ซึ่งเกิดจากชายคนรักที่เป็นรักแรกและรักเดียวของเธอเมื่อครั้งเธอไปเป็นนักเรียนทุกเมื่อ4ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นเวลาที่หนักหน่วงมากที่สุดสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวในต่างแดนแบบเธอแต่ก็ยังดีที่มีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่คอยช่วยเหลือเธอตลอดซึ่งคนที่ช่วยเธอก็เป็นน้องชายของอดีตคนรักของเธอแต่ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับที่เธอต้องบอกความจริงและเหตุผลถึงแม้แม้จะเป็นเหตุผลที่ฟังดูแล้วเห็นแก่ตัวก็ตาม ที่เลือกเดินออกมาจากชีวิตพี่ชายของเพื่อนชายคนนี้ ถึงแม้ในตอนแรกเพื่อนชายคนนี้จะมีท่าทีคัดค้านอยู่บ้างแต่สุดท้ายก็ยอมช่วยซึ่งเรื่องที่เธอท้องจะมีเพียงแค่ครอบครัวเธอและพ่อแม่เพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่รู้ เธอก็ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนเพื่อไม่ให้ชายคนรักรู้ว่าเธออยู่ไหนโดยได้รับความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของอดีตคนรัก และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะเธอยังต้องเรียนอยู่ที่เดิมและอาศัยอยู่ใกล้มหาลัยที่เธอเรียนและที่ทำงานที่เธอทำงานช่วงเลิกเรียนและวันหยุดเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปเรียนและทำงานแต่เพราะเอมีพ่อแม่ของชายหนุ่มคอยให้ความช่วยเหลือจึงทำให้เขาหาเธอไม่เจอ
มันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ท่านทั้งสองต้องช่วยคนที่ทิ้งลูกชายพวกท่านเพราะเหตุผลที่ฟังแล้วเห็นแก่ตัว แต่ที่ท่านช่วยอาจจะเพราะในท้องคือหลานของท่านในตอนแรกที่เพราะพาไปที่บ้านเพื่อบอกว่าเอท้องก็แอบกลัวว่าจะโดยท่านดุด่าที่เลือกตัดสินใจแบบนี้แต่สุแล้วท่านทั้งสองก็เลิกที่จะเคารพการตัดสินใจของเธอ และคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆโดยไม่ให้อดีตคนรักของเธอรู้
4 ที่แล้ว ประเทศสหรัฐอเมริกา
“สวัสดีค่ะ เอ้ย!! Hello” ร่างบางเดินเข้าไปทักชายแปลกหน้าที่ยืนเหม่อลอยราวกับคนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดดังคนถูกมนต์สะกด เพื่อจะถามทางแต่กลับหลุดพูดภาษาไทยออกไปด้วยความเคยชินจึงรีบเปลี่ยนภาษาใหม่
“เอ่อ สวัสดีครับ” ร่างสูงที่ยืนตกตะลึงกับความน่ารักเป็นธรรมชาติบนใบหน้าของร่างบางตรงหน้าที่ไม่ได้ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางสีฉูดฉาดแต่กลับมีใบหน้าที่ขาวนวล แก้มใสแดงระเรื่อของเลือดฝาดทำให้ดูน่ามอง ก่อนจะหลุดจากภวังค์เมื่อเสียงหวานทักขึ้นก่อนจะทักทายร่างบางกลับไปเป็นภาษาไทยเช่นกันพร้อมกับส่งยิ้มที่หาดูได้ยากส่งไปให้เธอ
“อะ..อ้าว แก้ม เอ้ย ฉันนึกว่าคุณเป็น...” ร่างบางที่เกือบหลุดสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองเวลาอยู่กับเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวออกไปกับชายแปลกหน้า
“เป็นอะไรครับ คุณคิดว่าผมเป็นอะไรครับ อย่าตัดสินคนที่ภายนอกสิครับ” ร่างสูงถามกลับพูดน้ำเสียงหยอกเย้ายียวน แต่ก็ยังคงเรียบนิ่งตามนิสัยของตนพร้อมยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของร่างบางตรงหน้าที่ดูจะเหวอเมื่อเขาพูดขึ้นเป็นภาษาไทย
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะ หน้าคุณไม่เหมือนคนไทยหรือคนเอเชียสักนิด มองจากทางเข้าสนามบินยังรู้เลยว่าไม่ใช่คนไทย” ร่างบางตอบกลับตามความคิดของตัวเองในครั้งแรกที่ได้พบชายแปลกหน้า แต่ประโยคหลังเธอเพียงแค่พูดเบากับตัวเองเท่านั้นแต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เธอพูดกับตัวเองนั้นคนตรงหน้าเธอนั้นได้ยินชัดเจนทุกคำเช่นกัน
