ในปี 2534 ต้นและหญิงได้พบกันเป็นครั้งแรกในร้านของต้น จาก “เด็กพิลึก” ที่ต้นเคยรู้สึกกับหญิง กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆในหัวใจ ที่กลายเป็นความรัก ชีวิตในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ยิ่งทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ต้นก็ยังไม่กล้าบอกความในใจ แม้เมื่อหญิงต้องย้ายไปอเมริกา แต่ความห่างไกลนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรค กลับทำให้ความรักมั่นคงยิ่งขึ้น และทั้งคู่รู้ว่า สิ่งที่ต้องการที่สุด คือการได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ความฝันใกล้เป็นความจริง เมื่อต้นได้งานที่อเมริกา แต่เหตุร้ายในไต้หวัน ทำให้ต้นไม่สามารถจำอะไรได้ เขามีเพียงข้อความจากหญิง ที่จะช่วยนำความรักและความทรงจำกลับมา
See you soon
From Ton_Tanuphat@hotmail.com
To Yingindesert@hotmail.com
Sept 21 at 1.32
แคนตาลูปลูกน้อยของพ่อ
เรากำลังจะได้เจอกันแล้วนะ หลังจากการรอคอยวีซ่าที่แสนจะยาวนาน ในที่สุด พ่อกำลังจะได้ไปหาลูกแล้ว ถึงจะยังไม่เจอหน้าลูกเลยทันที เพราะลูกจะยังอยู่ในท้องแม่อีกเกือบๆ สองเดือน แต่อย่างน้อย พ่อจะได้ไปดูแลแม่เสียที
เดือนหน้า แม่คงจะยิ่งทำอะไรลำบากขึ้น เพราะจากแคนตาลูปน้อย ลูกจะกลายเป็นแตงโมย่อมๆไป
ตอนนี้พ่อกับแม่รู้แล้ว ว่าลูกเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย และได้ตั้งชื่อไว้ให้ลูกแล้ว หวังว่าลูกจะชอบชื่อนี้ มีเรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับชื่อของลูก เอาไว้พ่อจะค่อยๆเล่าให้ฟัง
แม่บอกว่าพ่อคุยเก่งข้ึน ตั้งแต่มีลูก ไม่รู้สินะ เวลาอยู่กับแม่ พ่อชอบฟังแม่คุย ชอบฟังเสียงของแม่ ฟังเรื่องที่แม่เล่าให้ฟัง ลูกได้ยินเสียงแม่ทุกวัน คงเห็นตรงกับพ่อ ว่าแม่เสียงเพราะ เล่าเรื่องสนุก เวลาแม่หัวเราะ ฟังแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ แต่สำหรับลูก มีเรื่องมากมายที่พ่ออยากจะเล่าให้ฟัง หวังว่าลูกจะไม่เบื่อ
พรุ่งนี้พ่อต้องไปขึ้นเครื่องบินแต่เช้า แต่ทำท่าว่าจะนอนไม่หลับ เพราะตื่นเต้นมาก ที่หน้าตึกมีตู้โทรศัพท์ สำหรับโทรไปต่างประเทศได้ พ่อคิดว่าจะลงไปโทรหาแม่กับลูก นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราต้องคุยกันผ่านโทรศัพท์
รักแม่กับลูกสุดหัวใจ
พ่อ
______________________________________________________________________________________________
1.40 น เวลาท้องถิ่น เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน
ต้นกำลังก้าวเท้าออกจากห้อง แต่ฉุกคิดถึงของรับขวัญที่ป๊ากับแม่ฝากมาให้ลูก เขาตัดสินใจหันกลับไปหยิบตลับสีแดงเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเดินทาง แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตด้านหน้า ในมือถือกุญแจห้อง และบัตรเครดิตที่จะใช้ในการโทรศัพท์ทางไกลไปอเมริกาไว้
เวลากลางดึกเช่นนี้ ไม่ต้องคอยลิฟท์นาน เหมือนช่วงเช้าและเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คนที่พักอาศัยในตึกเดินทางออกไปทำงาน และกลับเข้ามา ถึงแม้ต้นจะมาพักที่นี่แค่เพียงสองวัน เพื่อรอขึ้นเครื่องบินต่อไปยังอเมริกา แต่เขาก็พอจะคุ้นเคยกับกิจวัตรของผู้พักอาศัยที่นี่
1.45 น.
