ลี่เฟยตกใจกับความเกรี้ยวกราดของเธอ
นี่ใช่ลูกสะใภ้ที่ยอมจำนนทุกอย่างคนนั้นของเธอรึเปล่าเนี่ย?
“ดีจริง ๆ ที่แท้ที่ผ่านมาเธอก็คงจะเสแสร้งมาตลอดเลยสินะ!”
ลี่เฟยยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เธอกัดฟันแน่นพลางพูดขู่ขึ้นมาว่า “เรื่องวันนี้ไม่มีทางจบแค่นี้แน่ ฉันจะไปบอกหยุนเหนียนให้เขาหย่ากับเธอซะ! แม้ว่าครั้งนี้เธอจะมาคุกเข่าอ้อนวอนฉันยังไง ฉันก็จะต้องไล่เธอออกจากบ้านให้ได้!”
เซิ่งเกอยิ้มอย่างเย้ยหยัน ใบหน้าของเธอดูไม่แยแส
“อ๋อ เมื่อกี้นี้ฉันลืมบอกไปเลย เมื่อสิบนาทีก่อน ฉันกับเฟิงหยุนเหนียนหย่ากันเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ต่อให้คุณจะคุกเข่าอ้อนวอนฉัน ฉันก็จะไม่มีทางเข้าไปเหยียบที่บ้านต้นตระกูลเฟิงของคุณอีกแน่นอน”
หย่ากันแล้วงั้นเหรอ? แถมยังเพิ่งจะหย่าด้วยเนี่ยนะ?
เป็นไปได้ยังไง! ก่อนหน้านี้ยัยบ้านนอกนี่หน้าด้านหน้าทนอยู่ในตระกูลเฟิงมาได้ตั้งนาน แล้วทำไมจู่ ๆ ตอนนี้เกิดจะกลับใจยอมไปได้ซะล่ะ?
ลี่เฟยมองไปตามหลังเซิ่งเกอที่เดินจากไปอย่างสงสัย เพื่อพิสูจน์ เธอจึงโทรไปหาเฟิงหยุนเหนียน ณ ตอนนั้น
“ลูก นี่ลูกหย่าแล้วจริง ๆ เหรอ?”
เฟิงหยุนเหนียน “อืม” คำเดียว แล้วก็ขมวดคิ้วแน่น “เพิ่งดำเนินเรื่องเสร็จเมื่อกี้ ใครบอกแม่?”
“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ ก็แม่บังเอิญเจอเซิ่งเกอระหว่างทางน่ะสิ แถมยัยสารเลวนั่น เมื่อกี้นี้ยังตะคอกใส่แม่ด้วยนะ!”
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เมื่อเธอนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งนี้พวกเขาหย่ากันจริง ๆ แล้ว เธอก็ยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที “แต่ก็ดีแล้วล่ะ! ในที่สุดพวกแกก็หย่ากันจนได้ มันก็แค่นังบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ถูกรับมาเลี้ยงจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จะมาคู่ควรกับลูกชายสุดที่รักผู้เก่งกาจของแม่ได้ยังไง มันน่าจะออกไปได้ตั้งนานแล้ว..…”
เฟิงหยุนเหนียนเม้มปาก อารมณ์ของเขาตรงกันข้ามกับลี่เฟยที่กำลังตื่นเต้นดีใจอย่างสิ้นเชิงเลย
ถึงขนาดที่ว่า…… เขารู้สึกหงุดหงิด และรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาคิดว่าเซิ่งเกอจะไม่ยอมหย่าง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงเตรียมเงินชดเชยสามล้าน และวิลล่าหลังหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นเธอที่เป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาเอง แถมเธอยังไม่ขอค่าชดเชยใด ๆ เลยอีกด้วย
พอหย่าไปแล้ว เธอก็จะไม่มีเงิน แถมยังไม่มีญาติพี่น้องเลยสักคน แล้วต่อไปเธอจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง?
แต่ก็ช่างเถอะ ไว้ถ้าเธอไม่มีทางไป ยังไงเธอก็ต้องกลับมาหาเขาอยู่ดีนั่นแหละ
......
เซิ่งเกอนั่งแท็กซี่กลับไปที่วิลล่าเล็ก ๆ ที่เธอ และเฟิงหยุนเหนียนอาศัยอยู่กันตามลำพัง ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความขมขื่น และความทุกข์ของเธอตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา
เป็นความทรงจำที่หนักอึ้ง จนเธอไม่อยากจะพูดถึงมันอีก
เธอเดินผ่านสวนเล็ก ๆ หน้าลานบ้าน แล้วก็เดินตรงขึ้นไปชั้นบนเพื่อเก็บสัมภาระ หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ เธอก็ไม่อยากที่จะอยู่ในวิลล่าแห่งนี้ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว
แต่ทว่าขณะที่เธอเดินลงมาถึงชั้นล่าง ในห้องโถงใหญ่ก็มีคนที่สะสวยคนหนึ่งหันมามองเธอ
ซึ่งคน ๆ นี้ก็คือมู่จือหนิงที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวราวหิมะ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน และดูเป็นมิตรมาก “เซิ่งเกอ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เซิ่งเกอตกชะงักไปเล็กน้อย ราวกับว่าเธอไม่คาดคิดว่าจะได้เจอมู่จือหนิงที่นี่
พวกเขาเพิ่งจะหย่ากันไปเองนะ นี่เฟิงหยุนเหนียนให้กุญแจวิลล่ากับมู่จือหนิงไปแล้วเหรอเนี่ย แบบนี้แสดงว่าเตรียมจะให้เธอเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม?
