### 1.2
“คนทั้งคนคงไม่สลายกลายเป็นอากาศธาตุไปได้หรอก” คุณชายเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ข้าหิวแล้ว”
“โปรดรอสักครู่...บ่าวจะรีบไปยกสำรับอาหารมาเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วจางจงก็รีบเก็บเศษถ้วยเคลือบที่ตกแตกอยู่บนพื้น ก่อนจะรีบออกจากห้องไป
ไม่นานเขาก็ยกสำรับกลับมาวางบนโต๊ะที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของห้อง แล้วมาช่วยประคองคุณชายไปนั่งที่เก้าอี้
อาหารสำรับนั้นมีเพียงข้าวต้มหนึ่งชาม กับผัดผักที่หน้าตาเหมือนผักลวกมากกว่าจานหนึ่ง...แต่เพราะความหิว จ้าวชิงเฟิงจึงกินอย่างไม่เกี่ยงงอน
ทว่าเพิ่งกินไปได้เพียงแค่คำเดียว บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งจากตำหนักใหญ่ก็มาถ่ายทอดคำสั่ง
“ท่านอ๋องมีคำสั่งให้จ้าวอี้เหนียง (อี้เหนียง=คำเรียกอนุภรรยา,อนุชายา จ้าว=แซ่) ไปที่ตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้”
“รอสักครู่...ขอเวลาให้ข้าแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” จ้าวชิงเฟิงเอ่ย
“รอ เรอ อะไรกัน ท่านอ๋องสั่งให้ไปเดี๋ยวนี้ ก็ต้องไปเดี๋ยวนี้” เสียงบ่าวขุ่นเขียวไม่มีความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อยนิด แถมชักสีหน้าบึ้งตึง “รีบตามข้ามา”
จางจงรีบคว้าเสื้อตัวนอกมาคลุมให้แก่จ้าวชิงเฟิง แล้วประคองคุณชายติดตามบ่าวคนนั้นไป
*
*
ตำหนักใหญ่โอ่อ่าโอฬารงดงามสมฐานะชินอ๋อง เรือนท้ายจวนที่จ้าวชิงเฟิงอาศัยอยู่เทียบไม่ติดแม้แต่ขี้ฝุ่น เขาไม่ได้เปรียบเทียบกับที่อยู่ที่เขาเคยอยู่ที่แคว้นเป่ย เนื่องเพราะเขาจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็คิดว่าคงจะไม่งดงามเท่านี้ ก็เขาเป็นโอรสที่เกิดจากนางสนมชั้นปลายแถว ซ้ำพระบิดายังไม่ใส่ใจอีก นอกจากใช้เป็นของบรรณาการครั้งเดียวทิ้งเท่านั้น
จางจงประคองเขาเดินตามบ่าวคนนั้นเข้าไปยังห้องโถงรับรองที่พื้นปูด้วยหยกขาวสะอาดหรูหรา ส่วนการตกแต่งอื่นๆ เขาไม่ได้เงยหน้าดู เพราะรู้ดีว่าตนมีฐานะไม่ได้ดีไปกว่าบ่าวทาสคนหนึ่ง จึงต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้ อีกอย่างเขาก็รู้สึกมึนหัวปวดหัวจนไม่อยากจะสนใจอะไรมากนัก
พอบ่าวที่นำหน้ามาหยุดเดิน จางจงก็หยุดเดิน คุณชายจึงพลอยหยุดเดินตามไปด้วยอีกคน
“คารวะท่านอ๋อง” บ่าวคนนั้นหมอบลงโขกศีรษะ
จางจงกำลังจะประคองคุณชายให้หมอบลงคารวะตามอย่างบ่าวคนนั้น จ้าวชิงเฟิงก็หน้ามืดทรุดฮวบลงกองกับพื้นเสียก่อน โดยมีจางจงโอบประคองศีรษะของเขาเอาไว้ไม่ให้กระแทกพื้น และเผลอร้องลั่นด้วยความตกใจ
“คุณชาย คุณชาย...”
“เขาเป็นอะไรไป?”
เสียงทุ้มมีอำนาจดังมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาคนนั้นสวมใส่อาภรณ์หรูหราสีกรมท่าที่ปักลวดลายด้วยด้ายทองคำ คิ้วเข้มตาคมกริบ เครื่องหน้าสมส่วนงามสง่า รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกำยำ ดูเปี่ยมอำนาจบารมี ทีท่าสงบเยือกเย็น
“เรียนท่านอ๋อง...คุณชายไม่สบายขอรับ” จางจงตอบเสียงเครือ
“ป่วยเป็นอะไร?”
“บาดเจ็บขอรับ”
“ตกลง...ป่วยหรือบาดเจ็บ?” ดวงตาคมกริบเจือแววดุ
“คะ...คือ...”
จางจงอึกอักพูดไม่ออก เพราะเกรงว่าถ้าพูดอะไรออกไปอาจจะทำให้คุณชายเดือดร้อนยิ่งกว่าเก่า
“มีอะไร พูดออกมาให้หมด และพูดแต่ความจริง!”