ประตูลิฟท์เปิดออก ต้นก้าวเท้าออกจากลิฟท์ เดินผ่านบริเวณล้อบบี้ที่ว่างเปล่า เขากำลังก้าวเท้าออกไปนอกตัวอาคาร เมื่อได้ยินเสียงเหมือนฟ้าร้อง ที่ดังที่สุดที่เขาเคยได้ยินอยู่ทางด้านหลัง
เมื่อหันกลับไปมองเขาเห็นว่า ตัวตึกที่เคยตั้งตระหง่านอยู่กำลังทรุดตัวลง เศษอิฐ เศษปูน รวมถึงวัสดุ และสิ่งของที่ประกอบกันเป็นตัวอาคาร ร่วงหล่นลงมาทุกทาง เสมือนหนึ่งมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็น จับฉีกแล้ว โยนออกไปทั่วสารทิศด้วยความโกรธเกรี้ยว
ต้นออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก่อนที่เขาจะหนีพ้น จากความหายนะนั้น หนึ่งในส่งที่กำลังตกลงมา ฟาดลงที่ศรีษะของเขาอย่างจัง สิ่งสุดท้ายที่เขาระลึกได้ ก่อนที่สติจะดำดิ่งไปสู่ความมืดมน คือ คำสัญญาในอีเมลฉบับสุดท้าย ว่ากำลังจะได้พบ คนสองคนที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของเขา ดูเหมือนว่า เขาจะไม่สามารถรักษาสัญญานั้นไว้ได้เสียแล้ว
กลางดึกของคืนวันที่ 21 กันยายน ปี คศ 1999 ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในประเทศใต้หวัน แรงสั่นสะเทือนอยู่ที่ 7.6 ริกเตอร์ นานถึง 102 วินาที
ผลจากแผ่นดินไหว ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,415 ราย บาดเจ็บมากกว่า 11,305 ราย สูญหาย 29 ราย สิ่งปลูกสร้างพังเสียหาย 51,711 แห่ง
ตึก Tunghsing ในเมืองไทเป เป็นตึกที่ถล่มลงมา จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น
________________________________________________________________________
2534
“ต้น มาช่วยป๊าจัดร้านเตรียมรับเปิดเทอมหน่อย”
เสียงป๊าตะโกนมาจากชั้นล่าง ซึ่งเป็นร้านขายของชำร้านใหญ่ที่สุด ในอำเภอเล็กๆ ทางภาคเหนือตอนล่าง
ต้นปิดหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่กำลังอ่านอยู่ แล้วรีบวิ่งลงไปหาป๊าที่ชั้นล่าง เพราะต้นรู้ดีว่า ป๊าเป็นคนใจร้อน เรียก
ปุ๊ปต้องมาปั๊ป ป๊าพูดเร็ว ทำเร็ว ลูกจ้างร้านอยู่ไม่ค่อยยืด เพราะป๊าบอกว่า ทำงานช้าเกินไป ก็เลยตกมาที่ต้น และน้องสองคน ในการช่วยป๊าจัดการกับร้านเป็นส่วนใหญ่
ร้าน “ช. สมบูรณ์” ขายทุกอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบจริงๆ แต่ตอนนี้ป๊ากำลังสาละวน กับการจัดส่วนหนึ่งของร้าน เป็นอุปกรณ์การเรียน เช่น สมุด ดินสอ ปากกา ฯลฯ เพราะใกล้เปิดเทอม ระหว่างที่ป๊าสาละวนกับการสั่งต้น ให้ยกนั่นไว้ตรงนี้ ยกนี่ไว้ตรงนั้น มีชายวัยกลางคนที่ต้นรู้จัก และเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับต้น ที่ไม่คุ้นหน้า ก้าวเข้ามาในร้าน
