"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ
“อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าที่แบบนี้ มันดีขนาดไหนกันเชียว”
หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ได้เตรียมตัวที่จะเข้าไปเที่ยวใน ‘บาร์ลับ’ ชื่อดัง ที่แม้ชื่อจะลงท้ายว่า ‘ลับ’ แต่ด้วยเอกลักษณ์ต่างๆ ของที่นี่เลยทำให้เหล่าเซเลบหรือนักรีวิวต่างพากันไปเที่ยวสังสรรค์ จนทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ ‘ความลับ’ อีกต่อไป…
‘ข้าวหอม’ เมรีญา บุญสว่าง เดินเข้าไปในบาร์ลับดังกล่าวด้วยใจที่หวาดหวั่น จริงอยู่ที่อายุอานามก็ปาเข้าไปยี่สิบห้าปีแล้ว แต่ใครจะเชื่อว่าสาวอย่างเธอไม่เคยเที่ยวสถานที่บันเทิงเลยสักครั้ง! แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจสถานที่แบบนี้หรอกนะ แต่เหตุผลหลักเป็นเพราะว่าสถานะทางบ้านไม่ดีต่างหาก ทำให้หญิงสาวไม่คิดที่จะผลาญเงินไปกับความฟุ่มเฟือยเหล่านี้ ลำพังพ่อก็มากเกินทน!
หญิงสาวอยู่ในชุดแต่งกายธรรมดา ปล่อยผมยาวสลวยน้ำตาลทองถึงกลางหลัง ใบหน้าขาวใสไร้เครื่องสำอางตบแต่งใดๆ แต่ก็ยังดูสวยเป็นธรรมชาติ ปกติแล้ว เมรีญาไม่ใช่ผู้หญิงปล่อยตัว ด้วยหน้าที่การงานที่เป็นถึงประชาสัมพันธ์ให้กับโรงแรมในเมือง ทำให้ต้องคอยดูแลเรื่องบุคลิกและภาพลักษณ์เสมอ แต่ค่ำคืนนี้ เธอมีเรื่องทุกข์ใจชนิดที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะแต่งหน้าแต่งตาให้ดูดี และจุดประสงค์ที่มาบาร์ลับแห่งนี้จะเรียกว่าประชดชีวิตก็คงได้!
“มากี่ที่ครับ” การ์ดหน้าร้านเอ่ยถามหญิงสาว เมื่อเห็นว่าเธอเดินมาคนเดียวโดยไม่มีเพื่อนมาด้วย
“ฉันมาคนเดียวค่ะ” เมรีญาตอบนิ่งๆ แต่ในใจกลับหวาดหวั่น เมื่อมองเห็นหนุ่มสาวแต่ละคนที่มาเที่ยวที่นี่จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม จนเธอนึกอายอยากกลับไปเปลี่ยนชุดทันที
“หน้าตาสวยๆ แบบนี้มาคนเดียวระวังจะอันตรายนะครับ”
การ์ดร่างใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแกมทีเล่นทีจริง เมรีญาเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขั้นไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงการกล่าวแซวกันเท่านั้น
“เฮ้ย อย่าไปแซวลูกค้าสิ เดี๋ยวลูกค้าก็หนีหรอก ฮ่าๆ”
จังหวะนั้น การ์ดอีกคนก็เข้ามาพูดจาสมทบด้วย ยิ่งทำให้เมรีญาหวาดหวั่นหนักเข้าไปอีก ว่าตนเองทำถูกหรือไม่ที่ตัดสินใจมาเที่ยวที่นี่
“พวกพี่แค่แซวเล่นนะน้อง เชิญครับ ถ้ามีใครมาวอแวก็เรียกการ์ดได้เสมอนะ เจ้าของที่นี่ เขาเคร่งมาก ไม่อยากให้มีเรื่องลวนลามหรือทะเลาะวิวาทกันในบาร์” หนึ่งในการ์ดเหล่านั้นพูดขึ้น พอจะช่วยทำให้เมรีญาเบาใจขึ้นหน่อย
หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าบาร์มาอย่างกล้าๆ กลัวๆ วินาทีที่เธอได้เห็นแสงสีเสียงอย่างที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ต สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในสมองคือคำว่า ‘ก็ไม่เลว’ อย่างที่เคยคิดไว้ อาจเพราะที่นี่เป็นบาร์ลับ และจากที่เคยอ่านเจอจากอินเทอร์เน็ตคือ เจ้าของที่นี่ไม่อยากให้บาร์ของตนเองเป็นที่นั่งดื่ม หรือออกแนวคล้ายผับ แต่เขาอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนที่พักผ่อนหย่อนใจ หรือเป็นที่บรรเทาความทุกข์ให้กับลูกค้าเสียมากกว่า และใช่…เมรีญาก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ต้องการมาที่นี่เพื่อคลายความทุกข์ของตัวเองเช่นกัน
