ไม่ทันที่ฉันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นก็เห็นประตูห้องนอนถูกเปิดออก เขาตัวเปียกโชกและเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่หันมามองฉัน หลังจากนั้นก็มีเสียงน้ำดังขึ้น
พอเขามา ฉันก็นอนต่อไม่ได้เลยลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย หยิบชุดนอนของเขาออกมาจากตู้ แล้ววางไว้ที่ประตูห้องน้ำ ก่อนจะเดินไปที่ระเบียง
มันเป็นฤดูฝน ข้างนอกมีฝนตกปรอย ๆ ท้องฟ้านั้นมืดแล้ว และได้ยินเสียงน้ำฝนกระทบหลังคาแว่ว ๆ
พอได้ยินเสียงจากด้านหลัง ฉันก็หันหน้าไปและเห็นว่าฟู่เชิ่นเหยียนออกมาจากห้องน้ำแล้ว ร่างกายท่อนล่างของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าขนหนู ผมของเขาเปียกและมีหยดน้ำหยดลงมาตามร่างกายกำยำของเขา มันมีเสน่ห์มากซะจนอะไรก็มาเทียบไม่ได้
อาจจะเป็นเพราะเห็นว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ เขาเลยหันมามองฉันพลางขมวดคิ้วขึ้นมา “มานี่!” น้ำเสียงฟังดูไร้อารมณ์
ฉันเดินไปหาเขาอย่างเชื่อฟัง และก็เห็นเขาโยนผ้าขนหนูในมือให้ฉัน แล้วพูดเสียงทุ้มว่า “ช่วยเช็ดที”
เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉันเองก็ชินกับมันมานานแล้ว เขานั่งลงบนขอบเตียง และฉันก็ปีนขึ้นไปบนเตียงพลางคุกเข่าข้างหลังเขา และเช็ดผมให้เขา
“พรุ่งนี้งานศพของคุณปู่ เราต้องไปที่บ้านเก่ากันแต่เช้า” ฉันพูดขึ้นมา ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องคุยกับเขา แค่กังวลว่าเขามัวแต่สนใจแต่ลู่ชินหราน ถ้าไม่พูดขึ้นมาก็กลัวว่าเขาจะลืม
“อืม!” เขารับคำฉัน และไม่ได้พูดอะไรออกมา
พอรู้ว่าเขาไม่อยากคุยอะไรกับฉันมากนัก ฉันเลยไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น หลังจากเช็ดผมของเขาจนแห้ง ฉันก็นอนลงบนเตียงอีกครั้ง และเตรียมตัวนอน
อาจเป็นเพราะอาการแพ้ท้อง เลยมักจะรู้สึกง่วงนอนมาก ปกติแล้วพออาบน้ำเสร็จ ฟู่เชิ่นเหยียนก็จะไปอยู่ที่ห้องทำงาน ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนชุดนอนเสร็จ ก็ทิ้งตัวลงนอนแล้ว
แม้ว่ามันจะแปลก แต่ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่จู่ ๆ เขาก็กอดฉัน ดึงฉันเข้าไปในอ้อมแขนของเขา แล้วก็จูบฉันอย่างอ่อนโยน
ฉันรู้สึกงง เลยเงยหน้าขึ้นมองเขา “ฟู่เชิ่นเหยียน ฉัน...”
“ไม่เต็มใจเหรอ?” เขาพูด ดวงตาคู่นั้นของเขาก็ดำขลับ มันดุร้าย และแฝงไปด้วยความป่าเถื่อน
ฉันหลุบตาลง เพราะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“เบาหน่อยได้ไหมคะ?” ลูกเพิ่งจะมีอายุได้หกสัปดาห์ ถ้าไม่ระวังจะเป็นอันตรายได้
เขาเลิกคิ้ว และไม่พูดอะไร
... ฝนนอกหน้าต่างเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นก็มีฟ้าร้อง และฟ้าผ่าลงมา แสงวิบวับขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านไปสักพักเขาก็ลุกขึ้น และเข้าไปในห้องน้ำ
ฉันเหงื่อแตกพลั่กเพราะความเจ็บปวด ทีแรกนั้นอยากจะลุกไปกินยาแก้ปวด แต่ก็ไม่ทำเพราะเป็นห่วงลูก
“อ๊ะ...” โทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงดังขึ้น มันเป็นโทรศัพท์ของฟู่เชิ่นเหยียน ฉันเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว
เวลานี้คนที่จะโทรหาฟู่เชิ่นเหยียนนั้นก็คงจะมีแต่ลู่ชินหราน
เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดลง ฟู่เชิ่นเหยียนนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมา เช็ดมือ และรับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร
จากนั้นก็เห็นฟู่เชิ่นเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางพูดว่า “ชินหราน ไม่เอาน่า!”
พอพูดจบ เขาก็วางสาย และเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะออกไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้นฉันคงจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ แต่ตอนนี้ฉันกลับดึงฟู่เชิ่นเหยียนไว้อย่างแรง พลางพูดขอร้องเขาเบา ๆ ว่า “คืนนี้ไม่ไปได้ไหมคะ?”
ฟู่เชิ่นเหยียนขมวดคิ้ว ความเย็นชา และความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา “ดีด้วยหน่อยก็ได้ใจแล้วเหรอ?”
คำพูดนั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยความแดกดัน
ฉันอึ้งไปพักหนึ่ง พลางคิดว่าตัวเองนั้นตลกสิ้นดี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เป็นงานศพของคุณปู่ ต่อให้คุณเป็นห่วงเธอ แต่ก็ควรจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรไม่ใช่เหรอคะ?”
“ขู่เหรอ?” เขาหรี่ตาพลางบีบคางฉันอย่างแรง และพูดออกมาเบา ๆ อย่างเย็นชาว่า “เสิ่นชู เธอปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่”