มุมมองของซือเจียเหลย:
ตอนที่กำลังนอนหลับ ฉันฝันว่ากำลังอยู่ในงานแต่งงาน แต่ฉันมองเห็นหน้าตาของเจ้าบ่าวไม่ชัด
“ฮัดชิ้ว——” ฉันรู้สึกคันจมูก พอจามออกมาฉันจึงตื่นขึ้นมา แล้วฉันก็พบว่า ตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง
ฉันจำได้ว่าเมื่อวานฉันอยู่ข้างล่างหนิ แล้วทำไมตอนนี้ถึงขึ้นมามาอยู่บนเตียงได้ล่ะ? อีกอย่าง ทำไมฉันรู้สึกเวียนหัวมากเลย?
ฉันรู้สึกร้อนที่ตัวมาก ฉันจึงถีบผ้าห่มออก อยากที่จะลุกขึ้น
“อย่าขยับ” ทันใดนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังมาจากปากประตู
คือเฉินหลีซือนั่นเอง เขากำลังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ ฉันไม่เคยเห็นเฉินหลีซือในสภาพนี้มาก่อนเลย ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“เมื่อคืนคุณเป็นหวัดน่ะ หิวแล้วใช่ไหม อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว” พอพูดจบ เฉินหลีซือก็ลงไปข้างล่างอีกครั้ง
ฉันลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันก็รู้สึกตัวไร้เรี่ยวแรงมาก ฉันพยายามลากตัวเองกลับไปที่เตียง
เวลานี้ เฉินหลีซือได้ยกโจ๊กข้าวโอ๊ตชามหนึ่งเข้ามา ซึ่งมีเนื้อฝอยและกุ้งอยู่ในนั้นด้วย
ฉันนอนอยู่บนเตียง รู้สึกแค่อยากจะนอนเท่านั้น
“ฉันไม่อยากอาหารเลย ยังไม่อยากกิน”
“ไม่ได้ คุณต้องกินอาหารเช้าก่อน”
หลังจากพูดจบ เฉินหลีซือก็ช่วยวางหมอนดันไว้ที่หลังให้ฉัน
ฉันรู้สึกคันคอและไอออกมานิดหน่อย เฉินหลีซือช่วยเช็ดริมฝีปากล่างให้ฉัน
“อ้าปาก—” เฉินหลีซือตักข้าวต้มหนึ่งช้อนขึ้นมาและทำท่าจะป้อนฉัน
ฉันจ้องมองเขาด้วยความเหลือเชื่อ เฉินหลีซือรู้จักทำตัวอ่อนโยนกับฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? เมื่อคืนเขาต้องกินยาผิดมาแน่ ๆ ทำไมถึงได้เหมือนคนละคนกันขนาดนี้ล่ะ?
ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันเลย ฉันอ้าปากเพื่อกินข้าวเข้าไปอย่างเชื่อฟัง
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้นมา เป็นคุณย่านั่นเอง
“คุณย่า!”
“ซือเจียเหลย คืนนี้ เธอกับเฉินหลีซือกลับมาทานอาหารที่นี่สิ ย่าจะลงมือทำอาหารเองเลยนะ”
“คุณย่าคะ คือฉัน แค่ก แค่ก แค่ก—” จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกคันคอขึ้นมา
“ซือเจียเหลย เธอเป็นอะไรไปเหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่เป็นหวัด”
“เป็นหวัดงั้นเหรอ? ไอ้สารเลวเฉินหลีซือดูแลเธอไม่ดีสิท่า! ซือเจียเหลย เธอรอย่าก่อนนะ ย่าจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ!”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเฉินหลีซือ แล้วก็พูดกระซิบเบา ๆ ว่า “ คุณย่าบอกว่ากำลังจะมา”
“ก็ไม่เป็นไรหนิ กินข้าวเช้าก่อนแล้วกัน”
เฉินหลีซือป้อนข้าวต้มให้ฉันอีกครั้ง
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉันก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ จากนั้นก็ลงไปข้างล่างและนั่งรออยู่ที่โซฟา ไม่นาน ทั้งคุณแม่และคุณย่าก็มาถึง
“เฉินหลีซือ นายรังแกอะไรซือเจียเหลยอีกแล้วใช่ไหม? นี่นายสามารถบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่มูลค่าหลายร้อยล้านได้ แต่กลับไม่สามารถดูแลภรรยาของตัวเองให้ดีได้เนี่ยนะ?”