ต้นไม่เคยเห็นเด็กหญิงคนนี้มาก่อน ในอำเภอเล็กๆที่มีถนนสายหลักแค่สองสาย ไม่มีใครที่ต้นไม่รู้จัก เพราะทุกคนต้องเคยมาซื้อของที่ ช. สมบูรณ์ ไม่มากก็น้อย สิ่งที่สะดุดตาต้น คือ ผมดำขลับ แต่ตัดไว้สั้นแค่ไหล่ และดวงตาโต เงาระยับ ที่มองดูข้าวของในร้านอย่างสนใจ
“สวัสดีครับ หมอพงษ์”
ป๊าส่งเสียงทักทายชายกลางคน คุณพงษ์ทำงานที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ ถึงไม่ใช่นายแพทย์ แต่ทุกคนที่ทำงานโรงพยาบาลก็เป็น “หมอ” ในสายตาของชาวบ้าน
“สวัสดีครับเฮีย”
คุณพงษ์และเด็กหญิง ยกมือไหว้ป๊า
“นี่ลูกสาวครับ ยุดากานต์, หญิง ย้ายมาอยู่กับผม และจะไปโรงเรียนเดียวกับต้นด้วย”
ต้นวางลังสมุดลงบนพื้นแล้วเดินมาไหว้คุณพงษ์
“ต้น กำลังขึ้น ม. 5 ใช่ไหม” คุณชัยถาม
“ครับ”
คุณพงษ์มีท่าทีดีใจเมื่อได้ยินคำตอบ
“หญิงก็เหมือนกัน ไม่รู้จะได้อยู่ห้องเดียวกันรึเปล่านะ ยังไงอาฝากต้นดูหญิงด้วยนะ”
มาถึงตอนนี้ หญิง พูดขึ้นมาค่อยๆ แต่หนักแน่นว่า
“พ่อค่ะ หญิงไม่ได้อยู่อนุบาลนะ ถึงต้องมีพี่เลี้ยง แล้วต้นคงไม่อยากเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่งหรอกค่ะ”
เมื่อเหลือบมองหญิง ก็เห็นแววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความขบขัน ริมฝีปากที่แย้มออกจนเกือบจะเป็นรอยยิ้มนั้น ส่งให้ลักยิ้มบนแก้มชัดยิ่งขึ้น ต้นรู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งใบหน้า ตอนนี้ทั้งหน้าและหูคงจะแดงไปหมด ก็เลยได้แต่ก้มหน้าลงมองเท้า ที่ใส่ร้องเท้าแตะคีบอยู่ พร้อมกับคิดในใจว่า คนพิลึก ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ คงจะยิ้มเขิน ม้วนต้วน แต่นี่ดันมีหน้ามาแซว แถมเกือบๆจะหัวเราะใส่อีก
คุณพงษ์หัวเราะแห้งๆ แล้วบอกให้หญิงไปเลือกอุปกรณ์การเรียนที่ต้องการ
ป๊าชวนคุณพงษ์ไปนั่งที่โต๊ะ ที่ใช้ทำสารพัดอย่าง ทั้งทำบัญชี กินข้าว ทำการบ้าน และตอนนี้เป็นที่รับแขกคุณพงษ์นั่งลงรอหญิง ป๊าเปิดขวดโค้กแช่เย็นให้คุณพงษ์ ป๊าชอบคุณพงษ์ เพราะคุณพงษ์เป็นลูกค้าที่ดี ไม่เคยติดเงิน และสุภาพเรียบร้อย ไม่เบ่งอำนาจ เหมือนข้าราชการคนอื่นๆ
“แม่เค้าย้ายไปอเมริกา กับสามีใหม่ อย่างที่เฮียรู้ เราหย่ากันนานแล้ว หญิงก็อยู่กับแม่เค้ามาตลอด ผมก็แค่ไปเยี่ยมตอนปิดเทอม”
“แม่เค้าอยากให้ไปด้วย แต่หญิงไม่ยอมไป”
คุณชัยนิ่งไป ก่อนจะเล่าต่อว่า
“เค้าบอกว่าไม่ยุติธรรม เพราะแม่ยังมีสามีใหม่ดูแล แต่ผมไม่มีใครเลย ลูกเลยขอมาอยู่กับผม”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะหมอพงษ์ เราก็คนกันเอง อย่าเกรงใจ”
