นเด็กรึไง? ฉันแค่เจรจาธุรกิจกับฟางจืออางเฉย ๆ คุณถึงขั้นจะออกจากบ้านเลยเหรอ?”
“ที่ฉันต้องทำอะไรมากมายแบบนี้ ก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฟางจืออางนะ!”
“เพียงแค่ฉันสามารถเซ็นคำสั่งซื้อออเดอร์ใหญ่ของบริษัท อีสท์เดย์ เดคคอร์เรชั่นมาได้ ฉันก็จะได้รับการยอมรับจากคุณย่า แล้วฉันก็จะได้เลื่อนตำแหน่งภายในบริษัท ถึงเวลานั้น ฉันก็จะได้เงินเดือนเพิ่มมากขึ้น คุณจะได้ไม่ต้องออกไปขับอูเบอร์แล้วไง ไม่ดีเหรอ?”
หลินเทียนพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ผมไม่ได้ต้องการ!”
“ผมจะไม่มีทางผิดศีลธรรมเพื่อเงินและตำแหน่งเด็ดขาด!”
หลังจากพูดจบ จู่ ๆ เขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของการฝึกฝนจิตใจของครอบครัวขึ้นมาทันที
“เจียงเชียนหนิง เราหย่ากันเถอะ!”
เมื่อได้ยินหลินเทียนขอหย่า เจียงเชียนหนิงก็ตกใจมาก
เธอจึงตะคอกกลับไปเสียงดังว่า “ไม่ได้ ยังหย่าตอนนี้ไม่ได้! อย่างน้อย...ก็ต้องรอจนกว่าคุณกับฉันจะได้ไปร่วมงานแต่งงานของเจียงหนานหนานด้วยกันก่อน!”
“รองประธานของเอ็มแกรนด์ กรุ๊ปก็จะไปร่วมงานนั้นด้วย ถ้าฉันสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอได้ล่ะก็ ฉันก็จะมีอนาคตที่สดใสอย่างสมบูรณ์แบบ”
“ตอนนี้ ฉันจะไม่ยอมให้ข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับตระกูลเจียงถูกเผยแพร่ออกไปแม้แต่นิดเดียว!”
“เอ็มแกรนด์ กรุ๊ปงั้นเหรอ? รองประธาน?” เมื่อได้ยินว่าบุคคลที่เจียงเชียนหนิงต้องการจะตีสนิทคือคนของเอ็มแกรนด์ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม
เขาผลักเจียงเชียนหนิงออก แล้วก็เดินออกจากบ้านไป “เรื่องของตระกูลเจียง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมแล้ว เรื่องหย่า เดี๋ยวผมจะหาทนายความมาจัดการก็แล้วกันนะ”
“คุณมันเลว! คนไร้ค่า! คุณจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน! ถ้าฉันทำความร่วมมือกับเอ็มแกรนด์ กรุ๊ปสำเร็จเมื่อไหร่ คุณก็ไม่มีอะไรที่คู่ควรกับฉันอีก!”
เมื่อเห็นหลินเทียนเด็ดขาดขนาดนี้ และดูไม่มีความอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ เจียงเชียนหนิงก็เป็นเดือดเป็นร้อนใจขึ้นมาทันที เธอจึงตะโกนด่าไล่ส่งหลินเทียน จนกระทั่งเขาหายไปจากทางเข้าลิฟต์
ในลิฟต์ หลินเทียนยิ้มอย่างเย็นชา
“เจียงเชียนหนิง ประธานของเอ็มแกรนด์ กรุ๊ปกำลังยืนอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว แต่คุณกลับไม่รู้อะไรเลย แล้วยังคิดที่จะทำความร่วมมือกับเอ็มแกรนด์อีกเหรอ? เกรงว่าคงทำได้แค่เพ้อฝันล่ะสิ!”