“คุณย่า เมื่อวานผมปวดท้อง เป็นซือเจียเหลยที่ดูแลผม ก็เลยเผลอหลับไปบนโซฟาทำให้เป็นหวัดครับ” เฉินหลีซือเดินไปที่ประตูเพื่อทักทายคุณย่าพลางอธิบายเหตุผล
“แล้วท้องนายหายดีรึยังล่ะ?”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ”
“งั้นก็ดูแลซือเจียเหลยให้มันดี ๆ อุ้มเธอขึ้นไปชั้นบนซะ ในเมื่อเธอป่วยอยู่ งั้นก็ต้องให้เธอนอนอยู่บนเตียงสิ”
ฉันหน้าแดงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เมื่อวานตอนที่ฉันอยู่ชั้นล่าง เห็นได้ชัดเลยว่าเฉินหลีซือเป็นคนอุ้มฉันขึ้นไปชั้นบน แต่ฉันกลับจำอะไรไม่ได้เลย แล้วตอนนี้เขาต้องมาอุ้มฉันอีกแล้วเหรอเนี่ย
“คุณย่าคะ ฉันดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ”
แต่เคอหลินกลับทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เธอจ้องมองไปที่เฉินหลีซืออยู่อย่างนั้น
จากนั้น ฉันก็ถูกเฉินหลีซืออุ้มขึ้นมาท่าเจ้าหญิง พาฉันขึ้นไปข้างบน
มือของเขาจับที่ต้นขาและหลังของฉันไว้แน่น ฉันสั่นไปทั้งตัวราวกับโดนไฟช็อตอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินหลีซืออุ้มฉัน ในขณะที่ฉันมีสติครบถ้วนทุกประการ ฉันก้มหน้าลง แก้มของฉันร้อนผ่าวไปหมด
คุณย่ากับคุณแม่ก็ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกันกับฉันด้วย ทำให้เห็นเสื้อผ้ากองโตของฉันที่ยังไม่ทันได้เก็บให้เรียบร้อยวางระเกะระกะเต็มไปหมด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมถึงไม่เอาเสื้อผ้าพวกนี้ใส่ตู้เสื้อผ้าไว้ล่ะ?”
“คุณย่า คืดฉัน...... ฉันจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกค่ะ ฉันหางานได้แล้ว” ฉันหลบสายตาของคุณย่า
สายตาที่เฉียบคมของเคอหลิน มองไปที่เฉินหลีซือ
“เป็นเพราะนักข่าวพูดถึงเหรินธาในงานเลี้ยงใช่ไหม?”
