ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
วันที่เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นส่งขึ้นศาล เป็นวันที่ฝนตกหนักมาก
ตลอดสี่ปีที่คบกันจนถึงวันที่กำลังจะแต่งงาน เธอเคยเชื่อมาตลอดว่าเขารักเธอจริง และชีวิตแต่งงานของพวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยความสุขแน่นอน
จนกระทั่งวันแต่งงาน เพียงเพราะคำพูดเดียวของเสิ่นเมิ่ง น้องสาวต่างมารดาของเธอ ที่ทำให้เขาถึงกับส่งเธอขึ้นศาลด้วยมือของตัวเอง
ภายในศาลที่เคร่งขรึมถมึงทึง
“จำเลย เสิ่นเยวียน คุณถูกกล่าวหาว่าติดสินบนคณะกรรมการ ปลอมแปลงผลงานทางวิชาการและฆาตกรรมโดยเจตนา คุณมีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”
แววตาของหญิงสาวแดงก่ำ เธอจ้องมองเซียวอี้ด้วยรอยยิ้มเย็นชาระคนสิ้นหวัง ทั้งยังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ใคร ๆ ก็รู้ว่าไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับตระกูลเซียวเพียงเพราะคนธรรมดาอย่างเธอ
จากนั้น เธอจึงกล่าวช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉัน...ไม่มีอะไรจะพูด”
คนที่เธอรักสุดหัวใจ แท้จริงแล้วในตลอดเวลาที่ผ่านมาก็คบชู้กับน้องสาวต่างมารดาของเธอเอง ทั้งยังลอบขโมยผลงานวิชาการของเธอ และตอนนี้ยังใส่ร้ายว่าเธอเป็นฆาตกรโดยไม่แยแสถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดแม้แต่น้อย
เธอจะมีอะไรให้พูดอีกล่ะ?!
“ปัง......”
เสียงค้อนในศาลกระทบพื้นดังขึ้นอีกครั้ง!
“ศาลมีคำตัดสินให้จำเลยเสิ่นเยวียน ต้องโทษจำคุกแปดปี และต้องเสียค่าปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่งล้านห้าแสน”
การพิจารณาคดีจบลง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวเสิ่นเยวียนที่สวมชุดนักโทษออกไป
ขณะที่เดินออกจากห้องพิจารณาคดี เธอหันกลับไปมองเซียวอี้ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งฝ่ายโจทก์ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง!
......
สามปีต่อมา
ในเรือนจำ
“เสิ่นเยวียน มีคนยื่นขอประกันตัวเธอ ออกไปได้แล้ว”
เสิ่นเยวียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า หลังจากถูกทรมานอย่างโหดร้ายในคุกมาถึงสามปี ในที่สุดเธอก็มีโอกาสได้ออกมา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เสิ่นเยวียนที่ได้รับอิสรภาพจากเรือนจำถูกพาตัวมายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องผู้ป่วย เธอมองผ่านบานประตูใสเห็นผู้เป็นแม่ของเธอนอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงไอซียู ทั้งยังถูกล้อมรอบด้วยเครื่องช่วยชีวิตนานาชนิด ราวกับเป็นคนที่ไร้ลมหายใจไปแล้ว
“แม่” เสิ่นเยวียนตื่นตระหนกจนตัวสั่นไปทั้งร่าง เธอรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อเปิดเข้าไปด้านใน
“อย่าขยับ ห้องนี้ถูกปรับแต่งเป็นพิเศษ ถ้าฉันไม่อนุญาต ใครก็เข้าไปไม่ได้”
“เสิ่นเมิ่ง เป็นเธอเองเหรอ?! แม่ของฉันตัดขาดจากตระกูลเสิ่นไปนานแล้ว ทำไมเธอยังต้องมาทำร้ายแม่ฉันอีก!”
เสิ่นเยวียนจ้องมองเสิ่นเมิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ขณะที่เสิ่นเมิ่งมองไปยังเสิ่นเยวียนนั้น แววตาของเธอฉายแววริษยาระคนดูแคลน
จากนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“พี่คงเข้าใจผิดไปแล้วล่ะ ฉันกำลังช่วยแม่ของพี่ต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน แม่ของพี่คงตายไปนานแล้ว พอพี่ออกจากคุกมาก็ได้เห็นแค่ศพของเธอเท่านั้นแหละ!”
เสิ่นเยวียนบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ “เลิกเสแสร้งได้แล้ว เธอเนี่ยนะจะช่วยแม่ฉัน? เกรงแต่ว่าจะเป็นแค่ข้ออ้างให้เธอใช้ประโยชน์จากฉันมากกว่ามั้ง!”
“พี่นี่ฉลาดสมกับที่เคยเป็นดาวรุ่งของวงการวิชาการจริง ๆ เลย น่าเสียดายที่ตอนนี้พี่เป็นแค่คนขี้คุกในคดีพยายามฆ่า ไม่ต่างอะไรจากหมากตัวหนึ่งที่ฉันจะใช้ยังไงก็ได้!”
เสิ่นเมิ่งยิ้มเหยียด ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “วันนี้ถ้าพี่แค่ยอมไปนอนกับคุณหลี่หนึ่งคืน ฉันจะช่วยให้พี่ออกจากคุก และยังจะรักษาแม่ของพี่ด้วย”
“หลี่เสวียน่ะเหรอ?! ไอ้แก่ที่อายุหกสิบกว่านั่นน่ะเหรอ! เธอจะบ้าไปแล้วหรือไง? !” เสิ่นเยวียนแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“แล้วยังไงล่ะ คนที่ต้องไปนอนกับเขาก็คือพี่ ไม่ใช่ฉันสักหน่อย ขอแค่พี่ยอมนอนกับเขาหนึ่งคืน ตระกูลของเราก็จะได้ออเดอร์สั่งซื้ออาวุธจากตระกูลหลี่ เงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้น ต่อให้ขายพี่ไปก็ยังไม่พอกับเงินจำนวนนั้นด้วยซ้ำ! แต่ถ้าพี่ไม่ไป……”
เสิ่นเมิ่งชี้ไปยังห้องไอซียูก่อนจะบอกต่อไปว่า “ฉันจะให้คนถอดเครื่องช่วยหายใจของแม่พี่ซะเดี๋ยวนี้เลย แล้วพี่ก็จะได้เห็นแม่ตายไปต่อหน้าต่อตา! ฉันให้เวลาพี่คิดห้าวินาที…… ห้า สี่ สาม……”
“ก็ได้ ฉันจะไป!”
เสิ่นเยวียนตอบตกลงอย่างอับจนหนทาง น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
แต่เพื่อแม่ที่นอนป่วยอยู่บนเตียง เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น เสิ่นเยวียนถูกจับให้แต่งตัวใหม่ ก่อนจะถูกส่งขึ้นรถไป
เธอกำลังจะถูกส่งไปให้ตาแก่วัยหกสิบกว่าที่อ้วนฉุน่าขยะแขยง ต้องถูกเขาทำลายทั้งร่างกายและศักดิ์ศรี
ถึงขนาดเป็นครั้งแรกของเธอเลยก็ว่าได้
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"