ดูเหมือนว่าเขาจะลุ่มหลงในความรักของนี้แบบสุดหัวใจเลยสินะ
เซิ่งเกอรู้สึกชาไปทั้งหัวใจ แล้วเธอก็เดินลงบันไดมาสง่างามพร้อมกับรอยยิ้ม
เมื่อมู่จือหนิงเห็นรูปร่างลักษณะของเธอที่ดูไม่มีจุดด้อยตรงไหนเลย มู่จือหนิงก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง และพูดว่า “เซิ่งเกอ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี เธอนี่นับวันยิ่งดูมีมาดของคุณนายเฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ”
“อุ๊ย ฉันพูดผิดน่ะ” มู่จือหนิงเอามือปิดปาก แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแบบเก้อเขิน “ฉันลืมไปว่าเธอหย่ากับอาหยุนแล้ว แล้วเธอก็ไม่ใช่คุณนายเฟิงอีกต่อไปแล้วด้วย”
เมื่อรู้ว่าเธอมาที่นี่เพื่อโอ้อวดแสดงอำนาจ เซิ่งเกอก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด แถมเธอยังเผยรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ ออกมา
“เฟิงหยุนเหนียนเป็นผู้ชายที่ฉันเบื่อที่จะเล่นด้วยแล้ว แต่ในเมื่อเธอชอบอยากได้ของเล่นที่เหลือทิ้งจากคนอื่น งั้นฉันให้เธอก็แล้วกันนะ แต่อย่ารีบร้อนจนเกินไปล่ะ ไม่งั้นมันอาจดูเหมือนเธอเป็นมือที่สามได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่จือหนิงก็ดูแข็งทื่อขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ เผยให้เห็นสีหน้าที่ดุร้าย
“อาหยุนกับฉันเรารักกันมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เราก็คงได้อยู่ด้วยกันไปตั้งนานแล้ว เธอนั่นแหละเป็นมือที่สามที่ควรจะถูกทิ้ง!”
เซิ่งเกอเหลือบมองเธออย่างเย้ยหยัน “สรุปใครจะเป็นมือที่สามกันแน่ เดี๋ยวเธอก็คงจะได้รู้”
หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่ออีก เธอเดินอ้อมผ่านมู่จือหนิงไป แต่แล้วตอนที่เธอกำลังจะเดินออกไป จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกคนจับเอาไว้
เธอจึงหันหน้าไปมอง แล้วก็เห็นว่าเป็นมู่จือหนิงที่กำลังแสดงท่าทางน่าสงสารออกมาอย่างชัดเจนมาก ดวงตาของเธอแดงราวกับกระต่าย ประหนึ่งว่าเธอเป็นผู้ถูกกระทำ
“เซิ่งเกอ ฉันขอโทษ ฉันมองว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีกับฉันมาตลอด ครั้งนี้ฉันก็แค่อยากมาหาเธอ ฉันมาด้วยเจตนาดีนะ ฉันไม่รู้ว่าพวกเธอหย่ากันแล้ว ฉันไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝงเลยจริง ๆ นะ เธออย่าโกรธฉันเลยได้ไหม?”
“โห นี่เธอตีสองหน้าเก่งจริง ๆ สินะ?”
เธอหัวเราะขึ้นมาอย่างเหยียด ๆ ตอนที่เธอกำลังจะสะบัดมือของมู่จือหนิงออก จู่ ๆ มู่จือหนิงก็อาศัยการเคลื่อนไหวของเธอ ล้มลงไปกับพื้นอย่างอ่อนคนที่อ่อนแอ แล้วในขณะเดียวกันก็ร้องโอดครวญขึ้นมา
หากมองจากด้านหลังในระยะไกลก็ดูเหมือนว่าเธอผลักมู่จือหนิงอย่างแรง
เหอะ ๆ สนุกดีนะ
เซิ่งเกอพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาเมื่อเห็นการแสดงที่เล่นเองกำกับเองของเธอ ถ้าเธอเดาไม่ผิดล่ะก็ เฟิงหยุนเหนียนคงจะกลับมาพอดีสินะ คาดว่าตอนนี้เขาก็คงจะยืนดูอยู่ที่ประตูแล้วด้วยใช่ไหม?
แล้วก็เป็นไปตามคาด จู่ ๆ ด้านหลังก็มีเสียงที่เกรี้ยวกราดของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมา
“คุณกำลังทำอะไรน่ะ!”