เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
สายลมที่พัดโชยได้เพียงแค่บางเบา เพราะความแน่นขนัดของสิ่งปลูกสร้างในเมืองหลวง กลับเป็นข้อยกเว้นสำหรับบ้านทรงไทยย้อนยุคสีขาวหลังใหญ่ที่ตั้งบนพื้นที่กว่าสองไร่ บรรยากาศที่รายล้อมมีแต่ความร่มรื่นเย็นสบาย ซึ่งมาจากต้นไม้และดอกไม้ไทยหลายชนิด บางต้นมีอายุเกือบร้อยปีพอๆ กับอายุของบ้านหลังใหญ่หลังนี้
ความวิจิตรบรรจงของสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อว่าบ้านจันทร์ฉาย รวมถึงอาณาบริเวณกว้างใหญ่และแสนร่มรื่น ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นต่างก็อดมองอย่างนึกทึ่งและชื่นชมไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็นึกอยากรู้ว่าเจ้าของบ้านหลังงามนี้เป็นใคร เหตุใดจึงได้ครอบครองสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าและสะท้อนความเป็นไทยย้อนยุคเช่นนี้ได้ หลายคนคาดเดาว่าน่าจะเป็นตระกูลเก่าแก่หรือสืบเชื้อสายมาจากราชสกุลเป็นแน่ ซึ่งการคาดเดาเหล่านั้นก็ไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงสักเท่าไหร่นัก
คุณหญิงจันทร์จรีสืบเชื้อสายมาจากราชสกุลเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 และได้สมรสกับหม่อมหลวงคฑาวุธลูกชายจากตระกูลผู้ดีเก่าที่ศักดิ์ศรีไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ซึ่งภายหลังทั้งคู่ผันตัวเองมาทำธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล
หลังจากหม่อมหลวงคฑาวุธเสียชีวิตไป คุณหญิงจันทร์จรีก็เป็นผู้ดูแลธุรกิจเพียงลำพังมานานกว่าสิบปี เพิ่งจะได้วางมือเมื่อสี่ห้าปีที่แล้วนี่เอง เมื่อลูกชายทั้งสองจบการศึกษาจากต่างประเทศมาช่วยบริหาร
บ่ายวันนี้ห้องโถงที่โอ่อ่าหรูหราไม่ได้ว่างเปล่าเช่นเคย โซฟาหลุยส์ราคาแพงถูกผู้เป็นเจ้าของนั่งอยู่เกือบครบทุกตัว ผู้เป็นประมุขของบ้านนั่งอยู่ตรงกลาง ซ้ายขวาเป็นลูกชายทั้งสอง และคนสนิทของคุณหญิงอย่างจิตรานั่งอยู่ด้วย
“แม่เรียกผมกับภูกลับบ้านแต่หัววัน มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ” หนุ่มหล่อหน้าตาคมคายสะอาดสะอ้านซึ่งเป็นลูกชายคนโตถามมารดา เมื่อเขากับน้องชายถูกสั่งให้กลับบ้านเร็วทั้งคู่
“แม่แค่จะคอนเฟิร์มว่าพรุ่งนี้หนูพรรษจะมาที่นี่ เพื่อให้คำตอบว่าเลือกจะแต่งงานกับใคร แม่อยากให้ภาสกับภูอยู่ฟังคำตอบพร้อมกัน”
“ผมขอสละสิทธิ์ แต่ถึงไม่สละเด็กคนนั้นก็คงไม่เลือกผมอยู่ดี เพราะฉะนั้นให้พี่ภาสอยู่คนเดียวก็น่าจะเหลือเฟือนะครับ” ลูกชายคนเล็กของคุณหญิงจันทร์จรีปฏิเสธคำสั่งนั้นทันที ทำให้คนเป็นแม่หันไปมองตาขุ่น
“เผื่อหนูพรรษเลือกแกล่ะ”
คำถามของมารดาทำให้ภูริชแค่นยิ้มออกมาอย่างเหยียดๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าและแววตาของคนที่กำลังเป็นประเด็น เด็กคนนั้นน่ะหรือจะเลือกเขา หึ...
