“ฟางจิ่นซิ่ว ตลอดเวลาหลายปีที่ข้าเลี้ยงดูเจ้ามา ข้าถือว่าใจดี และเมตตากับเจ้ามามากพอแล้ว คนอื่นเขาขายลูกสาวให้กับแม่เล้ากันไปหมดแล้ว แต่เรายังรู้จักผิดชอบชั่วดีก็เลยเลือกที่จะหาบ้านผัวให้เจ้าแทนอย่างไรเล่า”
“เจ้าจะมาหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้ ครอบครัวของเรามีเฮียใหญ่ของเจ้าเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว หมอบอกว่าขาที่หักของเขาสามารถรักษาได้ ขอเพียงแค่เรารวบรวมเงินได้ห้าตำลึง”
“เจ้าเป็นแม่หญิงไม่ว่ายังไงก็ต้องแต่งานออกเรือนอยู่แล้ว ตอนนี้มีคนยอมจ่ายเงินห้าตำลึงเพื่อซื้อเจ้าไป เจ้าก็คิดซะว่ามันเป็นการตอบแทนบุญคุณของพ่อเจ้า และข้าที่เลี้ยงดูเจ้ามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็แล้วกัน”
ฟางจิ่นซิ่วที่ถูกดึงหัวรู้สึกปวดหัวอยู่ครู่หนึ่ง ความทรงจำของเจ้าของเดิมค่อย ๆ ฉายภาพขึ้นมา ความจริงแล้วนางได้เดินทางทะลุมิติข้ามภพข้ามชาติไปยังสมัยโบราณโดยไม่รู้ว่าเป็นช่วงสมัยใด
นางกลายมาเป็นลูกสาวคนที่สามของตระกูลฟางที่มีชื่อเดียวกัน
นางมีเฮียใหญ่อยู่คนหนึ่งชื่อว่าฟางเจี้ยนเหริน ปีนี้อายุสิบเก้าปี เขาเป็นคนโปรดของพ่อแม่ และเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลฟาง
นอกจากนี้ยังมีพี่สาวคนที่สองชื่อฟางหมิงเซี่ย ซึ่งเป็นฝาแฝดกันกับนาง มีอายุสิบแปดปี แต่พวกนางที่อยู่ในวัยเดียวกันกลับมีชะตากรรมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฟางหมิงเซี่ยเป็นคนปากหวาน นิสัยเจ้าของร่างเดิมเป็นคนซื่อ และเงียบ ดังนั้นเวลาอยู่ในบ้านฟางหมิงเซี่ยจึงจะได้รับความโปรดปรานมากกว่านาง
นอกจากนี้ยังมีน้องสาวคนเล็กชื่อฟางเสี่ยวเฉา อายุสิบสามปี เป็นคนที่เวลาอยู่ที่บ้านจะไม่ได้รับความโปรดปรานเหมือนกันกับนาง ซึ่งสาเหตุที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเป็นเพราะตอนที่ฟางเสี่ยวเฉาอยู่ในท้อง หมอดูบอกว่าเป็นลูกชายที่จะทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง
แต่ผลปรากฏว่าพอคลอดออกมาแล้วนางกลับเป็นหญิงสาวที่ขี้โรคร่างกายอ่อนแอเสียอย่างนั้น
หวังซิ่วเม่ยที่เป็นแม่ของเจ้าของร่างเดิม ต้องการที่จะขายนางให้กับครอบครัวนายพรานแซ่จงที่อยู่บนภูเขา เพื่อนำเงินมารักษาขาของลูกชาย
ได้ยินมาว่าตระกูลจงก็ยากจนข้นแค้นมากเช่นกัน แล้วก็มีแม่ขี้โรคที่ร่างกายอ่อนแออยู่คนหนึ่งด้วย จงยวี่ที่เป็นลูกชายคนโตสามารถล่าสัตว์ได้ แต่เขาเป็นคนดุร้าย มีสมญานามว่ายักษ์
คนในหมู่บ้านยังพูดกันอีกว่าจงยวี่ผู้นี้ใช้เงินซื้อภรรยามาจากตระกูลฟาง เพราะเขาหาภรรยาไม่ได้ คาดว่าคงจะไม่มีใครทนรับการทรมานของเขาไหว หากเข้าไปในตระกูลจง ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องตายเป็นแน่
เจ้าของร่างเดิมตกใจกลัว หนีไปกลางดึก แต่กลับถูกฟางต้าจู้ผู้เป็นพ่อแท้ ๆ ตามไป และใช้ไม้ตีอย่างแรงเพื่อจับตัวกลับมา
เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็กลับกลายเป็นคนที่มีชื่อแซ่เดียวกันเสียอย่างนั้น
ฟางจิ่นซิ่วรีบหาน้ำทิพย์จากภิภพที่นางบังเอิญได้มาก่อนจะข้ามภพมาที่นี่ เมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ นางก็รู้สึกโล่งใจ
นางไม่รู้ว่าจงยวี่เป็นยักษ์หรือไม่ นางรู้แค่ว่าคนที่ฆ่าเจ้าของร่างเดิมคือฟางต้าจู้พ่อผู้ให้กำเนิดของนาง
ไม้ค้อนนั้นส่งนางขึ้นสวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว
หวังซิ่วเม่ยยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูนางไม่หยุด
ฟางต้าจู้จึงเดินเข้ามาดึงภรรยาของเขาไป แล้วบอกให้นางสงบสติอารมณ์ลง
ถึงยังไงตระกูลจงก็เป็นครอบครัวนายพราน ไม่แน่ต่อไปจิ่นซิ่วอาจจะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ได้ ถึงเวลานั้นครอบครัวของพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ เจ้าหยุดพูดก่อน”
เขาดึงฟางจิ่นซิ่วขึ้นมา และพูดว่า “จิ่นซิ่ว พ่อกับแม่ไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
“ยังไงจงยวี่ผู้นี้ก็รู้วิธีการล่าสัตว์ ยุคสมัยนี้ หากเจ้าไปอยู่บ้านเขาก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะต้องตายอย่างที่คิดก็ได้”
“อย่าคิดที่จะหนีอีกเลย แล้วก็ห้ามหนีกลับบ้านมาเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
“แต่ถ้าอนาคตมีชีวิตที่ดีขึ้น ปีใหม่เจ้าก็กลับมาเยี่ยมข้า และแม่ของเจ้าได้”
“การที่พวกเราเลี้ยงดูเจ้ามาจนเติบใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ เลย เจ้าอย่าเนรคุณเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
ฟางจิ่นซิ่วแอบหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เจ้าของร่างเดิมโดนพ่อฆ่าตายเลย
ต่อให้จะไม่ตาย แต่เขาในฐานะพ่อกล้าที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้กับลูกสาวของตัวเองที่ถูกขายออกไปได้อย่างไร
ในเมื่อคิดที่จะขายนางทิ้งแล้ว ยังจะห้ามไม่ให้นางลืมบุญคุณด้วยอย่างนั้นน่ะหรือ?
ช่างน่าขบขันสิ้นดี ต่อให้เขาจะขอร้องอ้อนวอนนางอย่างไร นางก็จะไม่มีวันกลับมาเป็นอันขาด