หญิงสาวก้าวเข้ามาในบาร์อย่างงุนงง ด้วยความที่ไม่เคยเที่ยวทำให้ไม่รู้ว่าจะไปนั่งที่ตรงไหนได้ โต๊ะในร้านยังเหลืออีกไม่มาก ส่วนโต๊ะที่เหลือส่วนใหญ่ก็คือโต๊ะสำหรับนั่งกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แต่เธอมาคนเดียวจึงไม่เหมาะนัก
เมรีญาหันไปมองที่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่ใช้สำหรับให้บาร์เทนเดอร์ชงเครื่องดื่มให้แขก พบว่ามีที่นั่งเหลืออยู่หนึ่งที่พอดี จึงไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งเก้าอี้ดังกล่าว
“เอ่อ นั่งตรงนี้ไมได้นะคะ คนที่จะนั่งตรงนี้ได้ต้องจองมาก่อนค่ะ”
ไม่ทันที่ร่างบางสวยจะได้นั่งลงก็ถูกพนักงานสาวสวยของร้านเข้ามาห้ามเสียก่อน พร้อมทั้งยังมองการแต่งกายของเมรีญาอย่างประเมินอีกด้วย
“ขอโทษค่ะ”
เมรีญารู้ดีว่าเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ และหญิงสาวเป็นคนมีมารยาทพอ หากที่ตรงนี้มีไว้สำหรับคนที่จองเข้ามา หรือต้องเป็นคนที่มีเงินหนามือ เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปนั่งอยู่ดี
“ให้เธอนั่งเถอะคุณแพรว”
ก่อนที่เมรีญาจะเดินจากไป ทันใดนั้นก็มีเสียงราบเรียบของชายแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้เธอต้องเหลียวหลังกลับไปมองเขาทันที
ชายหนุ่มรูปร่างสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ผิวขาวสะอาดแบบคนเจ้าสำอาง แต่กลับดูขัดกับสายตาคมกริบที่เมื่อเผลอไปสบตาต้องรู้สึกหวาดหวั่นได้อย่างง่ายดาย จมูกคมเป็นสัน ริมฝีปากบางรับกับรูปหน้าคม สวมชุดสูทสำหรับ ‘บาร์เทนเดอร์’ ด้วยรูปร่างที่ดีจนแทบจะเหมือนนายแบบทำให้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่ดูดีและมีเสน่ห์เหลือล้นจนเมรีญาดเผลอจ้องอย่างลืมตัว
“เอ่อ คือว่า...”
พนักงานสาวที่ชื่อ ‘แพรว’ ทำท่าทีกระอักกระอ่วน ก่อนที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มหล่อคนนั้นจะยิ้มให้บางๆ ให้
“ค่ะ ได้ค่ะ” แล้วเจ้าหล่อนก็เดินกลับไปประจำจุดทำงานเดิมของตัวเอง
เมรีญาได้สติ จึงหันไปยิ้มรับให้กับบาร์เทนเดอร์หนุ่มเพื่อเป็นการขอบคุณทันที
เพราะโรงแรมและร้านขนมบุษบาพาฝัน ของเธอกำลังย่ำแย่หากไม่มีเงินไปปรับปรุงคงต้องเลิกกิจการของครอบครัวชลลัมพีจึงยัดเยียดข้อเสนอให้เธอพิจรณา เงิน 10 ล้านบาท แลกกับการแต่งงานเพียง 1 ปี แล้วจากนั้นก็ทางใครทางมัน ชลลัมพีกระหยิ่มยิ้มย่องกับแผนการของตนแต่เหตุไฉนยัยมนุษย์ป้าหน้าป่วยกลายเป็นสาวสวยเป๊ะเวอร์พร้อมกับเสน่ห์เหลือร้ายขนาดกลายเป็นที่ต้องตาของคอลัมนิสต์ชื่อดังลูกครึ่งไทย – อิตาลี่ ‘อเล็กซานโดร อบาเต้’ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นลูกชายมาเฟียมากอิทธิพลแห่งกรุงโรม อิตาลี่ ชลลัมพีจะทำยังไงเมื่อยิ่งอยู่ใกล้ใจยิ่งแกว่ง ที่ออกตัวเอาไว้แรงแต่แรกว่าเขาไม่เคยอยากเห็นขาอ่อนเธอแม้แต่น้อย เวลานี้เขาอยากจะเห็น อยากจะจับ อยากจะรวบรัด มัด บุษบาบัณ เอาไว้ที่ข้างเตียงและ อยากจะใช้สิทธ์คำว่าสามีเสียเต็มที่แล้ว
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"