เสียงเข้มงวดของชินอ๋องทำให้จางจงจำใจต้องเล่าเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนออกมา พร้อมกันนั้นก็คอยสังเกตสีหน้าของชินอ๋องอย่างระมัดระวัง
แต่ชินอ๋องไม่แสดงสีหน้าอะไร เพียงรับฟังเฉยๆ เท่านั้น ก่อนจะถามว่า
“เจ้าไม่ได้ตามหมอมาดูอาการของเขาหรอกหรือ?”
“บ่าว...เอ่อ...ไม่กล้าขอรับ”
จางจงเอ่ยอย่างลำบากใจ ด้วยฐานะของคุณชายบวกกับข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเช่นนั้น แม้ในจวนจะมีท่านหมออยู่ประจำ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปเชิญมาตรวจดูอาการของคุณชาย บ่าวผู้ซื่อสัตย์ได้แต่ภาวนาในใจให้ท่านอ๋องเมตตาออกคำสั่งให้ตนไปเชิญท่านหมอมาดูคุณชาย เพราะเวลานี้ตัวคุณชายร้อนรุ่มด้วยพิษไข้ แต่ท่านอ๋องก็ยังคงนิ่งเฉย จางจงลอบถอนหายใจ เอามือลูบเส้นผมที่ระดวงหน้าในอ้อมแขนมาทัดไว้ที่ใบหู เผยดวงหน้าซีดเซียวของคุณชายให้ท่านอ่องเห็นเผื่อว่าจะได้รับความสงสารบ้าง
ทันทีที่เห็นดวงหน้าของจ้าวชิงเฟิงชัดตา ปากที่ได้รูปของชินอ๋องก็กระตุกเบาๆ เขาเพ่งมองไฝแดงเม็ดเล็กๆ ที่ใต้หางตาซ้ายของคุณชาย และเพื่อให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นก็ถึงกับลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้
ใช่คนผู้นี้!
ใช่ดวงหน้านี้!!
ชินอ๋องหลี่เฉิงยังจำได้ดี...เมื่อห้าปีก่อนเขาลอบเข้าไปสืบความลับในพระราชวังของแคว้นเป่ย แล้วพลาดท่าได้รับบาดเจ็บหลบหนีไปยังท้ายวัง เขาพบกับเด็กหนุ่มอายุราวสิบสองคนหนึ่ง แต่งกายเรียบร้อย หน้าตาสะสวย ยิ่งมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ อยู่ใต้หางตาซ้าย ยิ่งส่งเสริมให้ดวงตาหงส์คู่งามดูมีเสน่ห์น่ารักมากยิ่งขึ้น...เป็นดวงตาที่น่าหลงใหลยิ่งนัก!
เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงชี้นิ้วขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ เขาก็รีบทะยานกายขึ้นซ่อนตัวบนนั้น
ทหารกลุ่มหนึ่งติดตามมาถึงในเวลาอึดใจเดียว พากันคารวะเด็กหนุ่มและถาม
“องค์ชาย ท่านเห็นคนร้ายหนีมาทางนี้หรือไม่ขอรับ?”
เด็กหนุ่มเพียงแค่ส่ายหน้า
กลุ่มทหารกลุ่มนั้นก็พากันแยกย้ายไปค้นหาที่อื่นต่อ
เด็กหนุ่มเหลียวหน้ามามองที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่ทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อครึ่งปีก่อนที่เขานำทัพแคว้นหนานโจมตีจนแคว้นเป่ยแตกพ่าย เขาพยายามค้นหาเจ้าของไฝแดงเม็ดเล็กที่ใต้หางตาซ้ายในหมู่ราชวงศ์อายุราวสิบหกสิบเจ็ด
แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
ไม่คิดว่าคนที่ตามหาจะอยู่ในจวนของเขานี่เอง
“เจ้าอุ้มเขามาที่ห้องข้างก่อน” ชินอ๋องสั่งจางจง ก่อนจะเดินนำไปยังห้องข้าง ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้สำหรับสาวใช้ส่วนตัว (นางบำเรอ) แต่ถึงแม้ชินอ๋องจะไม่มีสาวใช้ส่วนตัว ทว่าห้องหับก็ยังคงเก็บกวาดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยอยู่เสมอ จางจงรีบทำตามอุ้มร่างบอบบางของคุณชายตามชินอ๋องไป และวางลงบนเตียงนอนของห้องข้างอย่างเบามือ
“เจ้าไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้” ท่านอ๋องสั่งบ่าวรับใช้คนหนึ่ง
“ขอรับ” บ่าวรับใช้รีบปฏิบัติตามคำสั่ง
ไม่นาน...ท่านหมอวัยกลางคนก็มาถึง และทำการตรวจร่างกายของคุณชายทันที
พอท่านหมอตรวจเสร็จ ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะห่างจากเตียงนอนไม่มากนักก็ถามขึ้นทันทีว่า
“อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ร่างกายขาดอาหาร บาดแผลระบมจนเป็นไข้ บาดแผลที่หลังแม้ระบมมาก แต่รักษาไม่ยาก ทว่าที่ท้ายทอยนั้นอันตรายยิ่งนัก”
“อันตรายแค่ไหน?” ชินอ๋องถาม
“อาจถึงชีวิต!”
____________