สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากการหย่าร้าง เธอไปหมั้นกับศัตรูของเขา ไปมีความรักกับชายหนุ่มน้อย เล่นงานมือที่สาม แก้แค้นอดีตสามี ตัวตนที่แท้จริงของเธอค่อยๆ ถูกเปิดเผย นักเปียโนอันดับหนึ่งของโลก? ดีไซเนอร์ Elan ที่หาตัวยาก? นักลงทุนลึกลับ? หลังจากการหย่าร้างหลี้จิงถิงถึงค้นพบว่าอดีตภรรยาของเขามีความลับมากมายอย่างนี้ เขาอยากตามตื้ออดีตภรรยาของเขากลับมาคบกัน แต่ยังเป็นไปได้ไหมล่ะ มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อปริศนาแห่งประสบการณ์ชีวิตของเธอถูกเปิดเผยจริงๆ หัวใจของเขาแตกสลายอย่างสิ้นเชิง...
ตอนที่ถังเฟิงเยว่ออกมาจากสำนักกิจการพลเรือนนั้น ในมือมี ‘ใบหย่า’ เพิ่มมาอีกสองใบ แต่ภายในใจนั้นกลับสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
จบชีวิตแต่งงานสามปีไปแบบนี้จะบอกว่าไม่อาลัยอาวรงั้นเหรอ
ก็ต้องมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นการปล่อยวางเสียมากกว่า
คนที่ลี่จิ่งถิงรักนั้นไม่ใช่เธอ แม้แต่เมื่อคืนนี้เขาเมาแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์กันครั้งแรก ตอนที่เขากอดเธอนั้นกลับเรียกชื่อผู้หญิงอีกคนขึ้นมาแทน
ถังเฟิงเยว่ระงับความหดหู่ในใจของเธอและยืนอยู่ข้างถนนเพื่อเรียกรถ จากนั้นรถโรลส์รอยซ์สีดำก็ค่อย ๆ หยุดจอดตรงหน้าเธอ
กระจกรถเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นสีหน้าเย็นชาของผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่ที่นั่งคนขับอยู่
ลี่จิ่งถิงนั้นทั้งรวยและรูปหล่อ
“โรงพยาบาลออกประกาศการเจ็บป่วยขั้นวิกฤติสำหรับกู้รั่วเวยอีกแล้ว เธอไปโรงพยาบาลกับฉัน” เขาแค่เหลือบมองเธอและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
‘รั่วเวย’ ‘รั่วเวย’ ชื่อนี้อีกแล้ว!
ในเมื่อหย่ากันไปแล้วชื่อนี้ก็ยังตามหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้นสักที!
“ถ้าฉันไม่ไปหล่ะ? คุณลี่...” เสียงของเธอเบามาก แต่ท่าทางนั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตามปกติ
ลี่จิ่งถิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้านั้นเชื่อฟังเขามาตลอดระยะเวลาที่แต่งงานกัน พอหย่ากันวันแรกก็ขัดคำสั่งเขาซะแล้ว
แววตาที่ไม่แยแสและเย็นชาของผู้ชายคนนั้นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น และถามเธอกลับว่า “เธอลืมสถานการณ์ของตระกูลถังในตอนนี้ไปแล้วรึไงกัน หรือว่าลืมไปแล้วว่าตอนที่กู้รั่วเวยเกิดอุบัติเหตุนั้นเป็นเพราะใคร?”
ใจของถังเฟิงเยว่ค่อย ๆ เย็นชาลงทีละนิด
เธอไม่สนใจเรื่องที่ตระกูลถังกำลังจะล้มละลายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่อุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อนนั้นเธอไม่มีทางลืมแน่นอน
ตอนนั้น ถังหราน น้องชายของเธอกับกู้รั่วเวยไม่รู้ว่าไปนั่งรถคันเดียวกันได้ยังไง พอเกิดอุบัติเหตุ กู้รั่วเวยบาดเจ็บสาหัส ถังหรานนั้นไม่ยอมอธิบายอะไรเลยแม้แต่คำเดียวและก็โดนกล่าวหาว่าฆ่าคนโดยเจตนา จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในคุก
ยังเหลืออีกหนึ่งเดือนเขาก็จะพ้นโทษแล้ว
“ถ้าเธอไม่อยากให้ถังหรานออกมาจากคุกหล่ะก็...” ความลึกล้ำในแววตาของลี่จิ่งถิงเริ่มน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าจะเอาจริงอย่างไรอย่างนั้น
พอเขาพูดมาไม่กี่คำ ก็ทำให้ถังเฟิงเยว่ยอมจำนนให้กับเขา
“โอเค ฉันไปก็ได้”
เธอกำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เปิดประตูหลังนิ่ง ๆ และเข้าไปนั่ง
ระหว่างทางไปโรงพยาบาลนั้น ลี่จิ่งถิงขับรถเร็วมาก นั่นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเขานั้นเป็นห่วงผู้หญิงที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลมากแค่ไหน
ถังเฟิงเยว่จิกฝ่ามือของเธอแน่นจนเป็นห้อเลือดขึ้นมา
จนกระทั่งรถหยุดที่ประตูโรงพยาบาล เธอก็กระแทกปิดประตูรถและลงมาจากรถ ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับลี่จิ่งถิงนั้น เธอพูดสองสามคำที่อดกลั้นมานานแล้วออกมา “แต่นี่เป็นครั้งสุดท้าย”
แววตาสีเข้มของลี่จิ่งถิงเย็นชาและมืดมนเป็นอย่างมาก เขาจ้องแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่ดูราวกับจะหนีไปของเธอ เหมือนกับไม่คิดว่าลูกแมวเชื่อง ๆ นั้นจู่ ๆ ก็กางเล็บออกมา เขานั้นก็ค่อนข้างประหลาดใจ
หลังจากเจาะเลือดแล้ว ถังเฟิงเยว่ที่ใบหน้าซีดเซียวก็กุมแขนตัวเองไว้
เธอเป็นโรคเลือดจางและกลัวเลือด แต่เธอไม่เคยบอกใครมาก่อน
ตอนนั้นถังเจิ้นเทียนกับหลิวฟางชิงคุกเข่าเพื่อขอร้องให้เธอช่วยถังหราน บอกว่าเธอกับกู้รั่วเวยนั้นมีเลือดอาร์เอชลบเหมือนกัน ถ้าเธอยอมบริจาคเลือดให้กู้รั่วเวยจะต้องสามารถช่วยถังหรานได้แน่ ๆ
ถังเฟิงเยว่นั้นไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพ่อแม่ที่รักลูกชายมากกว่าคู่นี้เลย แต่ถังหรานนั้นไม่เหมือนกัน เวลาที่เธอโดนรังแกที่โรงเรียนนั้น เขาจะมาปกป้องเธอเหมือนผู้ใหญ่และตะโกนว่า “พี่ รีบไปก่อน ฉันไม่กลัวพวกมันหรอก!”
ตอนหลังพอเธอเรียกคนมานั้น เขาก็นอนจมกองเลือดอยู่ในตรอกนั้นแล้ว
เพราะเรื่องนี้ เธอเลยโดนหลิวฟางชิงเฆี่ยนด้วยแส้หนังจนหนังชั้นนอกแทบจะหลุด
เพราะงั้นเธอเลยรับปากว่าจะเป็นคลังเลือดให้กู้รั่วเวย แต่เธอมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ เธอต้องแต่งงานกับลี่จิ่งถิง
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเธอรักเขา เป็นรักลึก ๆ ที่เก็บเอาไว้ในใจมาโดยตลอด
ชื่อของผู้ป่วยเขียนไว้ที่หน้าห้องสี่ศูนย์สองว่า “กู้รั่วเวย”
ถังเฟิงเยว่หยุดไปชั่วคราว ก่อนจะหมุนลูกบิดประตูเป็นครั้งแรก
“เธอมาได้ยังไงกัน?” แม้ว่าผู้หญิงบนเตียงในโรงพยาบาลนั้นจะให้น้ำเกลืออยู่ดูไม่เหมือนคนป่วยที่ออกประกาศการเจ็บป่วยขั้นวิกฤติแม้แต่นิดเลย น้ำเสียงของเธอก็ไม่ดีเอาซะเลย “จิ่งถิงหล่ะ?”
“จิ่งถิงของเธอรักเธอมากขนาดนี้ เธอยังจะกลัวเขาหนีไปอีกเหรอ?”
ถังเฟิงเยว่เดินเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าว ก่อนจะหยิบ‘ใบหย่า’ ออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วสะบัดไปมา “กู้รั่วเวย ฉันกับเขาหย่ากันแล้ว นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะบริจาคเลือดให้เธอ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันและถังหรานอีกต่อไปแล้ว”
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้