หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
“อื้อ…… พี่ยวน.....”
มีเสียงร้องอย่างคลุมเครือดังออกมาจากหลังประตูที่ปิดอยู่
เจียงหยุนถังที่กำลังจะเคาะประตูชะงักไปครู่หนึ่ง เธอรู้สึกเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับว่ามีคนสาดน้ำเย็นลงมาบนหัวของเธออย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าเธอกับกู้สิงยวนจะแต่งงานกันมานานแล้ว และไม่เคยมีอะไรกับเขา แต่เธอก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเสียงนี้มันคืออะไร
กู้สิงยวน เขา......
ไม่ ไม่มีทางหรอก!
ตอนที่เพิ่งแต่งงานกัน กู้สิงยวนเคยบอกเอาไว้ว่าเขาป่วยเป็นโรคบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นคนที่อยู่ข้างในจะต้องไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน
เจียงหยุนถังที่กำลังสติฟั่นเฟือนพยายามโน้มน้าวตัวเอง แต่เสียงร้องครวญครางของผู้ชายที่ลอยเข้าหูมาเป็นครั้งคราว กลับทำให้เธอรับรู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่า การปลอบใจตัวเองของเธอมันน่าตลกสิ้นดี
เธอคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก
น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เจียงหยุนถังเอามือปิดปากแน่น พยายามที่จะไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
เมื่อสามปีก่อน กู้สิงยวนต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราเพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอที่ไม่สนใจการเยาะเย้ยจากคนข้างกาย และยังคงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะเข้ามาในตระกูลกู้ แล้วก็คอยดูแลรับใช้กู้สิงยวนมาเป็นเวลาสองปีเต็มโดยไม่บ่นเลยสักคำ เหตุผลแค่เพราะกู้สิงยวนเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้ครั้งหนึ่งตอนที่เธอกำลังประสบปัญหา
ต่อมาเมื่อกู้สิงยวนฟื้นขึ้นมาจากการแอบรักษาในที่ลับของเธอ เขาก็จับมือเธอและบอกว่าเขาจะแต่งงานกับเธอ แล้วก็จะทำดีกับเธอไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่
จวบจนตอนนี้ เจียงหยุนถังก็ยังคงลืมวันนั้นไม่ได้ เธอไม่อาจลืมแววตาที่จริงใจของกู้สิงยวนตอนที่พูดประโยคนี้ออกมาได้เลย
เธอละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อจะเป็นคุณนายกู้ที่ดี แต่แล้วสุดท้ายสิ่งที่เธอได้รับกลับมามันคืออะไร?
เจียงหยุนถังรู้สึกหัวใจสลาย จิตใต้สำนึกอยากจะให้เธอหนีออกไปจากที่แห่งนี้
ทว่าบทสนทนาที่ดังขึ้นมาในห้องอีกครั้งกลับทำให้ฝีเท้าของเธอหยุดชะงักไป
“พี่ยวน วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของพี่กับเจียงหยุนถัง เธอจะต้องไปรอพี่อย่างโง่ๆ อยู่ที่บ้านแน่ๆ เลย พี่ไม่ต้องกลับไปอยู่กับเธอ แต่มามีความสุขกับฉันอยู่ที่นี่ มันจะไม่ค่อยดีหรือเปล่าคะ? ถ้าหากเธอเกิดรู้ขึ้นมา……”
“กลัวอะไรล่ะ? เยว่เยว่ ผมเคยบอกไปแล้วไงว่า ในใจของผมมีที่สำหรับคุณคนเดียวเท่านั้น ส่วนเจียงหยุนถัง มีเธอไว้แค่สร้างภาพเท่านั้นแหละ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเธอเลยสักครั้ง!”
น้ำเสียงของกู้สิงยวนอ่อนโยนมาก แต่คำพูดของเขากลับฟังดูเย็นชาจนเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที
เจียงหยุนถังกำหมัดแน่น เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงผลักประตูออกอย่างแรงและบุกเข้าไปทันที
“กู้สิงยวน สรุปแล้วฉันทำอะไรผิดเหรอ ทำไมคุณถึงต้องโกหกฉันด้วย!”
คำถามที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้กู้สิงยวนถึงกับสตั๊นไปเลย
เขารีบดึงเสื้อคลุมมาคลุมตัวเองและตัวของหญิงสาวคนนั้นเอาไว้อย่างลนลาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเจียงหยุนถัง แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณมาที่นี่ได้ยังไง? ผมบอกให้คุณรออยู่ที่บ้านเก่าไม่ใช่เหรอ? ”
ร่างกายของเจียงหยุนถังสั่นไหวไปมา เธอไม่คาดคิดเลยว่ากู้สิงยวนจะมีท่าทีเช่นนี้
เหอะ คงไม่อยากจะเสแสร้งแล้วล่ะสิท่า?
เธอกระตุกมุมปากขึ้นเยาะเย้ยตัวเอง น้ำตาเริ่มไหลมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว “ถ้าฉันไม่มา คุณจะโกหกฉันไปอีกนานแค่ไหน? ”
กู้สิงยวนเงียบไป สีหน้าดูหงุดหงิดอย่างเปิดเผย
ในทางกลับกัน ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขากลับพูดกับเจียงหยุนถังขึ้นมาอย่างกลัวๆ ว่า “คุณอย่าไปโทษพี่ยวนเลยนะ มันเป็นความผิดของฉันเอง ถ้าจะโทษก็โทษฉันเถอะ”
เจียงหยุนถังเหลือบตาไปมองเธอแวบหนึ่ง
ใบหน้าของเธอดูค่อนข้างคุ้นตา
เธอคือหนิงซินเยว่ คนรักในวัยเด็กของกู้สิงยวนนั่นเอง
ตอนแรกที่เธอเข้ามาในตระกูลกู้ บนโต๊ะทำงานของกู้สิงยวนมีรูปถ่ายของหนิงซินเยว่วางเอาไว้อยู่
หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกัน รูปถ่ายนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เจียงหยุนถังคิดว่ากู้สิงยวนคงจะปล่อยวางได้แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะโง่เอามากๆ เลยสินะ
เธอไม่ได้ตอบอะไรหนิงซินเยว่ แต่เพียงจ้องเขม็งไปที่กู้สิงยวน แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “ถ้าคุณไม่อยากใช้ชีวิตกับฉันแล้ว คุณก็แค่พูดออกมาตรงๆ เลยก็ได้นี่ ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ในวันครบรอบแต่งงานของเราด้วย? ”
“เหอะ ได้!” กู้สิงยวนหัวเราะเยาะออกมาก่อนจะพูดว่า “งั้นตอนนี้พวกเราก็มาพูดกันตรงๆ ไปเลยก็แล้วกัน ผมต้องการหย่ากับคุณ เดิมทีตำแหน่งของคุณนายกู้ ควรจะต้องเป็นของเยว่เยว่เท่านั้น”
เจียงหยุนถังสบตากับสายตาที่เย็นชาของเขา เธอเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก แต่น้ำเสียงกลับยังคงสงบอย่างน่าประหลาดใจ “ได้ หย่าก็หย่า แต่ฉันต้องได้สินสมรสครึ่งหนึ่ง ห้ามขาดไปแม้แต่แดงเดียว”
กู้สิงยวนและหนิงซินเยว่มองหน้ากัน พวกเขาเห็นถึงความตกตะลึงในแววตาของกันและกันได้
เจียงหยุนถังเป็นเด็กกำพร้า แต่เธอกล้าที่จะขอส่วนแบ่งจากทรัพย์สินของตระกูลกู้เนี่ยนะ?
น่าตลกสิ้นดี!
หนิงซินเยว่ก้มหน้าลงเล็กน้อย แสร้งทำเป็นพูดโน้มน้าวขึ้นมาด้วยความหวังดีว่า “เจียงหยุนถัง คุณนี่ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาซะเลยนะ หลังแต่งงานพี่ยวนเป็นคนที่หาเงินเลี้ยงดูครอบครัวมาโดยตลอด คุณมันก็แค่ภรรยาฟูลไทม์เท่านั้น ตระกูลกู้ไม่เคยเอาเปรียบอะไรคุณเลย คุณต้องให้ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันไม่ติดใช่ไหมถึงจะยอมได้น่ะ?”
“ก็แค่มือที่สาม ก็ช่างกล้าเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นอีกเนอะ?” เจียงหยุนถังพูดเย้ยหยันขึ้นมาว่า “จำเอาไว้นะว่า ฉันไม่ได้ขอความเห็นของจากพวกคุณ ฉันแค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น เพราะหากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา คนที่จะขายหน้ามันไม่ใช่ฉันอยู่แล้ว!”
หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังและเดินออกไปโดยไม่ได้มองไปที่ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นอีกเลย
พอออกจากวิลล่าไปแล้ว เจียงหยุนถังก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็กดเบอร์โทรของใครคนหนึ่งที่ไม่ได้โทรมานานมากแล้ว
อีกฝ่ายแทบจะรับสายในทันทีเลยก็ว่าได้ อีกทั้งน้ำเสียงยังฟังดูตื่นเต้นมากจนยากที่จะเก็บอาการ “ฮัลโหล พี่ถังเหรอ? ในที่สุดพี่ก็นึกถึงผมสักทีนะ!”
“อื้ม ตอนนี้ฉันอยู่นอกวิลล่าส่วนตัวของกู้สิงยวน นายช่วยมารับฉันหน่อยสิ”
“ได้เลย ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
เพียงสิบนาทีหลังจากวางสายไป รถหรูหลายคันก็แล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง แล้วคันที่นำหน้าสุดก็มาจอดอยู่ตรงหน้าเจียงหยุนถัง
เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยลงจากรถ เจียงหยุนถังก็ยิ้มเยาะเย้ยตัวเองออกมาในทันที
เพื่อผู้ชายสารเลวคนหนึ่ง เธอยอมที่จะปกปิดความสามารถของตัวเองเอาไว้ แล้วก็ใช้ชีวิตโดยรับบทเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพาคนอื่นแทน
มันน่าตลกมาก!
แต่มาคิดได้เอาตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปหรอก!
“พี่ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย? ร้องไห้ทำไม?”
เซี่ยหลิงซิงวิ่งเข้าไป พอเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของเจียงหยุนถังก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
พี่ถังเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ทำไมเธอถึงร้องไห้ออกมาได้ล่ะเนี่ย?
เจียงหยุนถังมีสีหน้าเรียบเฉย เธอยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าและพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก ฉันหย่ากับไอ้ผู้ชายสารเลวนั่นแล้วนะ”
“หย่างั้นเหรอ?” เซี่ยหลิงซิงรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่าลงมาอย่างไรอย่างนั้น ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดึงสติกลับมาได้ หลังจากนั้นก็ยิ้มกว้างและพูดว่า “เยี่ยมไปเลย พี่ถัง ในที่สุดพี่ก็ตาสว่างสักทีนะ! ยินดีต้อนรับการกลับมาครับ ลูกพี่!”
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
หน้าตาก็หล่อเหลา เท่าที่ปั้นหยาอยู่ด้วยก็คิดว่าคงจะดูไม่ผิด ฐานะคุณไม่ใช่ธรรมดา แต่ปั้นหยาก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าถึงขั้นไหน จะหาผู้หญิงมานอนด้วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะบอกอะไรให้นะคะคุณฮัมดีนขา...” ปัณฑารีย์เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูฮัมดีน “ถึงปั้นหยาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก แต่ก็รักตัวเองเป็น แล้วผู้ชายอย่างคุณ ปั้นหยาไม่เลือกมาดูแลชีวิตปั้นหยาหรอกค่ะ คุณแก่และน่าเบื่อเกินไป” ปึก!! เข่าเล็กกระทุ้งขึ้นไปเตะกึ่งกลางกายใหญ่ ถึงจะไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้ฮัมดีนเจ็บได้ไม่น้อย “ช่วยไม่ได้นะคะคุณฮัมดีน คุณเป็นคนสอนให้ปั้นหยาทำแบบนี้เอง”
สำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นได้แค่ที่ระบายความใคร่ เขาไม่เคยมีความรักไม่เคยรักใคร แต่พอได้มาเจอเธอ เพื่อนของน้องสาวเขา ใจที่ด้านชากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง…
"ฉันจะนอนกับคุณทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน" "แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา "ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้...แล้วค่อยตัดสินใจ" เมื่อบิดาของตนเป็นโจรขโมยเพชรล้ำค่าของตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงมอสโค ยาหยี จำต้องโยนศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งแล้วกลายเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อให้บิดารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างเขา ทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีคือยอมพลีกายให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาในสามโลกได้เชยชม สาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนแทบขาดใจตายเพราะบทพิศวาสเร่าร้อนรุนแรงที่ไม่เคยได้พานพบ ความวาบหวามครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขามอบให้ทำให้ยาหยีคลั่งไคล้ในรสสิเน่หา กายสาวร่ำร้องโหยหาแต่เขาเพียงผู้เดียว หากภายในใจก็ต้องคอยย้ำเตือนตนเองไว้ว่า หล่อนก็เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว สักวันพอเขาเบื่อ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี!! จากที่คิดจะตามไล่ล่าเด็ดหัวคนทรยศให้แดดิ้นไปต่อหน้า คอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมในประเทศรัสเซีย ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อได้เจอสาวน้อยนัยน์ตากลมหวานซึ้ง ใบหน้าหวานๆ ส่งผลให้เขาต้องการอยากครอบครองหล่อนแทบคลั่ง คอร์เนลมั่นใจว่ามันจะมีผลกับร่างแกร่งได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับเขา ผู้หญิงคือวัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น เพียงได้ลิ้มลองแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยหันกลับไปกินของเก่าอีก แต่ทฤษฎีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับหล่อน ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกติดใจผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน คอร์เนลหลงใหลเนื้อนุ่มจนกลายเป็นเสพติด ทั้งที่ความยโสโอหังของบุรุษเลือดเย็นเยี่ยงเขาพยายามบอกกับตนเองว่า เขายังเชยชมร่างงามไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่ภายในใจลึกๆ กลับตะโกนก้องสวนทางออกมาว่า เขาขาดเธอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!!