เมื่อความรัก... ละลายความแค้น หญิงสาวที่งดงาม ไร้เดียงสา เมื่อวันหนึ่ง ชีวิตของเธอตกอยู่ในกรงเล็บของ นักฆ่า ไร้ใจ ไร้รัก จักรวาลของเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อดวงตางดงามคู่นั้น สะกดเขาเอาไว้ ทุกนาที...
อพาทเม้นท์ส่วนตัวสุดหรู ใจกลางมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นที่พักของนางแบบสาวดาวรุ่งของวงการ เธอเริ่มต้นจากการประกวดจากรายการรีอัลริตี้โชว์ระดับแนวหน้า หลังจากได้รับตำแหน่ง ก็กลายเป็นนางแบบชื่อดังชั่วข้ามคืน นับจากนั้นแพททรีเซียมีชีวิตต่างออกไปจากเดิม กลายเป็นคนนอนดึกตื่นเช้าและออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารตามโปรแกรมที่กำหนดขึ้นเพื่อไม่ให้เรือนร่างระหงมีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย
บางครั้งหญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตตัวเองในตอนนี้มันต่างกับหุ่นยนต์ตรงไหนกัน อาจจะต่างก็ตรงที่เธอมีลมหายใจเท่านั้น เพราะอย่างอื่น เธอถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้เป็นไปตามการควบคุมเสียทุกอย่าง
ตอนนี้แพททรีเซียอ่านข่าวของตัวเองจากหน้าจอแทบเลทระหว่างที่กำลังรอผู้จัดการส่วนตัว
ขณะที่อ่านข่าวไป คิ้วก็ขมวดเข้าชนกัน เพราะเนื้อหาข่าวชวนให้หัวเสียอย่างยิ่ง หากผู้จัดการส่วนตัวรู้เข้า ต้องเป็นเรื่องแน่ๆ เพราะพอลล่าคือคนจากเอเจนซี่ที่ส่งมาดูแลหล่อน ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ในวันนี้พอลล่าจะมารับหล่อนไปถ่ายโฆษณาในฐานะพรีเซ็นเตอร์น้ำหอมแบรนด์ดังคอลเล็คชั่นใหม่ต้อนรับช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง
ปกติแพททรีเซียให้เวลากับการเช็คข่าวของตัวเองก่อนออกไปทำงานเสมอ ก็ได้ข้อมูลข่าวจากสื่อบันเทิงพวกนี้ล่ะ ไว้เช็คเรทติ้งของตัวเองถึงแม้นานครั้งจะมีโอกาสได้อ่านเจอข่าวของตัวเองก็เถอะ ที่ว่านานๆ ทีนั้น ใช่ว่าแพททรีเซียจะไม่ดังเสียเมื่อไหร่ หากเพราะแพททรีเซียแทบไม่มีข่าวฉาวต่างหาก ก็ภาพลักษณ์ออกจะเป็นนางแบบสาวดาวรุ่งน้องใหม่ผู้แสนดี นับว่าสื่อยังคงจับตาที่ความสดใสมากกว่าจะมุ่งทำร้ายทำลายชื่อเสียงเธอ
เย็นวันนี้หญิงสาวมีคิวถ่ายโฆษณาต่อตอนทุ่มครึ่ง ก่อนที่สาวใหญ่อย่างพอลล่าซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวจะพาไปออกรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ชื่อเสียงเธอ ตอนนี้กำลังฮิตติดลมบน ไอ้เรื่องข่าวเสียๆ หายๆ ที่จะทำให้เสื่อมเสียจนกระทบไปถึงเรทติ้งน่ะ ไม่มีแน่นอน...
ซึ่งในวันนี้กับเมื่อครั้งที่แพททรีเซียเข้าวงการใหม่ๆ มันต่างกันมาก
‘ความดัง มันก็อยู่คู่กับความเป็นข่าวนะแพททรีเซีย ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่มีข่าวบนสื่อ นักข่าวไม่สนใจเวลาเธอไปไหนต่อไหน นั่นแสดงว่า วันนั้น...ไม่ใช่วันของเธอแล้ว จำเอาไว้!’ แพททรีเซียหยุดนึกถึงคำพูดของพอลล่าในอดีต ที่บอกเล่าด้วยน้ำเสียงแบบคนช่างเม้าท์นิดหน่อย ซึ่งในเวลานั้นแพททรีเซียยังเด็กมากและเป็นเพียงนางแบบน้องใหม่ โนเนม โนบอดี้...
พอลล่าจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้แพททรีเซียได้เป็นข่าวและชิงพื้นที่สื่อให้ได้มากที่สุด เท่าที่ความสามารถของผู้จัดการส่วนตัวอย่างเธอจะทำได้
‘แล้วเป็นข่าวซุบซิบแบบนี้จะดีเหรอคะพอลล่า’ แพททรีเซียถามด้วยความไม่ประสีประสา
ซุบซิบนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แต่อย่าให้ฉาว แค่ไม่มีหนุ่มฮิบฮอปย่องขึ้นเพ้นท์เฮ้าส์ หรือมีข่าวว่าหนูไปอาบแดดแบบไม่ใส่อะไรเลยที่ชายหาดกับมาเฟียตัวพ่อ ก็พอแล้วค่ะ’ พอลล่าให้เหตุผล
แต่วันนั้นกับวันนี้มันต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนนี้โด่งดังมีชื่อเสียงแล้ว นางแบบดาวรุ่งอย่างแพททรีเซีย ก็ต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์มากขึ้นด้วย หญิงสาวรีบปิดหน้าจอ เพราะ ‘ข่าว’ ที่กำลังเผชิญในตอนนี้ มันควรที่จะถูกเก็บเป็นความลับมากกว่า เพราะถ้าข่าวมันบานปลายใหญ่โต เรื่องมันจะไม่จบแค่กรอบเล็กๆ อย่างที่เห็นน่ะสิ!