“น้ำคงท่วมหลังเป็ดมั้งครับ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่มีทางยอมแต่งกับเด็กคนนั้นหรอก เพราะผมไม่ชอบเป็นตัวเลือกของใคร”
“คุณภูสบายใจได้ค่ะ พรรษไม่ได้เลือกคุณภู” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง แต่เป็นเสียงของคนมาใหม่ ทำให้คนทั้งสี่ต่างหันไปมองด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน
“หนูพรรษ!” คุณหญิงจันทร์จรีอุทานออกมาอย่างตกใจและห่วงความรู้สึกของหญิงสาวที่ตัวเองหมายตาไว้เป็นสะใภ้อยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าพรรษรดาจะมาได้ยิน ทว่าพรรษรดาชินเสียแล้วกับความเย็นชาหมางเมินที่ภูริชมีให้ตนมาตลอดหลายปี
“ชัดเจนนะครับแม่ ผมไปล่ะ”
ว่าแล้วร่างสูงเกือบหกฟุตก็ลุกจากโซฟาราคาแพง แล้วก้าวดุ่มๆ ออกจากห้อง เขาทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้ปภาซึ่งเป็นแม่ของพรรษรดาที่ยืนอยู่หน้าห้องโถงเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็ไม่คิดจะอนาทรว่าคนข้างในจะพูดถึงตนหรือไม่อย่างไร
รถคันหรูแล่นออกจากอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่ มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่โดยยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง เขาเพียงแค่อยากใช้ความเร็วของรถช่วยดับความหงุดหงิดที่คุกรุ่นอยู่ข้างในเท่านั้น ความจริงเขาไม่ควรหงุดหงิดสักนิด เพราะไม่ว่าพรรษรดาจะเลือกหรือไม่เลือกใคร มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเขา และต่อให้เธอบอกว่าเลือกเขา เขาก็ไม่คิดจะแต่งด้วยอยู่แล้ว เพราะไม่ชอบการเป็นตัวเลือกของใคร และยิ่งได้รู้ว่าไม่ใช่คนถูกเลือก ความหงุดหงิดก็ยิ่งทวีขึ้นเป็นเท่าตัว
รถยุโรปสมรรถนะสูงยังคงแล่นไปเรื่อยๆ ตามการควบคุมอันเชี่ยวชาญของคนขับ รู้ตัวอีกทีรถก็แล่นออกจากเขตเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปทางพัทยาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปทางนั้น แต่อาจเป็นเพราะความเคยชินหรืออะไรเขาก็ขี้เกียจคิด
Rrrr… Rrrr…
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าต้องระบายลมหายใจออกมาแรงๆ เพื่อปรับอารมณ์ ลดความเร็วรถลงนิดหนึ่ง ก่อนจะกดรับสายและคุยผ่านลำโพงของรถ
“ว่าไง”
“มึงอยู่ไหนวะภู” เสียงนั้นคือเสียงของธัญญ์ ดาราหนุ่มที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังอยู่ในประเทศจีน เพราะความหล่อและซีรีส์เรื่องล่าสุดที่เขาแสดงได้รับความนิยมในระดับบ้าคลั่งเลยทีเดียว
“กูขับรถอยู่”
“ไปไหน”
“ไปพัทยามั้ง”
“ทำไมต้องมีมั้งด้วยวะ มึงพูดเหมือนมึงไม่แน่ใจ แล้วมึงไปทำไม หรือว่าไปดูไอ้ไวท์มันแข่งรถ แต่มันไม่ได้แข่งวันนี้นี่ สนามนี้กูก็แข่ง โปรแกรมมันอาทิตย์หน้านี่หว่า หรือว่ามึงไปหาสาว” ธัญญ์ทั้งถามเองตอบเองและแซวเองเสร็จสรรพไปหลายคำถาม
“กูไปหาลูกค้าน่ะ” ไม่ชอบและไม่เคยชอบการโกหก แต่ตอนนี้ภูริชกำลังละเมิดตัวตนของตัวเอง เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง ธัญญ์จึงจะไม่ซักต่อ
“แล้วไป กูนึกว่ามึงแอบมีสาวแล้วไม่บอกกู”
“กูจำเป็นต้องรายงานมึงทุกเรื่องมั้ย”
“ก็กูเมียมึง”
“ระวังเถอะ กูจะจับมึงทำเมียจริงๆ”
“เฮ้ย อย่านะเว้ย ถ้ากูอยากมีผัว เดี๋ยวกูหาเอง ว่าแต่มึงจะกลับมาทันงานเลี้ยงฉลองสละโสดของไอ้เสกข์หรือเปล่า เลี้ยงเย็นนี้นะเว้ย กูโทร.มาเตือน เมื่อกี้ไอ้ธีร์ก็เพิ่งโทร.มาเตือนกู มันบอกว่ามันกำลังจะไปรับไอ้ปริญที่สนามบิน”
“ไอ้ปริญมาถึงแล้วเหรอ”
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
เพราะต้องการกีดกันศัตรูหัวใจออกไปให้พ้นทางรักของพ่อ อุมารินทร์จึงทุ่มสุดตัวโดยต้องแลกมากับการสูญเสียสิ่งสำคัญมากที่สุดในชีวิตสาว ทุกอย่างมันควรจะจบลงหลังจากพ่อของเธอได้แต่งงานกับเพื่อนสนิทของตัวเองแล้ว แต่แล้วผู้ชายคนนั้นกลับเดินเข้ามาในชีวิตของคนทั้งสองอีกครั้ง อุมารินทร์จึงต้องรีบเข้าไปแทรกกลาง ทว่าครั้งนี้มันไม่ง่าย ในเมื่อจุดประสงค์ของพาทิศไม่ใช่เข้ามาเพื่อแย่งชิงเมียคนอื่น แต่เขามาเพื่อช่วงชิงหัวใจและร่างกาย ‘เมียคืนเดียว’ ให้ไปอยู่ในอาณัติของเขาตลอดไป
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
‘ทริปฮันนิมูนที่ไม่ได้มีแค่เรา แต่ฉันและเขายังมีผู้ร่วม ทริปเข้ามาสร้างสีสันอีกมากมาย’ หลังแต่งงาน ตฤณก็พาภรรยาสาววัยละอ่อนอย่างยี่หวาไปฮันนิมูนเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่น ๆ แต่การเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับสามีผู้เป็นนักธุรกิจในครั้งนี้ กลับทำให้ยี่หวาได้รู้ว่าตฤณสามีของเธอมีรสนิยมทางเพศแบบไหน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาทำให้เธอได้รู้จักตัวตนของตัวเองอย่างที่เธอไม่คิดว่าจะได้รู้จักด้วยซ้ำ ตฤณจะพายี่หวาไปฮันนิมูนที่ไหน อย่างไร และกับใคร ติดตามอ่านได้ใน “ฉ่ำรักเมียนักธุรกิจ” แนะนำตัวละคร ยี่หวา : สาวสวยวัย 24 ปี ผู้มีผิวขาว และรูปร่างอวบอัด แต่น่าทะนุถนอม นิสัยอ่อนหวาน ว่าง่าย แต่เป็นคนอยากรู้อยากลอง ยี่หวาเพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่ตฤณทำกับเธอในห้องหอนั้นมันก็แค่น้ำจิ้ม เพราะเมื่อเดินทางไปฮันนิมูนกับตฤณจริง ๆ เธอกลับได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ จนเธอติดอกติดใจอย่างยากจะถอนตัว สำหรับยี่หวาแล้ว 'คืนเข้าหอที่เคยคิดว่าเด็ด ยังไม่เผ็ดเท่าทริปฮันนิมูนที่สามีหนุ่มจัดให้' ตฤณ : นักธุรกิจหนุ่มวัย 34 ปีหนุ่มลูกเสี้ยว บ้างาน แต่เวลาคลายเครียดก็สนุกสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ ตฤณหมั้นหมายกับยี่หวาตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่เพราะถูกใจในความน่ารัก แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเพราะยี่หวาเป็นเด็กดี และไม่เคยดื้อกับเขาเลยสักครั้ง ว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิ ถึงจะใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันตลอดรอดฝั่ง
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้