“ไม่ใช่นะคะ คุณย่า คือฉันอยากไปทำงานค่ะ แล้วที่นั่นก็อยู่ใกล้กับบริษัทของฉันด้วย” ฉันรีบอธิบายขึ้นมาทันที
“งั้นก็ไม่เห็นต้องย้ายไปเลยสิ ตระกูลของเรามีบ้านตั้งหลายหลัง ต้องมีสักหลังหนึ่งแหละที่อยู่ใกล้บริษัทนั้น ในอนาคตเราจะได้อยู่ด้วยกัน เฉินหลีซือก็ต้องกลับไปอยู่ด้วย เป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาสิ” มีความกังวลเล็กน้อยในน้ำเสียงของเคอหลิน
“ถ้าเฉินหลีซือรังแกเธอ เธอบอกฉันได้เลยนะ” อั้ยหลี่ฉือจับมือฉันไว้
“คุณย่า คุณแม่คะ ฉันรู้นะคะว่าย่ากับแม่หวังดีกับฉัน แต่ฉัน……”
ก่อนที่ฉันจะพูดจบ คุณย่าก็พูดตักบทฉันขึ้นมาซะก่อน
“เอาล่ะ ๆ ซือเจียเหลย เธอพักผ่อนเยอะ ๆ นะ เราไม่รบกวนเธอแล้วดีกว่า อาหารเย็นเดี๋ยวย่าจะให้คนเอามาให้นะ จะส่งพายแอปเปิ้ลที่เธอชอบที่สุดมาให้ด้วย”
ตอนแรกฉันคิดว่าการย้ายออกไปเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ๆ แต่ฉันกลับไม่คาดคิดเลยว่า มันจะมีจุดพลิกผันมากมายขนาดนี้
เฉินหลีซือขับรถไปส่งพวกเธอกลับไปแล้ว ฉันนอนอยู่บนเตียงอยู่สักพัก
มุมมองของเฉินหลีซือ:
“เฉินหลีซือ ย่าจะบอกอะไรนายให้นะ สิ่งที่สำคัญที่สุดของนายตอนนี้ก็คือ การทำให้ซือเจียเหลยมีความสุข แล้วก็เตรียมตัวมีลูกได้แล้ว ส่วนเรื่องบริษัท ปู่ พ่อ และแม่ของนาย รวมถึงตัวย่าด้วย เราสามารถช่วยได้
“ใช่ เฉินหลีซือ แกก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ควรจะคิดถึงเรื่องครอบครัวได้แล้ว”
ระหว่างทาง คุณย่าและคุณแม่ก็ยังคงต่อว่าผมอยู่เรื่อย ๆ ผมรู้ดีว่า หากผมยังไม่บอกเรื่องการหย่ากับพวกเธออีก มันก็จะยิ่งทำให้ความคาดหวังของพวกเธอเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก
“คุณย่าครับ ผมกับซือเจียเหลยไม่เหมาะสมกันหรอกครับ ผมอยากหย่า”
แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องเตรียมเอาไว้ตั้งเนิ่นนานแล้ว ตอนที่พูดออกมากลับง่ายดายขนาดนี้
“อะไรนะ? เฉินหลีซือ นายกำลังพูดว่าอะไรนะ?”
“นี่แกบ้าไปแล้วรึไงฮะ?”
เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเธอโกรธมาก ๆ พวกเธอมักจะเรียกชื่อเต็มของผมเสมอ การพูดถึงเรื่องนี้ในรถ อันที่จริงเป็นความคิดที่แย่มาก ผมเป็นห่วงมากว่าคุณย่าอาจจะหัวใจวายได้
“จอดรถ ฉันจะลงตรงนี้! เฉินหลีซือ ถ้านายยังทำแบบนี้อีก ย่าจะให้คุณปู่ของนายแก้ไขพินัยกรรม!” คุณย่าตะคอกขึ้นมา
“ฉันจะโทรหาพันตุ้น บอกให้เขามารับพวกเรา”
ผมจึงต้องจอดรถ ซึ่งผมรู้ดีว่า ช่วงเวลาระหว่างที่รอพันตุ้นกำลังรีบมาที่นี่ ผมต้องถูกคุณย่าและแม่ถล่มเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ
“เป็นเพราะยัยสารเลวเหรินธานั่นใช่ไหม ฉันรู้อยู่แล้วแหละ นังนั่นมันเป็นผู้หญิงแพศยาจอมเจ้าเล่ห์ แค่ดูจากหนังห่วย ๆ ทุกเรื่องที่มันแสดงก็มองออกแล้วว่า มันเป็นผู้หญิงที่แย่มากแค่ไหน เธอเคยคบกับผู้ชายที่อาวุโสเหล่านั้นมาก่อน อายุคนเหล่านั้นมากกว่าปู่ของแกด้วยซ้ำ เฉินหลีซือ นี่นายโดนทำของใส่รึไง? ถ้านายอยากจะคบกับมัน แกก็รอฉันตายก่อนก็แล้วกันนะ” คุณย่าพูดพลางหอบหายใจ ผมจึงรีบเอาน้ำขวดหนึ่งให้กับคุณย่าทันที