“Hi! แพท พี่มาแล้ว เตรียมตัวเสร็จยัง?” พอลล่าเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมเอ่ยทักทาย กระทั่งมาหยุดที่โซฟาอ่อนนุ่มสีสวยราคาแพงและยุบตัวลงนั่งใกล้ๆ นางแบบสาวที่ว่า
“ค่ะ” แพททรีเซียตอบ มือก็ซ่อนแทบเลทไว้แทบไม่ทัน แต่ก็ยังตีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ซ่อนอะไรไว้ หากท่าทีพิรุธของหญิงสาวก็ไม่อาจเล็ดรอดสายตาของพอลล่าได้
“เราซ่อนอะไรไว้?” พอลล่าหูตาไวจะตาย เธอพบว่ามีสิ่งพิรุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แววตาของแพททรีเซีย เปิดเผยเกินไป
“มะ... ไม่มีนะคะ” แพททรีเซียปฏิเสธประหนึ่งว่าเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ตีสีหน้านิ่งเฉย พยายามเก็บซ่อนความผิดปกติเอาไว้อย่างที่สุด แต่นั่นกลับไม่เป็นผลสำเร็จ
“แล้วนี่อะไร?” พอลล่าลุกขึ้น หยิบหลักฐานขึ้นมาโชว์ หน้าจอแทปเลทของนางแบบสาวมันยังคงโชว์หน้าจอเดิมที่เพิ่งอ่านไปทำให้พอลล่าเสพข่าวนั้นอย่างหงุดหงิดและเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง
แพททรีเซียกับนักร้องหนุ่มที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ กลายเป็นคู่กิ๊กกันได้ยังไง?
“มีข่าวแบบนี้ได้ยังไงแพททรีเซีย?” พอลล่าถามเสียงกร้าว
“แพททรีเซียไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดนะ แล้ววันนั้นมันเรื่องงานล้วนๆ แพททรีเซียอธิบายได้” เหตุผลของนางแบบสาว น้ำเสียงก็ดูหนักแน่น ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิดหรืออ่อนข้อต่อพอลล่าแต่อย่างใด
‘ทำผิดแล้วยังจะมาตีสีหน้าแบบนี้อีกนะยัยเด็กหัวดื้อ เดี๋ยวจะให้แก้ปัญหาเองเสียให้เข็ด’
พอลล่าคิดในใจ มันอดไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวที่ไม่มีแววของความรู้สึกสำนึกผิดเสียด้วยซ้ำเมื่อถูกจับได้
“ไปคุยกันในรถ” พอลล่าดุอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะเดินนำหน้าหญิงสาวออกนอกเพ้นท์เฮ้าส์ ตรงไปยังที่จอดรถแล้วบึ่งไปกองถ่ายแบบโฆษณา
พอลล่าดูแลแพททรีเซียดีมากอย่างไร้ที่ติ เพราะเธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ปกป้องนางแบบดาวรุ่งเบอร์หนึ่งอย่างแพททรีเซียได้อย่างยอดเยี่ยม พอลล่าเองก็เจนวงการไม่เบา นางแบบในสังกัดภายใต้การดูแลของหล่อน ถึงจะมีน้อยแต่ก็อยู่ในระดับแนวหน้าทั้งนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แพททรีเซีย ตอนนี้สื่อกำลังจับตานางแบบสาวดาวรุ่งลูกครึ่งไทย-อเมริกันคนนี้ งานไหลมาเทมาจนเธอเองยังตั้งตัวไม่ทัน เชื่อได้เลยว่าแพททรีเซียยังมีอนาคตไปได้อีกไกล
‘ก็เพราะนางแบบคนอื่นน่ะเหรอ เทียบไม่ติดฝุ่นเลยด้วยซ้ำ’
แต่กับข่าวซุบซิบนี้ที่เห็น ก็คงไม่ต่างกัน งานเข้างานใหญ่ให้พอลล่าได้แก้ปัญหาอีกแล้ว!
แพททรีเซียนะแพททรีเซีย!! แพททรีเซีย ดาร์ลิง คือชื่อในวงการของเธอ
เพราะ “ข่าว” มันก็เป็นเหมือนดาบสองคมให้ทั้งคุณและโทษ ทั้งสร้างชื่อให้นางแบบโนเนมดังชั่วข้ามคืนก็จริง หากขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือทำร้ายให้เสื่อมเสียชื่อเสียงงานหมดเงินหดได้เหมือนกัน
ข้อเท็จจริงข้อนี้ พอลล่ารู้เป็นอย่างดี
บ้าฉิบ! รถพวกนี้มันหลุดมาจากนรกรึไง ถึงขับกันได้ห่วยแบบนี้!!” ระหว่างทางพอลล่าก็สบถไปตามทาง ชนิดที่ใครขับปาดหน้า พี่แกเป็นต้องปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกมายั้วเยี้ย
“เฮ้ ใจเย็นสิพอลล่า” หญิงสาวเตือน ผู้จัดการหันมามองหน้าเด็กในสังกัดแบบเหวี่ยงๆ สงสัยยังไม่หายหงุดหงิด อาจจะมีอารมณ์ต่อเนื่องมาจากข่าวซุบซิบที่เธออ่านเจอ
มันต้องชัวร์อยู่แล้วล่ะ เป็นใครจะใจเย็นเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้ล่ะ หากต้นสังกัดรู้ เป็นต้องคอขาด เผลอๆ งานพรีเซนเตอร์ที่กำลังจะไปถ่ายทำจะพาลยกเลิกให้
“เงียบ! แพททรีเซีย!!” พาลหันมาดุนางแบบสาวน้อยจนเธอทำได้แค่เพียงกระพริบตาปริบๆ สองครั้งก่อนจะถอนหายใจยาว ‘ความผิดเราสินะ’
“โธ่...” แพททรีเซียลากเสียงยาว
“อย่าโมโหไปเลยพอลล่า... แล้วก็ไม่ต้องซิ่งขนาดนั้นด้วย ยังไม่หายโกรธแพทหรือคะ” แพททรีเซียถามอย่างสำนึกผิด เธอไม่ได้เจตนาอยากให้มันเป็นข่าวนี่
“ยัง” ผู้จัดการส่วนตัวตอบด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง
“แพททรีเซียขอโทษ อย่าโกรธแพทเลยนะคะ เดี๋ยวเสียสุขภาพนะ” หญิงสาวออดอ้อน
“เราน่ะไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย”
“เปล่านี่คะ” ตอบพร้อมทำปากยื่น
“เรามาเคลียร์เรื่องข่าวกันก่อนสิ” พอลล่าทำเสียงดุ
“ไม่เห็นต้องเคลียร์เลย ในข่าวไม่ได้เขียนชื่อแพททรีเซียสักหน่อย”
“คิดว่าประชาชนไม่รู้หรือไงว่าในข่าวน่ะคือเรานะแพท” พอลล่าทำน้ำเสียงประชด แล้วดุต่อ “แล้วนี่... แอบไปเจอกันตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็รู้ๆ อยู่ พ่อนักร้องฮิปฮอบนั่นเจ้าชู้อย่างกับอะไร คบหาผู้หญิงหลายคน ดารานางแบบ เซเลบริตี้ พริตตี้ สาวไฮโซ มั่วไม่มีซ้ำหน้า แล้วเรายังเอาตัวเองเข้าไปยุ่งทำไมหา?” พอลล่าดุอย่างอ่อนใจ เมื่อรายละเอียดของข่าวคือภาพหลุดที่ปาปารัซซี่แอบถ่าย ขณะนางแบบสาวเดินควงกับพ่อนักร้องฮิปฮอปชื่อดัง ถึงจะไม่ได้ไปกันแค่สองต่อสองก็เถอะ แต่ภาพที่ออกมาแบบนั้น มันดูเสียหาย
เห็นทีพอลล่าจะมีมาตรการทำโทษแพททรีเซียให้หลาบจำแน่ๆ
“ที่ไปเที่ยวคืนนั้นพวกเราก็ไปกันหลายคนนะคะ หลังจากเที่ยวเสร็จแล้วแพททรีเซียไม่ได้ทำอย่างที่มีในข่าวสักหน่อย ไม่ได้ย่องขึ้นเพ้นท์เฮ้าส์ใคร แล้วก็ไม่ได้พาใครขึ้นเพ้นท์เฮ้าส์ตัวเองด้วย แพทคอนเฟิร์ม!” นางแบบสาวหยุดพูด พลางหันไปมองกิริยาตอบสนองต่อคำปฏิเสธของเธอ แต่อีกฝ่ายยังพ่นไฟออกทางรูขุมขน แพททรีเซียสูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดต่อไปอีก “นักร้องคนนั้น เขามาส่งแพทถึงแค่ลอบบี้เพ้นท์เฮ้าส์ด้านล่าง แค่นั้นเองจริงๆ นะ” หญิงสาวหยุดสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้งอย่างหนักใจ
“แพททรีเซียขอย้ำนะคะ ว่าคืนนั้นก็มากันหลายคนด้วย เพื่อนๆ กันทั้งนั้น แพทกับเขา เราก็ไม่ได้จูบกันอย่างในข่าวเลยสักนิด ถ้าพอลล่าไม่เชื่อ จะเอาเพื่อนแพทมาช่วยยืนยันไหมคะ?” นางแบบสาวยืนกราน พร้อมดึงบุคคลที่สามเข้ามาเอี่ยว เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนเอง
แต่กระนั้น ก็ไม่กล้าสบตากับพพอลล่านานๆ อยู่ดี
แหงล่ะ แพททรีเซียกลัวพอลล่าผู้จัดการส่วนตัวผู้มากล้นประสบการณ์จะอ่านความในใจของเธอออกจนหมดเปลือก
พอลล่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ร้ายกาจเชียวล่ะ ที่ผ่านมาโกหกทีไร นางแบบสาวเจ้าสเน่ห์อย่างแพททรีเซียมีอันโดนจับได้ทุกทีเลยเชียว
คราวนี้ ชะตากรรมก็คงไม่ต่างกัน
“พี่เชื่อเรานะ แต่ประชาชนจะเชื่อหรือเปล่า นั่นมันอีกเรื่องนะแพททรีเซีย!” พอลล่าดุเสียงดัง ตาเขียวปั๊ด คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้
ในที่สุดแววตาคู่งามนั้นก็โรจน์วาวด้วยความโมโห ตายแน่ๆ คราวนี้แพททรีเซียนางแบบเบอร์หนึ่งตายแน่ๆ
“...” แพททรีเซียยอมจำนนแต่โดยดี ไม่อาจตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น แหงล่ะ ตอนนี้นอกจากพอลล่าแล้วสังคมคงตัดสินเธอไปแล้วเรียบร้อยสินะ!