นั่นเป็นวันแรกที่ต้นได้รู้จัก หญิง เด็กหญิงพิลึกในความเห็นของต้น
________________________________________________________________________________
วันเปิดเทอมการศึกษา ปี 2534
ในอำเภอเล็กๆที่ต้นอยู่นั้น ถึงแม้จะมีโรงเรียนมัธยม แต่ครอบครัวส่วนใหญ่ ยังนิยมส่งลูกหลานไปเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมในอีกอำเภอ ซึ่งมีขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงกว่า การเดินทางไปโรงเรียนก็อาศัยรถเมล์ ที่ขนส่งระหว่างจังหวัดใกล้เคียง รถเมล์เที่ยวเช้าจะเต็มไปด้วยเด็กนักเรียน และในเที่ยวขากลับก็เช่นกัน
ป้ายรถเมล์ในอำเภอ จะมีสองป้าย ป้ายแรกอยู่หน้าซอยทางเข้าโรงพยาบาล ป้ายที่สองเป็นป้ายหน้าตลาด
เมื่อต้นและน้องสาวทั้งสองขึ้นรถเมล์ที่ป้ายหน้าตลาด หญิงนั่งอยู่บนรถ ในที่นั่งใกล้หน้าต่าง หญิงหันมามองกลุ่มเด็กนักเรียนที่เดินขึ้นรถ เธอยิ้มให้เมื่อเห็นต้น แล้วพูดว่า “สวัสดีต้น”พร้อมกับส่งยิ้มเผื่อไปถึง ข้าวตอกและข้าวตูน้องสาวของต้น เด็กทั้งสองทำหน้าทึ่ง ว่าเฮียต้นไปรู้จักพี่สาว ยิ้มสวยคนนี้ได้ยังไง เพราะในวันที่ คุณพงษ์ พาหญิงไปซื้ออุปกรณ์การเรียน เด็กทั้งสองไปเยี่ยมยายกับแม่
“หนูนั่งกับพี่ได้รึเปล่า”
ข้าวตอกถามหญิง และยังไม่ทันรอคำตอบก็เลื่อนตัวเข้าไปนั่งเบาะเดียวกับหญิง และเริ่มชวนคุยอย่างคนมนุษย์สัมพันธ์ดี ส่วนต้นกับข้าวตูนั่งเบาะถัดไปด้านหน้า
ก่อนรถจะออก มีเด็กผู้ชาย 3-4 คน วิ่งกรูขึ้นมาบนรถ ส่งเสียงดังเอะอะ ดูท่าทางเอาเรื่อง(ในทางไม่ดี) แค่เช้าเปิดเทอมวันแรก ชายเสื้อก็ออกมานอกกางเกงซะแล้ว
“หวัดดีคับเฮีย”
ตัวหัวโจกกล่าวทักทายต้น
“หวัดดี”
ต้นตอบรับเรียบๆ พร้อมกับนึกในใจว่า วันนี้จ้อนจะหาเรื่องแซวใคร เพราะคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจ้อนคือ “ปากอยู่ไม่สุข” มักจะแซวคนโน้น กระเซ้าคนนี้ หลายๆคนไม่ตลกไปด้วย แต่ถ้ายิ่งต่อปากต่อคำ จ้อนจะยิ่งชอบใจใหญ่ คนส่วนมากก็จะขมุบขมิบคำด่าเบาๆ และทำเป็นไม่สนใจ
แต่จ้อนไม่กล้าแหยมกับต้น เพราะป๊าอนุญาติให้บ้านจ้อน “แปะ” ค่าของ แล้วค่อยไปจ่ายตอนสิ้นเดือน
แต่วันนี้ จ้อนมองเห็นเหยื่อคนใหม่ นั่งคุยอยู่กับข้าวตอก เด็กหญิงคนนั้นใส่ชุดนักเรียน ม.ปลาย หน้าตาไม่คุ้น
“หวัดดีจ้ะน้อง เพิ่งย้ายมาเหรอ”
สายตาจ้องไปที่หญิง ใบหน้ายิ้มกริ่ม มือหนึ่งโหนรถเมล์ อีกมือถือหนังสือ ทั้งๆที่เป้สะพายหลังก็มี แต่เจ้าตัวคิดว่า ถือหนังสือไปแบบนี้ดูเท่ดี
“ใครบอกว่า..”
ข้าวตอกตั้งท่าจะตอบ แต่โดนจ้อนขัดจังหวะ ด้วยการยกนิ้วชี้ ส่ายไปมาหน้าข้าวตอก
“อ๊ะๆๆ ใครพูดกับเธอข้าวตอก .. พูดกะคนข้างเธอต่างหาก”
ต้นได้ยินทั้งหมด กำลังคิดว่าต้องออกโรงช่วยหญิง ก่อนจะโดนจ้อนก้อร่อก้อติก แต่ได้ยินเสียงหญิงพูดขึ้นเรียบๆว่า
“ต้องเรียกเราว่าพี่ เธอเด็กกว่าเรา”
พร้อมกับหันไปมองจ้อนตรงๆ ด้วยนัยน์ตาดำขลับคู่นั้น
“เหรออ รู้ได้ไงจ้ะ”
“ก็ที่ถืออยู่ในมือ เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา ของเด็ก ม. 4 รึเปล่าล่ะ”
เน้นคำว่า “เด็ก” เสียงดัง และพูดต่อไปว่า
“เราอยู่ ม. 5 เรียกเราว่า พี่หญิงได้ แล้วน้องชื่ออะไร”
เน้นคำว่า “น้อง” ดังๆ
ตอนนี้เด็กๆในรถเริ่มหัวเราะกันคิกคัก ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาดังๆว่า
“น้องจ้อน” และที่เหลือก็ฮากันครืน
ต้นหันไปมองหญิงที่เบาะหลัง หญิงกำลังหัวเราะเห็นฟันขาวซี่เล็กๆเรียงราย ลักยิ้มที่แก้มบุ๋มลงไปอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่สะดุดตาบนใบหน้าของหญิงที่สุดคือ ดวงตาทั้งคู่ ที่ตอนนี้ส่งประกายสนุกระยิบระยับ
จ้อนเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย ร้อยวันพันปี ไม่เคยมีใครต่อปากต่อคำกับจ้อน ในที่สุดก็มาเจอดีจนได้
“จ้อน ครับ แจ้!!”
จ้อนทำท่าวันทยาหัตถ์ให้หญิง แล้วเดินไปนั่งที่เบาะด้านหลังรถ ทั้งๆที่ยังหัวเราะอยู่ ต้นถอนหายใจออกมาเบาๆ บางทีคุณพงษ์ อาจจะไม่ต้องฝากให้เขาดูแลลูกสาวให้ เพราะดูแล้วหญิงเอาตัวรอดเองได้
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
นุชพินตา ควรเป็นเจ้าสาวที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้แต่งงานกับ ปุลวัชร เจ้าบ่าวที่ทั้งหล่อ รวย เนื้อหอม เป็นเจ้าชายในฝันของสาวๆ ทั้งเมือง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าบ่าวในฝันนั้น...ทั้งไร้หัวใจ และไม่ได้รักเธอสักนิด! การแต่งงานที่ไร้รัก อยู่กันไปก็มีแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อเธอไม่อาจปฏิเสธ แม้จะต้องถูกเขาทำร้ายหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะทำอย่างไรหากใจที่ไม่คิดปรารถนารักกลับอยากได้ความรักจากเขา ------------------------------ “เธอเคยนอนกับผู้ชายหรือเปล่า” เขาถามออกมาจากปากร้าย ตอนที่เธอได้ยินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ และในนาทีต่อมา นุชพินตาก็รู้สึกโกรธมาก หญิงสาวโต้เขากลับ “ทำไมผู้ชายดี ๆ การศึกษาดี ๆ ถึงได้พูดจาแบบนี้คะ มาพูดดูถูกกัน เมื่อกี้ก็หาว่าพวกเราขายตัว และตอนนี้ยังมากล่าวหาฉันอีกว่าฉันสำส่อน คุณถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน ที่คุณเคยนอนด้วยหรือยังไงคะ” ความเจ็บปวดระบายออกมาทางสายตา เขาเป็นบ้าอะไรกันนี่ คำพูดแบบนี้มาจากสันดานข้างในหรือเพราะว่าเขาเมา “แล้วเธอเคยมีอะไรกับผู้ชายหรือเปล่าล่ะ” เขาย้ำอีกครั้ง จ้องสบตาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ปากร้าย ประโยคนี้คุณไม่ควรถามออกมาด้วยซ้ำไป” จากที่เรียกเขาว่าพี่ปุ่น ชักขุ่นและมีอารมณ์โมโหขึ้นมาเปลี่ยนสรรพนามที่คนฟังก็รู้ว่าห่างเหิน “ผู้หญิงที่ดี ๆ ที่ไหน จะตอบตกลงแต่งงานกันชายแปลกหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น” “แล้วมันยังไงคะ” นุชพินตาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “เธออาจจะเป็นมือสองก็ได้” ‘เมื่อคืนเขาไปนอนที่ไหน แล้วไปนอนกับใคร’ ‘อ้อ… ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นสินะ’ ดวงตาเศร้าลง เธอลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่าง และมองออกไปยังท้องทะเล แสงอาทิตย์กระทบกับระลอกคลื่นที่ไล่เรียงกันกระทบเข้าฝั่ง นุชพินตาถึงกับถอนหายใจดังเฮือก ‘ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ มาให้เขาย่ำยีเล่นใช่หรือไม่’ เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ‘ยะหยาอย่าเสียใจไปเลยนะ เธอต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง แข็งแรงเถอะ ในเมื่อเธอก็ไม่ได้รักเขาเหมือนกัน’ คำพูดปลอบโยนตัวเอง ‘ใช่… ฉันไม่ได้รักเขา และจะเกลียดเขาให้มากกว่านี้’ เธอตอกย้ำคำนี้เข้าไปในหัวใจของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นและสายตาที่แน่วแน่ แม้จะรู้สึกเจ็บแน่นในหัวอก ------------------------------ “ฉันจะหย่ากับเธอ” เขาเอ่ยอย่างใจดำ หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบ เธอเม้มขบริมฝีปาก กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว นุชพินตาพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว “นางผู้หญิงไร้ยางอาย แพศยาฉันเกลียดผู้หญิงหลายใจ ฉันเกลียดผู้หญิงที่นอกใจ ไปให้พ้นจากบ้านของฉัน ไปให้พ้นจากหน้าฉัน พรุ่งนี้จะให้ทนายทำใบหย่า” “พี่ปุ่นคะ” เธอยกมือขึ้นมาไหว้เขาปลก ๆ “เราสองคนเพิ่งแต่งงานกันเองนะคะ ยะหยาไม่อยากให้คุณลุงและคุณย่าเสียใจ” “แต่สิ่งที่เธอทำล่ะ มันน่าอาย แล้วเธอไม่ละอายบ้างเหรอ หน้าด้าน” เขามีอาการเสียใจ และหัวเสีย นุชพินตาเอง เธอไม่คิดว่าปุลวัชรจะปากร้ายด่าทอเธอได้ถึงเพียงนี้ “ฉันจะหย่ากับเธอแน่นอน เตรียมปากกาไว้เซ็นใบหย่าในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” พูดจบ เขาเดินเข้าไปใช้มือปัดแจกันที่อยู่ใกล้ และชกบานกระจกที่ใช้ตกแต่งอยู่ในห้องโถงด้วย จนกระจกแตกละเอียดทั้งบาน มือของปุลวัชรมีเลือดไหลซึม เขาจะเดินเข้าห้องทำงานและปิดประตูตามหลังดังโครม นุชพินตาตกใจ และหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอได้เห็น ความดีใจที่สามีจะกลับมา เธอจะบอกข่าวดีเขา และกินข้าวด้วยกัน ได้มลายหายไปสิ้น มีเพียงความเศร้าเข้ามาทับถมอยู่ในจิตใจของนุชพินตา แล้วหญิงสาวยกมือขึ้นมาปิดหน้าปิดตาปล่อยโฮ
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว