“กิ่งคะ ชีวิตที่เหลืออยู่ของกิ่งให้พี่เป็นคนดูแลได้ไหม” “พี่นนท์...” คนถูกขอแต่งงานถึงกับพูดไม่ออกและบอกไม่ถูกว่าตอนนี้กำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่เลยได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อรู้เพียงแต่ว่าร่างกายด้านชาไปหมดทั้งตัว “แต่งงานกับพี่นะคะ” ร่างสูงที่คุกเข่าอยู่ยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงซึ่งภายในใส่แหวนเงินเกลี้ยงเรียบ ๆ ไว้ เขาหยิบแหวนเงินออกมาสวมนิ้วนางข้างซ้ายให้กับว่าที่เจ้าสาวก่อนเพื่อไม่ให้เธอปฏิเสธ แบบนี้เขาเรียกว่ามัดมือชกหรือเปล่านะ ว่าที่คู่หมั้นสาวที่ยังไม่ตอบตกลงได้แต่ตั้งคำถามถามตัวเองในใจ “ค่ะ กิ่งแต่งกับพี่นนท์” กรรณิกาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา พยักหน้ารับอย่างดีใจ เธอไม่คิดว่าเขาจะเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานในสถานที่แห่งความทรงจำอย่างนี้ เลยอดที่จะน้ำตาคลอออกมาด้วยความซึ้งใจไม่ได้
เสียงเพลงรักที่เปิดภายในงานและแสงสว่างจากหลอดไฟทางตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวตามแนวถนนเริ่มส่องประกายเป็นสีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสีขาว น้ำเงิน แดง สีเหลือง ตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงบริเวณจัดงาน ซึ่งเป็นลานกว้างภายในรีสอร์ตแห่งหนึ่งที่เป็นของตระกูลดังประจำจังหวัดที่ใช้สถานที่จัดงานในวันนี้ บอกให้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ บริเวณรู้ว่าตรงนี้มีการจัดงานแต่งงานกัน
ด้านหน้ามีซุ้มไว้ต้อนรับแขกเหรื่อที่ติดป้ายชื่อของเจ้าบ่าวเจ้าสาว ทั้งยังจัดมุมถ่ายรูปให้คนที่ชื่นชอบถ่ายรูปได้มีภาพถ่ายไปลงโซเชียลของตัวเอง ตกแต่งด้วยดอกไม้สดโทนขาวชมพูอย่างดอกกุหลาบสลับชมพูอ่อนของดอกลิลลี่ จากช่างมากฝีมือที่ถูกจ้างมาให้ทำงานนี้ ซึ่งจัดได้สวยถูกใจตามแบบที่ลูกค้ารีเครวส จนได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากแขกที่ได้รับเชิญมางาน
ใกล้กันนั้นมีภาพถ่ายพรีเวดดิ้งตั้งโชว์บนขาตั้งไว้กว่าสิบรูป แต่ละภาพบอกเล่าความรู้สึกต่างกัน อย่างภาพแรกเป็นรูปที่นนทภัทรอยู่ในชุดราชปะแตน เสื้อสีครีม มีสไบลายจกสีฟ้าน้ำทะเลพาดบนบ่าข้างซ้าย เข้าชุดกันกับโจงกระเบนสีแดงเลือดหมู ส่งผลให้ชายหนุ่มดูดีมีสง่าราศี ยืนโอบกอดว่าที่เจ้าสาวที่เชิดหน้ามาทางซ้ายเล็กน้อยคอยส่งยิ้มให้กล้องตามแต่ช่างภาพจะบอก ใบหน้าเรียวงามถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพียงบางเบา ผมที่มัดรวบเป็นประจำ ถูกเกล้าเป็นมวยรวบเก็บไว้กลางกระหม่อมปักด้วยปิ่นลายไทยที่มารดามอบให้ หญิงสาวอยู่ในชุดไทยประยุกต์เย็บลายลูกไม้อย่างดี ตัวชุดเป็นแบบคอตั้งแขนยาวเข้าชุดกันกับผ้าซิ่นสีแดงซึ่งทำจากผ้าอินเดียสีทอง
รูปที่สอง หญิงสาวในชุดเกาะอกหันหน้าเข้าหาชายหนุ่มที่โน้มใบหน้าลงมาเล็กน้อย ทำให้ปลายจมูกของทั้งคู่สัมผัสกันท่ามกลางแสงของพระอาทิตย์ที่ใกล้ลาลับขอบฟ้า พลางส่งยิ้มกันอย่างสื่อความหมาย แสดงถึงความรักที่มีให้แก่กันและกัน
อีกรูปเป็นชุดไพรเวตที่แม้จะดูเป็นชุดที่ธรรมดา เรียบง่าย ทว่าหรูหราด้วยเป็นของแบรนด์เนมชื่อดัง เดินอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกหญ้าเป็นภาพที่เธอและเขาชอบมากที่สุดในบรรดาภาพถ่ายทั้งหมด เพราะหมายถึงตัวตนของเขาและเธอจริง ๆ
“เป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย” คุณนันทวัฒน์ เกรียงไกร บิดาของเจ้าบ่าวถามคนงานถึงความเรียบร้อยของงาน เมื่อท่านเดินมาตรวจดูด้วยตัวเอง