“รอฉันตายก่อนเถอะ เฉินหลีซือ แกชอบผู้หญิงสกปรกอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? ผู้หญิงที่แสนดีอย่างซือเจียเหลย แกกลับไม่รัก แต่แกกลับจะไปแต่งงานกับผู้หญิงเลว ๆ แบบนั้นเนี่ยนะ”
ผมไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใด พวกเธอด่าผมกันอยู่สักพักใหญ่ ก่อนที่ความโกรธของพวกเธอจะค่อย ๆ ลดลง
“เหรินธาเธอเป็นมะเร็ง” ฉันพูดขึ้นมา ตอนแรกที่ผมคิดจะหย่ากับซือเจียเหลยและแต่งงานกับเหรินธา ผมแค่อยากทำให้เหรินธาได้ช่วงสุดท้ายของชีวิตที่มีความสุขก็เท่านั้นเอง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คุณย่าและแม่ก็สตั้นไปชั่วขณะ
“ถ้าอย่างนั้นแกจะให้ซือเจียเหลยเป็นคนที่ต้องเสียสละไม่ได้นะ หากแกจะทำความดีแบบนี้ ย่าก็จะไม่คัดค้านหรอก แต่แกเห็นซือเจียเหลยเป็นอะไร เธอคือคนที่ฉันเฝ้าดูการเติบโตของเธอมาตั้งแต่เธอยังเด็กนะ”
หลังจากนั้นไม่นาน พันตุ้นก็มาถึง แล้วก็รับคุณย่ากับแม่ไป
“เฉินหลีซือ แกคิดเอาเองก็แล้วกันนะ!”
ผมนั่งเหม่ออยู่ในรถสักพัก ก่อนจะกลับไปที่วิลล่า ในบ้านเงียบสงบมาก ฉันขึ้นไปชั้นบน แล้วก็ค่อย ๆ เปิดประตูห้องออก
ซือเจียเหลยยังคงนอนอยู่บนเตียง ผมของเธอยุ่งเหยิง คิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ริมฝีปากของเธอกลับเบ้เบา ๆ มีความขี้เล่นและน่ารักซ่อนอยู่
ผมไม่เคยรู้เลยว่าเธอดูดีมากขนาดนี้
ผู้หญิงคนนี้ที่ผมแต่งงานด้วยมาสามปีแล้ว ผมไม่เคยแตะต้องเธอเลย แต่เมื่อมองไปที่เธอตอนนี้ ผมกลับรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จู่ ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า วันนี้เธอบอกว่าอยากย้ายออกไปข้างนอกต่อหน้าคุณย่าและคุณแม่
ไม่ได้ ผมจะไม่ยอมเด็ดขาด
ผู้หญิงคนนี้ที่นอนอยู่บนเตียงกำลังจะไปจากชีวิตของผม แล้วก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมอีกแล้ว ในส่วนลึกของหัวใจของผม ผมรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะมีบางอย่างจากผมไป
เธอพลิกตัว ริมฝีปากของเธอเผยอออกเล็กน้อย ราวกับกำลังพึมพำอะไรบางอย่างอยู่
ผู้หญิงคนนี้ ผมยังไม่เคยได้จูบเธอเลยด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ ปิแอร์คงเคยจูบเธอไปแล้วสินะ?
ผมอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาเธอ แล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ อยากจะจูบเธอสักครั้ง
ทันใดนั้น ดวงตาที่ปิดสนิทแต่เดิมของซือเจียเหลยก็ลืมขึ้นมา แล้วดวงตาที่งดงามประหนึ่งหินโมราคู่นั้นก็มองมาที่ผมด้วยความตกใจ เธอเหมือนกวางน้อยที่ตื่นตระหนกในป่า กำลังประเมินสถานการณ์ของศัตรูอยู่
สายตาของผมและเธอสบตากัน ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เหมือนจะหยุดนิ่งไป