“ผมเป็นลูกครึ่ง แม่เป็นคนไทยสอนพูดตั้งแต่เด็กเลยพูดได้ ว่าแต่คุณมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ เหมือนคุณกำลังต้องการความ ช่วยเหลือนะครับ” ร่างสูงไขข้อสงสัยให้สาวน้อยน่ารักตรงหน้าได้รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดภาษาไทยได้ก่อนจะถามเหตุผลที่เธอเดินเข้ามาทักเขา แต่ก็มิวายหลุดขำออกมาเมื่อได้ยินสาวน้อยตรงหน้าพึมพำกับตัวเองโดยที่ไม่ทันไห้เธอได้สังเกตได้ว่าเขาได้ยินที่เอพูดกับตัวเอง
“เอ่อ คือฉันจะถามคุณว่าที่พัก......จากสนามบินต้องไปยังไงคะ คือฉันพึ่งเคยมาเป็นครั้งแรกไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน” ร่างบางพึมพากับตัวเองเสร็จจึงหันมาสนใจคำถามของชายตรงหน้าและตอบคำถามเขา
“อืม คุณเดินตรงไปนะมันจะมีประตูทางออก ตรงนั้นจะมีแท็กซี่จอดคอยรับคนอยู่คุณก็บอกที่ที่คุณจะไปกับคนขับ ไม่ไกลหรอก” ร่างสูงอธิบายเส้นทางตามที่ร่างบางถามแต่สายตาก็ไม่ละจากการมองใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มไม่หยุดจนอธิบายเสร็จเส้นทางที่เธอต้องไปเรียบร้อยก็ยัคงไม่ละสายตาจากเธอเช่นเดิม
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยบอกทาง งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” ร่างบางเอ่ยขอบคุณที่ร่างสูงบอกทางไปที่พักให้เธอและยิ้มหวานจนตาหยีส่งไปให้ร่างสูงหนึ่งทีและเดินจากไปตามทางที่ร่างสูงอธิบายให้เธอฟังเมื่อครู่
หลังจากที่ร่างบางเดินจากไปสายตาของร่างสูงก็เอาแต่มองตามร่างบางไปจนสุดสายตา จนแทบจะลืมธุระที่ทำให้เขาต้องมาที่สนาม ซึ่งการมาครั้งนี้ทำให้เขาได้เจอกับสาวน้อยน่ารักที่ทำให้หัวใจแกร่งเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะเอาแต่นึกถึงใบหน้าของร่างบางที่เพียงแค่เดินเข้ามาถามทาง เขาว่าเขาต้องขอบคุณเจ้าน้องชายตัวแสบที่ไหว้วานให้เขาเป็นธุระมารับที่สนามบินวันนี้เสียแล้ว จากคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิตแต่ตอนนี้เขาเริ่มจะเชื่อแล้วสิว่าพรหมลิขิตมีอยู่จริง เพราะเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนต่อจะให้มีใครเข้าหาเขาหรือยั่วยวนมากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครสักคน เธอคนนี้ทำอะไรกับเขากันแน่นะและเขาเชื่อเธอและเขาจะต้องได้เจอกันอีกแน่
“Hey!! Bro ได้ยินไหมเนี้ย” มิกซ์น้องชายคนเล็กเดินตรงเข้ามาทักพี่ชายหลังจากเดินออกมาจากเกรดแต่เรียกเท่าไหร่พี่ชายเขาก็ไม่หันเอาแต่มองไปที่ประตูทางออกมิกซ์จึงทักซ้ำอีกครั้งเพื่อเรียกสติพี่ชายสุดที่รักที่กำลังหลุดลอยไม่ถึงดาวอังคารให้กลับมา และก็ได้แต่คิดว่าพี่ชายของเขากำลังมองอะไรอยู่และอะไรที่สามารถดึงดูดความสนใจพี่ชายของเขาได้ขนาดนี้จนอดที่จะมองตามไม่ได้แต่พอมองไปตามระยะสายที่พี่ชายก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าสนใจสักนิด
“Bro!! พี่มาร์ติน ได้ยินผมไหมเนี้ย ยืนเหม่ออะไรของพี่ว่ะ Hey!!!” ปากก็เรียกพี่ชายมือก็สะกิดแขนพี่ให้รู้สึกตัว มองอะไรของเขานักหนา หรือว่าพี่เขาทำงานหนักจนเบลอนะ แด๊ดต้องใช้งานพี่เขาหนักแน่ๆ
“หะ..ห๊ะ อื่ม มานานหรือยัง” ร่างสูงหลุดออกจากภวังค์เมื่อโดนน้องชายสะกิดที่แขนก่อนจะหันไปถาม
“เห้อ ผมมาตั้งนานแล้วเถอะ เรียกพี่ตั้งนานก็ไม่หัน ยืนเหม่ออยู่นั้นแหละ” มิกซ์ได้ทีก็บ่นร่างสูงที่มัวแต่มองไปที่ประตูทางออกจนไม่รู้ว่าน้องตัวเองมาถึงตั้งนานแล้ว อาการหนักแล้วพี่ชายเขา