“เรียบร้อยดีครับ”
“ถ้ามีอะไรขาดเหลือบอกนะ”
“ครับ” คนงานตอบสั้น ๆ ก่อนเดินเลี่ยงไปทำอย่างอื่นต่อ
ชายวัยกลางคนที่เกษียณอายุก่อนกำหนด มองภาพรวมของงานแต่งงานของลูกชายและลูกสะใภ้ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดวางไว้สำหรับรองรับแขก ทุกโต๊ะถูกปูด้วยผ้าสีขาวลายลูกไม้ บนโต๊ะทั้งมีแก้วน้ำ ถ้วยใบเล็ก ๆ พร้อมทั้งช้อนและตะเกียบ ตามจำนวนเก้าอี้ที่จัดไว้แปดตัวคุมด้วยผ้าคลุมสีครีมคาดด้วยโบสีเหลืองทองสำเร็จรูปผูกไว้ด้านหลัง
มองไปด้านหน้าจะเห็นว่ามีโพรเจกเตอร์ขนาดใหญ่สองฟากฝั่งกำลังฉายภาพความเป็นไปของคนในงาน ใกล้ ๆ กันมีเวทีชุดใหญ่ตั้งอยู่ด้วยความสูงประมาณเมตรครึ่ง เครื่องดนตรีหลากหลายชนิดถูกวางไว้บนนั้น เพื่อรอการแสดงสดในไม่กี่นาทีข้างหน้า
ใครเห็นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าช่างเป็นงานใหญ่งานช้างของปี สมเป็นลูกของคนมีอันจะกิน ซึ่งความคิดของคนเหล่านั้นก็ถูกเสียด้วย เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นลูกหลานของคนมีชื่อเสียงในจังหวัดและยังติดท็อปเท็นที่ทรงอิทธิพลและชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งจังหวัดและต่างอำเภอที่อยู่ใกล้เคียงกัน
แขกเหรื่อทยอยมากันบ้างแล้ว เป็นผลให้เจ้าภาพอันประกอบไปด้วยบิดามารดาของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ออกมาต้อนรับก่อน เนื่องด้วยนนทภัทรและกรรณิกายังแต่งองค์ทรงเครื่องยังไม่แล้วเสร็จ
“สวัสดีครับ” คุณกรรชัย รุ่งโรจน์ บิดาของเจ้าสาวกล่าวทักทายผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งสนิทสนมกันพอควร เดินควงแขนภรรยาเข้างานมา
“สวัสดีครับคุณชัย คุณวัฒน์” พร้อมกับเดินยกมือไหว้ตอบ เมื่อเดินมาถึงตัว พลางถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสนิมสนม
“สบายดีนะครับ” บิดาของเจ้าบ่าวถามบ้าง
“ก็ตามวัยแหละครับ เราต่างก็อยู่วัยนี้กันแล้ว สุขภาพก็เป็นธรรมดาอย่างคนรุ่นเรานั่นแหละ” ท่านเอ่ยเย้าแหย่อย่างอารมณ์ดี
“ท่าจะจริงครับ จะลุกจะนั่งทีต้องระวัง” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหัวเราะออกมากับประโยคของคุณกรรชัย
พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ คุณกรรชัยถึงได้เชิญให้แขกคนสำคัญเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่เตรียมไว้ ยิ่งมืดเท่าไรผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานมามากขึ้นเรื่อย ๆ บ้างก็มาเป็นกลุ่ม บ้างก็มาคนเดียวหรือมาเป็นคู่ แล้วนัดมาพบปะกันที่นี่เพื่อรวมกันให้ได้ครบจำนวนเก้าอี้ที่จัดรอไว้
จากอลิส เจนี่ ร็อกส์ กลายมาเป็นหลิวตานผู้สู้ชีวิตกับระบบทำฟาร์มแสนห่วย ครอบครัวปู่ย่าไม่เหลียวแล กดขี่ข่มเหงทั้งยังทำเหมือนว่าบ้านรองเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น ในฐานะคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากบิดามาก่อน ชาตินี้หลิวตานจึงหาหนทางเพื่อพาบ้านรองไปจุดสูงสุด หลิวตานใช้ความสามารถที่เธอมีพลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของผัก ทำฟาร์มผัก และยังมีตัวช่วยอย่างระบบทำฟาร์มแสนห่วยอยู่ในมือ เธอจะต้องพาครอบครัวมั่งคั่งร่ำรวยให้ได้! แต่ระบบที่มีทำให้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันช่วยเหลือเธอได้จริง ๆ - -
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม