เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไม่ได้รีบลุกขึ้นจากที่นอนหลังจากที่เหอซวี่ออกไปทำงาน หรือจะบอกว่า ฉันไม่กล้าลุกขึ้นก็ได้ ฉันอยากจะค้นหาร่องรอยต่าง ๆ เพิ่มเติม แต่ฉันก็กลัวที่จะเจออะไรที่น่าเจ็บใจมากกว่านี้ ซึ่งฉันอาจรับมันไม่ได้
ฉันตกอยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ จนถึงสิบโมงเช้าถึงได้ลุกจากที่นอน เมื่อคืนฉันแทบไม่ได้หลับเลย ตอนนี้ฉันเลยรู้สึกเวียนหัวและไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ
ฉันค่อย ๆ เดินไปห้องหนังสือทีละก้าว พลางนึกถึงทุกเรื่องราวแสนเจ็บปวดที่ได้ยินเมื่อคืนนี้ ฉันรู้สึกประหม่าขึ้นมาและหัวใจของฉันก็เต้นเร็วขึ้นจนใจสั่น
นรกขุมใหม่ที่ฉันไม่เคยพบพานมาก่อนกำลังรอฉันอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตูบานนั้นเหรอ?
เมื่อฉันเปิดประตูออก ฉันก็เห็นห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย สภาพภายในห้องดู สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
มีถังขยะในหนึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงนอน ในนั้นมีกระดาษชำระใช้แล้วมากมายที่มีกลิ่นน้ำกามที่ผู้ชายหลั่งออกมา
เมื่อดวงตาของฉันกวาดมองไปที่หมอนของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็มองเห็นอะไรบางอย่าง
มันเป็นเส้นผมสีแดงหยิกเป็นลอนยาวสองเส้นที่อยู่บนหมอนใบนั้น
ผมของฉันเป็นสีน้ำตาล และไม่ได้ยาวขนาดนั้นด้วย ผมทั้งสองเส้นนั้นไม่มีทางเป็นของฉันแน่นอน
ฉันเดินออกจากห้องหนังสืออย่างอ่อนล้าที่สุด ราวกับว่า ความมีชีวิตชีวาหายไปจากร่างกายฉันในพริบตา ก่อนจะปิดประตูบานนั้นลงอย่างแผ่วเบา
เหนื่อยเหลือเกิน ฉันไม่มีแรงจะเดินต่อไปอีกแล้ว ฉันเอนตัวพิงกำแพง ทรุดตัวลงนั่งไปกับพื้นราวกับคนหัวใจสลาย พยายามนึกถึงพฤติกรรมที่ไม่ปกติทุกอย่างที่เหอซวี่แสดงให้เห็นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้
ทันใดนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตู เป็นเหอซวี่ที่กลับเข้ามาในบ้าน
ฉันรีบลุกขึ้นยืน แสร้งทำเป็นว่าเดินผ่านห้องหนังสือ ไม่ได้เข้าไปในนั้นเลย ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่น และนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวี ตอนนั้นเองที่ฉันแสร้งทำเป็นนั่งอยู่อย่างสงบบนโซฟา หยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมาจากโต๊ะกาแฟและพยายามเปิดทีวี ฉันรู้สึกประหม่ามากจนต้องกดปุ่มหลายครั้ง ก่อนที่จะเปิดทีวีได้สำเร็จ
ไม่กี่อึดใจต่อมา เหอซวี่ก็เดินเข้ามาหาฉันที่นั่งบนโซฟา ยืนอยู่ตรงหน้าและจ้องมาที่ฉัน ฉันกลัวว่า เขาจะสังเกตเห็นว่าฉันมีบางอย่างผิดปกติ เพราะเมื่อคืนฉันร้องไห้มาตลอดทั้งคืน ร่องรอยยังคงมีอยู่บ้างและเป็นอะไรที่สังเกตได้ง่าย
“ไปเก็บเสื้อผ้าสิ เราออกไปเที่ยวกันนะ” เขากล่าวด้วยเสียงรายเรียบ
“ออกไปเที่ยวเหรอคะ แต่…คุณงานยุ่งมากไม่ใช่เหรอคะ?”
เหอซวี่เป็นคนบ้างาน เราไม่ได้ไปฮันนีมูนหลังจากที่เราแต่งงานกันด้วยซ้ำ ดังนั้นการขอลางานเพื่อออกไปเที่ยวกันสองคนจึงไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับเขา
“ที่ผ่านมา ผมจดจ่อกับงานมากเกินไป เลยไม่ได้ให้เวลากับคุณมากนัก ตอนนี้เธอท้องแล้ว ผมคิดว่าควรพาเธอออกไปข้างนอกบ่อย ๆ จะดีกว่า และการได้ไปพักผ่อนข้างนอกบ่อย ๆ ก็จะดีต่อการเติบโตของลูกน้อยของเราด้วยนะ”
ทว่าสิ่งที่ฉันรู้เมื่อคืนนี้ กลับทำให้ฉันมองว่าเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคดกับฉันอย่างมาก ดังนั้น ฉันเลยมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อค้นหาคำตอบที่อยากรู้
แต่เขากลับสงบอย่างน่าประหลาดใจ ไม่แสดงอะไรผิดปกติออกมาเลย ท่าทางเขาไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งนอกใจฉันเลย ตรงกันข้าม ท่าทางของเขากลับทำให้ฉันเป็นคนที่ดูน่าสงสัยแทน
“เหอซวี่ เมื่อคืนนี้…”
ฉันอยากถามเขาว่าผู้หญิงที่เขามีอะไรกันด้วยในห้องหนังสือเมื่อคืนนี้เป็นใครกันแน่ ทว่าเขากลับจ้องเขม็งมาที่ฉันราวกับกำลังจับผิดอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ฉันกลัวจนเปลี่ยนใจและพูดค้าง
“เรื่องเมื่อคืนนี้เหรอ?” เหอซวี่ถามด้วยเสียงราบเรียบ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่ได้ยินเสียงคุยกันเมื่อคืนนี้”
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
“อ่อ เรื่องนั้นเอง มีหญิงท้องแก่คนหนึ่งป่วยหนักแล้วไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ผมเลยต้องรับโทรศัพท์หลายสายระหว่างที่อยู่ในห้องหนังสือ เพื่อให้คำแนะนำพวกเขา ผมส่งเสียงดังรบกวนเธอไปหรือเปล่า?”
‘ขณะที่มีอะไรกันอยู่นั้น พวกแกจงใจครางดังมาก ก็เพื่อให้ฉันได้ยินเสียงแห่งความสุขของพวกแกไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนี้แกยังจะมาทำเป็นกังวลว่าเสียงดังพวกนั้นจะเป็นการรบกวนฉันไปได้!ตลกสิ้นดี!
ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบ เดินไปที่ห้องนอน เก็บเสื้อผ้าบางส่วนลงกระเป๋าเดินทาง แล้วลงไปข้างล่างกับเขา แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบหกปีแล้ว ไม่ใช่ผู้หญิงหุนหันพลันแล่นในแบบที่ฉันเคยเป็นอีกแล้ว ในตอนนี้ ฉันจำเป็นต้องสืบหาความจริงให้กระจ่างก่อนที่จะบอกให้เขารู้ว่า ฉันรู้เรื่องที่เขานอกใจฉันแล้ว
ฉันคิดว่าฉันคงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะฉันตัดสินใจที่จะรอดูว่าสิ่งต่าง ๆ จะออกมาเป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ฉันรู้ความลับของเขาแล้ว ปรากฏว่าฉันนั้นคิดผิด
ถึงฉันจะมีความเยือกเย็นพอสมควร แต่ฉันก็ยังไม่ได้เก่งพอที่จะคาดการณ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าได้
ในที่สุดฉันก็ตกหลุมพรางของเขา และโดนเขาผลักลงสู่ขุมนรก