“พูดมาก” ร่างสูงตอบกลับสั้นๆ ตามนิสัยของตัวเองที่เป็นคนพูดน้อยหรือบางครั้งแทบจะไม่พูดเลยด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็นบวกกับน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ตนมักใช้ประจำ
“ชิ เย็นชาจังนะกับน้องเนี้ย ทีเมื่อกี้เห็นนะว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว” มิกซ์พูดประชดประชันอย่างไม่ได้จริงจังนักที่โดนพี่เย็นชาใส่ตามนิสัยขี้เล่นของตนเพราะตั้งแต่จำความได้พี่ชายเขาก็พูดแบบนี้อยู่แต่ก็จะมีกับแม่ของพวกเขาเท่านั้นแหละที่พี่จะพูดอ่อนโยนด้วย
“เสือก” ร่างสูงพูดจบก็เดินนำออกไปด้านนอกเพื่อที่จะกลับบ้านโดยไม่รอน้องชาย
“โห อะไรว่ะ แซวแค่นี้ทำเป็นด่าแก้เขิน เฮ้ย รอด้วยดิ ให้มารับจะมาทิ้งกันแบบนี้ได้ไง” มิกซ์บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะรีบลากกระเป๋าวิ่งตามพี่ชายตัวเองออกไป หากช้ามีหวังได้กลับเองเป็นแน่พี่ชายเขาที่ยิ่งไม่ค่อยสนใจใครเท่าไหร่นัก
“แกจะให้ฉันไปส่งที่ไหน บ้านหรือคอนโด”ชายหนุ่มเอ่ยถามน้องชายหลังจากขึ้นรถมาแล้ว
“คอนโดก็ได้พี่ พรุ่งนี้มีเรียน เห็นว่าจะมีเด็กทุนด้วยมั้ง น่าจะเป็นคนไทยด้วยนะ”มิกซ์ตอบคำถามพี่ชายแต่ก็มิวายพูดนอกเรื่องที่ถาม
“อืม”ชายหนุ่มตอบอย่าไม่ได้สนใจมากนัก
“ชิ เย็นชาชะมัดเลยพี่ใครว่ะ”มิกซ์ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองกับความเย็นชาของพี่ชายที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างมากนักนอกจากงานแล้วเขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่าอะไรที่จะความสนใจจากพี่ชายเขาได้
หลังจากที่บทสนทนาจบลงภายในรถก็เงียบสนิทไร้เสียงสองหนุ่มพูดคุยกับจะมีแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศภายในรถเท่านั้นที่ดังออกมาให้ได้ยิน รถสปอตคันหรูขับไปตามท้องถนนเพื่อไป จุดหมายปลายทางนั้นก็คือคอนโดของน้องชายซึ่งก็เป็นคอนโดเดียวกับที่ร่างสูงนั้นอยู่ซึ่งคอนโดแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นของที่บ้านร่างสูงเป็นเจ้าของอยู่และชายหนุ่มก็เป็นคนดูแลธุรกิจนี้เช่นกัน เนื่องจากธุรกิจที่บ้านของเขามีหลายอย่างแด๊ดจึงแบ่งให้ลูกๆช่วยกันดูแลตามความถนัดของตน
“ลงไปได้แล้ว ฉันจะไปทำงานต่อ”เมื่อรถจอดสนิทชายหนุ่มก็เอ่ยปากบอกแต่จะไปในเชิงบังคับเสียมากกว่า
“อะไรกันครับ มาถึงก็ไล่กันเลยนะ”มิกซ์ที่ได้ยินอย่างนั้นก็โวยวายขึ้นแบบไม่ได้จริงจังมากนักเพียงแค่ต้องการกวนประสาทพี่ชายให้โมโหเล่นก็เท่านั้น
“จะลงไปดีๆ หรือจะเข้าบริษัทกับฉัน”ชายหนุ่มพูดขู่น้องชายเพราะรู้ดีว่าเจ้าน้องชายตัวแสบไม่ค่อยชอบงานบริหารสักเท่าไหร่ให้เข้าไปช่วยงานแต่ละที่ก็ต้องมีข้อแลกเปรียน
“อะๆ ผมลงก็ได้ ไม่เห็นต้องมองด้วยสายตาเหมือนจะกินหัวกันขนาดนั้นเลย”มิกซ์ยอมลงจากรถแต่โดยดีเพราะขู่ของพี่ชายนั้นช่างน่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว
ปัง!!!
หลังจากที่น้องชายตัวแสบลงจากรถไปชายหนุ่มจึงขับรถมุ่งหน้าไปที่บริษัททันที่ซึ่งก็อยู่ไม่ใกลจากคอนโดที่ตนพักมากนัก เพราะก่อนหน้าที่เขาจะออกไปรับน้องชายเขามีงานที่ต้องจัดการค้างไว้ยังทำไม่เสร็จ แต่เพราะกลัวน้องรอนานเขาจึงเลือกที่จะออกมารับน้องชายก่อน แต่ใครจะไปรู้ว่าการที่เขาไปรับน้องชายที่สนามบินครั้งนี้จะทำให้เขาได้รู้จักคำว่าพรหมลิขิตเป็นยังไง และไม่ว่าเธอจะอยู่มุมไหนของประเทศเขาก็จะถามหาเอให้เจอให้ได้ ไม่ยากเกินความสามารถเขาหรอกแค่ตามหาผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว เธอจะมาทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะแล้วหนีไปแบบนี้ได้อย่างไร
แล้วเราจะได้เจอกันอีกแน่ แก้ม......