“พี่เคยเตือนเราแล้วใช่ไหม? อยู่ในวงการต้องระวังเนื้อระวังตัว อย่าให้เป็นข่าว” ดูเหมือนความดุดันในน้ำเสียงของพอลล่าเหมือนจะลดลงบ้างแล้ว
“ก็เมื่อก่อน... เห็นพยายามให้แพททรีเซียเป็นข่าวนี่คะ” เสียงหวานย้อน หน้าหวานยังยิ้มอ่อนจนน่าจับมาตีก้น
“กับตอนนี้มันเหมือนกันเสียเมื่อไหร่” พอลล่าเกือบจะกรีด เห็นหน้าสวยตาใส บทจะดื้อก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ เถียงคำไม่ตกฟาก ยิ้มอ่อนหน้าตายอีกด้วยนะ มันน่ามันเขี้ยวไหมล่ะ
“แพททรีเซียรู้ค่ะ แต่คืนนั้นไม่มีอะไรจริงๆ” หล่อนอยากให้พอลล่ารับฟังคำอธิบายของเธอบ้าง
“แล้วมันมีภาพหลุดแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” พอลล่าซักไซ้ด้วยน้ำเสียงเข้มขึง
“ไปคุยเรื่องงาน เสร็จแล้วเพื่อนๆ ก็มาส่งที่เพ้นท์เฮ้าส์ก็แค่นั้นเอง” แพททรีเซียอธิบายเหตุผลให้ผู้จัดการส่วนตัวฟังเป็นฉากๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงที่เธอไม่ได้มีอะไรกับนักร้องฮิปฮอปมาดเพลย์บอยนั่น แต่ที่ต้องโกหกว่ามีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะคิดว่าตนเองจะโดนดุน้อยลง เพราะความอยากหนีเที่ยวแท้ๆ เลยแพททรีเซีย
“คุยงาน ทำไมต้องขึ้นเพ้นท์เฮ้าส์?”
“โธ่.... พอลล่า แพททรีเซียก็แค่ไปปาร์ตี้ พบกันบ้างอะไรบ้าง แต่คืนนั้นเราไปคุยงานด้วย และในคืนนั้น คนจัดงานออร์แกไนซ์ก็ไปด้วย เราก็คุยเรื่องงานนะคะ” คำแก้ตัวที่คู่ควรเพื่อให้ มีเรื่องงานเข้าไปปะปนบ้างอย่างน้อยโทษหนักจะได้เป็นเบา แต่ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามคาด กลายเป็นยิ่งโดนหนักกว่าเดิมเสียอีก เมื่อพอลล่ารู้ว่ารับงานโดยที่เธอไม่รู้ไม่เห็นด้วย ก็รู้ๆ อยู่ว่ารายได้ของพอลล่ามาจากเปอร์เซนต์แบ่งจากรายได้ของนางแบบอย่างแพททรีเซีย
“ถ้าเป็นเรื่องงานทำไมไม่ให้ผู้จ้างติดต่อผ่านพี่? แล้วถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา ใครจะปกป้องผลประโยชน์ให้? ไหนจะเรื่องผลประโยชน์ ไหนจะชื่อเสียงเราอีก คนดังระดับแพททรีเซีย ใครก็อยากรู้จัก ใครๆ ก็อยากเป็นเพื่อน เพราะตัวเธอมันสร้างผลประโยชน์ได้มากมาย คิดเหรอว่าพวกนั้นเขาจะจริงใจด้วย!!” พอลล่าได้ทีบ่น แล้วยังพาดพิงไปถึงเพื่อนๆ กลุ่มนั้น สรุปว่ากระทั่งนาทีนี้ พอลล่ายังไม่หายหงุดหงิดสินะ
“แต่ว่า...” แพททรีเซียกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ก็ช้ากว่าปากพอลล่าอยู่ดี
“เตรียมเหตุผลไว้แก้ตัวกับผู้ใหญ่ก็แล้วกัน คนระดับผู้บริหารใช่จะหลอกได้ง่ายๆ ถ้าเขาโง่ คงไม่เป็นผู้บริหารหรอกนะ คราวนี้พี่ไม่ช่วยแล้ว” พอลล่าบอกอย่างงอนๆ เพราะแววดุดันในน้ำเสียงได้จางลงไปแล้ว
“พี่พอลล่า...” เสียงหวานครางในลำคออย่างออดอ้อน กระพริบตาปริบๆ อย่างผู้ที่สำนึกผิดเต็มเปี่ยม
“เราต้องหัดคิดหาทางแก้ปัญหาเองเสียบ้าง คราวหน้าจะได้ไม่ดื้อทำอีก” พอลล่าทิ้งท้าย
เร็วๆ นี้แพททรีเซียต้องเจอผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน แน่นอนทีเดียวว่าพวกท่านเหล่านั้น ต้องถามถึงข่าว เอาเป็นว่าแพททรีเซียต้องกลุ้มใจต่อไป ว่าจะแก้ตัวกับผู้ใหญ่ยังไงกับภาพข่าวและกระแสด้านลบที่ออกมาแบบนี้
“นางแบบดีๆ สมัยนี้ มันไม่ใช่มีแค่ความสวยแล้วจะโด่งดังโลดแล่นอยู่บนถนนสายนี้ได้นานนะ ต้องเป็นคนดีทั้งในและนอกจอด้วย มันถึงจะอยู่กันได้ยาว เข้าใจนะ”
“แพททรีเซียเข้าใจแล้วค่ะ อย่าอารมณ์เสียเพราะแพททรีเซียเลยนะ ดูสิเดี๋ยวรอยย่นขึ้นไม่รู้ด้วยนะ”
“มีเรื่องให้พี่ปวดหัวอยู่เรื่อย... ความดังเป็นภัยจริงๆ เลย” พอลล่าเป่าปากอย่างเสียอารมณ์
“หรือจะให้แพททรีเซียกลับไปเป็นนางแบบโนเนมเหมือนเดิม เอาไหมละคะพี่พอลล่า” หญิงสาวแกล้งหยอก
“ตัวแสบ! ถ้าแบบนั้นพวกเราจะเอาอะไรกินล่ะ? คิดสิจ๊ะ คิด!” ดุแล้วก็ถอนหายใจยาว
“งั้นก็อย่าอารมณ์เสียสิคะ ดังมากก็เรื่องมากงี้แหละ” แพททรีเซียสรุปเอาเองอย่างอารมณ์ดี จนอีกฝ่ายอดหมั่นไส้ไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่ามือบังคับพวงมาลัยรถละก็ เป็นได้หยิกแม่สาวตัวแสบสักทีสองทีให้หายมันเขี้ยวไปแล้ว
“เรอะ?” ได้แต่หันหน้ามาส่งเสียงได้แค่นั้น
“น่านะ พอลล่า... ที่สำคัญอย่าอารมณ์เสียก็พอ เดี๋ยวเสียสุขภาพจิตนะคะ” แพททรีเซียแกล้งแหย่แกมออดอ้อนจนพอลล่าเริ่มคลายความหงุดหงิดลง ด้วยความใจอ่อน
“อืม... มันก็จริงนะ” พอลล่ารู้สึกตัวคิดได้ แล้วอารมณ์จึงเย็นลง การขับรถถูกบังคับในระดับความเร็วปกติ จากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย จอดรถเสร็จเรียบร้อย ไม่นานก็พาตัวเองขึ้นไปยังห้องสตูดิโอเพื่อถ่ายทำต่อไป
“นั่น มากันแล้ว” ทีมงานทักขึ้น ทุกคนมีสีหน้าลิงโลดดีใจ ดูจากแววตา สีหน้าอารมณ์แล้ว คงรอนางแบบคนเดียวแน่ๆ
“นางแบบดังก็ดีอย่างงี้ล่ะนะ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้... เพราะยังไงใครๆ ก็ต้องรอ” เสียงเล็กแหลมพูดขึ้นเหน็บแนมจนหญิงสาวต้องหันมามองสบตา
“ไปว่าแพททรีเซียมันก็ไม่ถูกนะคะ รู้มาว่าเขาประสานงานพลาด ไม่มีใครแจ้งล่วงหน้า” เพื่อนนางแบบคนหนึ่งพูดเข้าข้างราวกับพยายามจะปกป้องแพททรีเซีย
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มาสายซะค่อนวันแบบนี้ ไม่ได้เรื่อง” นางแบบรุ่นพี่ยังไม่ปล่อยวาง ยังคงคาดโทษนางแบบสาวรุ่นน้อง ที่นับวันความโด่งดังจะแซงหน้าไปหลายช่วงตัว
“ทำไงได้ล่ะคะ มาสายแค่ไหนพวกเราก็ต้องรอเธอ เธอเป็นนางแบบนิ่” นางแบบสาวรุ่นเล็กรับบทตัวประกอบเล็กๆ พูดสนับสนุนขึ้น น้ำเสียงราวน้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง เพราะนางแบบบางคนมีผลงานมานานปีแต่ก็ไม่ดังอย่างเธอ
บางคนก็ต่อว่าด้วยสายตา คงคิดสินะว่าเป็นถึงนางแบบดัง มาสายได้ยังไง แต่บอกแล้วไง แพททรีเซียไม่แคร์ ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย แล้วอย่าหวังว่าจะได้ยินคำ “ขอโทษ” จากแพททรีเซีย
“มาทันพอดีแพททรีเซีย” ทีมงานคนหนึ่งทักขึ้น เมื่อเห็นนางแบบสาวมาถึง เขาก็รู้ว่าเพราะอะไรแพททรีเซียและพอลล่าถึงมาช้า ทำให้ทุกคนต้องรอ ก็ฝ่ายประสานงานย้ายสถานที่ถ่ายทำแล้วไม่แจ้ง เหมือนมีใครจงใจแกล้งอย่างนั้นล่ะ
“ค่ะ ขอโทษที่มาสายนะคะ” พอลล่าออกตัวอย่างสำนึก จากนั้นการถ่ายทำรายการก็ดำเนินไป
หลังถ่ายงานเสร็จ ทีมงานทยอยกลับกันหมดแล้ว ส่วนแพททรีเซียหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็เดินไปรอพอลล่าที่จุดนัดพบ
ทันใดนั้น ร่างบางก็ลอยหวิวยากจะทานแรงของอีกฝ่ายได้ไหว เมื่อถูกออกแรงดึงอย่างแรงเข้าไปยังที่มุมมืดมุมหนึ่งใกล้ๆ บริเวณห้องแต่งตัวฝั่งตรงข้ามที่อิริคเข้าล็อคตัวเธอเมื่อเช้า หญิงสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ดิ้นขัดขืนอย่างสุดกำลัง
‘คราวนี้เขาจะทำอะไรกับเธออีก?’ หญิงสาวคิดในใจว่าคนที่ทำเลวๆ แบบนี้ไม่น่าจะเป็นใครไปได้ นอกจากอิริค
ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนสักห้าหกคน เอะอ่ะมาจากด้านนอก ซึ่งไม่น่าจะไกลนัก
“มันหนีไปทางไหนวะ?” เสียงมีพลังอำนาจ ฟังดูยังรู้สึกน่าเกรงขาม
“ไม่น่าจะไปไหนได้ไกล”
“มันบาดเจ็บด้วย คงหนีไม่ถนัดนักหรอก”
“แม่งเอ๊ย! ตอนกลางคืนมันเสียตรงนี้ หารอยเลือดไม่เจอ เลยไม่รู้มันไปทางไหน”
“แต่ฉันแน่ใจมันหลบเข้ามาในนี้ล่ะ”
“เอาเว้ย! ค้นให้ทั่ว”
“หยุด!”
“แกคิดว่า มันจะเข้าไปซ่อนตัวในนั้นไหมวะ?”
“มันจะเข้าไปให้คนในนั้นแจ้งตำรวจจับมันหัวโตเหรอลูกพี่ คนดีๆ ที่ไหนจะโดนยิงเลือดโทรมกายขนาดนั้น”
“ฉันว่าที่เอ็งพูดมันก็ถูก” เสียงห้าวกังวาลหยุดเว้นจังหวะ ทุกคนตั้งใจรอฟัง “เอ้า! งั้นค้นแถวนี้ให้ทั่ว”
“ครับนาย” ว่าแล้วคนกลุ่มใหญ่สักห้าหกคนก็กระจายกำลังกันค้นหาบุคคลเป้าหมาย
ร่างบางอึดอัดในที่แคบ หายใจลำบากและมีร่างสูงโปร่งเต็มไปด้วยไอร้อน บดเบียดกดบังคับร่างบางเอาไว้
แพททรีเซียหมดสิ้นหนทางที่จะขยับเขยื้อน ความมืดที่ปกคลุมไปทั่ว หญิงสาวจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าสิ่งที่ตนกำลังเผชิญคืออะไรกันแน่
เสียงส้นสูงเดินด้วยจังหวะรวดเร็ว ถี่ยิบ และกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“แพท! แพททรีเซียอยู่ไหนเนี่ย” เสียงเรียกชื่อเธอจากพอลล่า ดังอยู่ในระยะไกล “เปลี่ยนชุดเสร็จหรือยังแพท? ดึกมากแล้ว” เสียงฝีเท้าหยุดเดิน “เอ... ทุกทีก็ไม่เห็นจะนานนี่นา” พอลล่าพึมพำ
“ยะ... อยู่นี่คะ...” พูดยังไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำ ปากอุ่นร้อนก็ทาบลงมาบนริมฝีปากนุ่มหวาน ของหญิงสาวโดยที่เจ้าตัวยังไม่อนุญาต เขาจงใจใช้วิธีนี้ปิดปากหล่อน
หญิงสาวเม้มปากแน่น ความมืดรายรอบ หญิงสาวไม่อาจรู้ว่า บุคคลที่กำลังรุกรานหล่อน คือใคร...
ปากบางถูกทาบทับ แนบสนิท จนไม่อาจส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้เลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าหญิงสาวต่อต้าน เปี่ยมพยศ เขาจึงใช้เพียงริมฝีปากจดกัน แต่ก็สุภาพพอที่จะไม่ส่งลิ้นร้อนฉ่ารุกรานเธอให้เสียหาย
หัวใจของหญิงสาวตื่นกลัว เต้นระทึกไม่เป็นจังหวะ... ในสมองมีเพียงคำว่า...
ฉันกลัว!
เพื่อปกป้องชีวิต... คุณทวดของบุหงาจึงเขียนยันต์วิเศษไว้คุ้มครองหลานสาวผู้ที่จะสืบทอดวิชาเขียนยันต์ แต่ด้วยความซุ่มซ่าม เจ้าหล่อนจึงย้อนอดีตไปสมัยทวารวดี เพื่อหนีการตามล่า บุหงาจึงต้องสวมรอยเป็น ‘แม่นาย’ ทำให้ทุกคนในเรือนรัก เพื่อความอยู่รอด กลับไปยุคเดิมที่จากมาอย่างปลอดภัย นั่นก็คือ... ยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย เพื่อทำหน้าที่สืบทอดวิชาเขียนยันต์เก่าแก่โบราณของต้นตระกูล
คริญาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยในท่าทีหวงก้างของพศุตม์ เธอรู้ว่า... ในสถานการณ์ที่เธออยู่ในสระว่ายน้ำเย็นฉ่ำในเวลานี้ ผู้ปกครองหนุ่มจะต้องโจนจ้วงตามลงมา ดวงใจสาววัยแรกแย้มเต้นตูม ด้วยความรู้สึกหวั่นไหว แม้รู้ดีแก่ใจว่า ชายหนุ่มคือของต้องห้ามและจะแสลงใจจนเจ็บปวดในวันหนึ่ง เพราะพศุตม์เคยยื่นคำขาดว่า... เขาไม่ชอบเด็กน้อยกะโปโลอย่างเธอ และถ้าเกิดอะไรขึ้นเพราะเธอกล้าเล่นกับไฟยั่วยวนเขา เขาจะไม่มีวันรับผิดชอบ! . ‘คำสั่ง’ จากปากเขามันคือคำเตือนจากผู้ชายอันตราย . เขารวบตัวเด็กในปกครองเข้ามาสวมกอดแน่นราวจะสูญเสีย ความร้อนซ่านกำซาบไปทั้งเรือนกายสาว ส่วนเปลือยสวยสัมผัส แนบชิดแทบทุกส่วนสัดของกายแกร่ง แม้ร่างทั้งสองที่โอบล้อมไปด้วยความเย็นเยียบของสายน้ำ แต่การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวพริ้วพรายตามกระแสน้ำก็ก่อให้เกิดไอความรุ่มร้อนระบายอยู่ในน้ำและพยุงสองร่างให้รู้สึกวาบหวิวแผ่ซ่านถึงกัน... เด็กสาวแรกรุ่นหัวใจเต้นโครมคราม วาบหวิวเมื่อผู้ปกครองหนุ่มประกบริมฝีปากร้อนแรงลงมา ดูดดื่มริมฝีปากสวยอิ่มตึง คริญาตอบสนองจูบเร่าร้อน สอดลิ้นยั่วเย้าให้เขากระดกลิ้นร้อนฉ่าตามมาพัวพัน ร่างเล็กบดเบียดส่วนอิ่มเต็มตึงที่สวยสล้างยั่วยวนสายตาเข้าใกล้แผงอกแกร่งกำยำที่ระบายไปด้วยปอยขนนุ่มกลางอกแกร่งของเขา สร้างความเซ็กซี่ชวนสะท้านยามจ้องมอง เขาบดจูบหนักหน่วงร้อนแรงจนคริญาคราง ไอร้อนสวาทกำลังก่อตัวใต้สายน้ำเย็นฉ่ำ “...” “ฉันต้องได้เธอ... คริญา”
“นะ.. นายเก่งอยู่แล้ว ทำไมต้องจ้างติวด้วยเหรอ?” “ผมก็... แค่อยากจะทำตามคำสั่งพ่อแค่นั้นล่ะ” เขาเอ่ยเสียงพร่า เป่ารดลมหายใจหอมบนใบหน้าสวย มันใกล้กันจนจะจูบกันอยู่แล้ว “แต่ว่า... พ่อนายคงไม่สั่งให้ติวแบบนี้หรอก” ติวเตอร์สาววางปลายนิ้วเรียวบนอกแกร่งของเขา ที่สวมเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดเผยให้เห็นอกแกร่งและดูเร้าใจ เธอค่อยๆ ลูบเบาๆ เขามองตามปลายนิ้วเรียวสวยด้วยดวงตาเปล่งประกาย สองคนสบตากัน ไม่นานเธอก็ถอดเสื้อของเขาออก ขณะที่นักเรียนหนุ่มล้วงมือใต้ชายเสื้อทีเชิ้ตตัวโคล่งที่เธอสวมมันเอาไว้โดยปราศจากบราเซีย “อื้อ...” เขาบีบนวดหน้าอกสวยอย่างเบาๆ สะกิดนิ้วโป้งบนยอดทรวงเบาๆ ก่อนถลกเสื้อขึ้นเหนือศีรษะ ถอดออกจนเธออยู่ในสภาพโป๊ “หิวนมจังครับ... ขอดูดนมพี่หน่อยจะได้ไหม” คำเตือน นิยายเรื่องนี้สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เนื้อหาเหมาะสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาบรรยายถึงการแสดงออกของความรักรุนแรง การร่วมรักชัดเจนโชกโชน บางส่วนตัวละครมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่น่าเอาเยี่ยงย่างหรือเลียนแบบ
"ชลิดา" เป็นเด็กสาวที่โชคร้าย ครอบครัวทิ้งเธอไปไม่ลา เหลือเอาไว้แต่เธอคนเดียว กับชีวิตที่โดดเดี่ยวอ้างว้างท่ามกลางอันตรายที่มองไม่เห็น ทิ้งไว้กับปริศนาว่าเธอและครอบครัวผิดอะไร ในวันที่เหมือนชีวิตเจอฝันร้าย คนเพียงคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วย กลับเป็น 'เขา' ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ศิวะจะพูดดีกับเธอ ฉากหน้า เย็นชา ปากร้าย เจ้าอารมณ์และแสดงท่าทีรังเกียจเธอ "ศิวะ" แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดชลิดา เพียงเพราะหล่อนเป็นคนรักของพี่ชายเขา ที่รอวันตกกระป๋อง เขาอยากให้เธอเลิกรากับพี่ชาย เลิกยุ่งกับคนมีเจ้าของ มันไม่ใช่เพราะศิวะเกลียดชลิดาหรอก แต่เพราะเขารักหล่อนเสียเอง แต่กลับแสดงออกตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงในใจ คนสองคน ที่ฉากหน้าเกลียดชังกัน แต่ต้องนอนเตียงเดียวกันทุกคน บทสรุปจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน... มหาศาลการรัก
...เหตุเพราะน้องชายตัวดี ไปมีความสัมพันธ์ต้องห้าม กับศัตรู หัวเด็ดตีนขาด “เธอ” ก็ไม่มีวันยอมให้น้องชายลงเอยกับลูกสาวของตระกูลที่เคยดูถูกเธออย่างไม่มีดี . ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ หากไม่เพราะ “เขา” ทายาทหนุ่มเสเพลของบ้านนั้น ที่ซ้อนแผนเอาคืนเธอ ทำเอางานนี้ เจ้าหล่อนจะต้องเลือกว่าจะยอมให้น้องชายได้ลงเอยในเรื่องความสัมพันธ์ หรือจะจนมุมไปกับจอมวางแผนที่ตนก็เพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้ว.... เขาช่างเจ้าคิดเจ้าแค้น และต้องการเอาชนะเธอมาตั้งแต่ต้น โดยมี “เรือนร่าง” เธอเป็นเดิมพัน +++++++++++++++++++++++++++++++ “ปล่อยฉันไปนะ นี่คุณเล่นบ้าอะไร?” “เล่นบ้าอะไรงั้นเหรอ... ก็เล่นผัวเมียกันยังไงล่ะ” “คนบ้า! มันใช่เวลามาล้อเล่นแบบนี้มั้ย ปล่อยฉันไปนะ!” “เล่นผัวเมียกันจริงๆ มีลูกด้วยกันจริงๆ สักคนสองคน” “คนบ้า เล่นไปคนเดียวเถอะ” “มีลูกกับผม คุณจะได้รู้... ความรู้สึกที่โดนพรากลูกพรากแม่มันเป็นยังไง” “เลว! นรกขุมไหนส่งคุณมาเกิดกัน คนบ้า!” สิ้นเสียงเล็ก จูบร้อนแรงถูกบดขยี้ลงมาอย่างร้ายกาจ เชลยในอ้อมกอดไม่อาจขัดขืนเขาได้แม้แต่น้อย หญิงสาวรู้ตัวดีว่า จุมพิตนี้หาใช่เกิดจากความรัก หากเขาต้องการแค่เพียงลงทัณฑ์เธอ... “คุณ... ไม่นะ พราวไม่อยากท้อง!” หญิงสาวบ่ายหน้าหนีจนหลุดพ้นพันธนาการจุมพิตร้าย ก่อนวอนขอ... “ไม่ทันแล้วครับ คุณต้องท้องและรับรู้ความเจ็บปวดว่าการถูกพรากลูกมันเป็นยังไง” “คนเลว... ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” “ถ้าปล่อย... ก็ยังไม่หายแค้นน่ะสิครับ” ถ้อยคำนั้นแสนธรรมดา หากเจือแววเยือกเย็นพร่าผลาญใจ ส่งให้เชลยสาวในอ้อมกอดรู้สึกหนาวยะเยือกกับสิ่งที่ต้องเจอนับจากนี้....
ดูเหมือนโชคชะตาของ ‘รินรุ้ง’ จะไม่มีวันหนีพ้นจากความวุ่นวายได้ ตอนที่ยังเป็นพนักงานขาย ของรีสอร์ตที่ไทย ก็ต้องคอยรองรับอารมณ์ของลูกค้า พอหนีมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่สเปน ก็ยังไม่วายต้องสู้รบตบมือกับเด็กหญิงจอมแก่แดด ผู้หวงบิดายิ่งกว่าจงอางหวงไข่ และพร้อมจะใช้ความแสบป่วนหัวผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดพีก เพราะลูกสาวที่ว่าร้าย ยังร้อนแรงไม่ถึงครึ่งของตัวพ่อ งานนี้หญิงสาวคงต้องลงทุนลงแรงอย่างหนัก เพื่อหาทางกำราบสองพ่อลูกให้ได้ ก่อนที่ชีวิตของเธอจะกลายเป็นการตกนรกทั้งเป็น ‘เซคิโอ ด็อพบาร์ กอนซาเลซ’ นักธุรกิจหนุ่มมหาเศรษฐีชาวสเปน ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงลึกลับที่เขาขโมยจูบเธอในเรือนร้างกลางสายฝน จะกลายเป็นคนเดียวกันกับพี่เลี้ยงคนใหม่ของลูกสาว ที่สำคัญ เขาเคยคิดว่าการขย้ำ ‘ลูกแกะน้อย’ ที่หลงเข้ามาใน ‘รังหมาป่า’ คงเป็นเรื่องง่าย หากตัวอุปสรรคสำคัญที่ชายหนุ่มต้องจัดการเป็นอันดับแรก ถ้าคิดจะเคลมรินรุ้ง ก็ไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็น ‘ลูกหมาป่าตัวน้อย’ ของเขานั่นเอง “เจ็บ” พูดเสียงเครือ “ไหนดูซิ” เซคิโอพุ่งพรวดเข้าไปหา ก่อนจะคุกเข่าลง มองเลือดที่ไหลซึมออกจากเท้าเธอ “กลับห้องก่อน อยากเลือดทะลักหมดตัวหรือไง” เขารีบอุ้มเธอขึ้น น้ำเสียงลนลานเป็นห่วงเจือบงการ “เรื่องของฉัน เลือดนี่มันก็เลือดฉันนะ!” เธอเถียง ที่เจ็บอยู่แบบนี้ เพราะเขาไม่ใช่หรือไง “อย่าดื้อสิ... แต่ถ้าเธออยากเลือดออกจริงๆ ล่ะก็ ฉันมีวิธีที่เจ็บน้อยกว่านี้นะ จะเอาไหม” ++++++++++++++++++++++++++++ เพราะถูกปลดกลางอากาศ ทั้งที่ไม่มีความผิดใดๆ รินรุ้ง หงสกรพงษา จึงตัดสินใจรับข้อเสนอไปทำงานสบายๆ ที่สเปน ตามบัญชาของแม่เลี้ยง หากเธอไม่เคยรู้เลยว่า นั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต! . โฉมหน้าสุภาพบุรุษมหาเศรษฐีทายาทสายการบินที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เจ้าของตำแหน่งสุดยอดหนุ่มในฝันหลายปีซ้อนที่สาวน้อย สาวใหญ่ต่างคลั่งไคล้มาตลอด แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ภายใต้ฉากหน้าราวเทพบุตรนั้น เซคิโอ เดอ ด็อพบาร์ กอนซาเลซ ได้ซ่อนคราบซาตานร้ายเอาไว้อย่างมิดชิด หัวใจเขาปิดตายนานกว่าแปดปีหลังสูญเสียคู่หมั้นสาวที่เขารัก มันถูกเปลี่ยนเป็นความแค้นรอวันสะสาง และเมื่อ... ‘ลูกแกะตัวน้อย’ ติดกับดักมาให้เขาแก้แค้น . . กลับกลายเป็นว่า เจ้าหล่อนคือหญิงสาวคนเดียวกันที่ขโมย ‘หัวใจ’ ที่เคยเหี่ยวเฉาของเขาไป เพียงเพราะจุมพิตดื่มด่ำไร้เดียงสา ในค่ำคืนแห่งโชคชะตา ที่เขายากจะลืม!
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"