หยางซูมี่บุตรีคนโตแห่งจวนเสนาบดี จำต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายาของอ๋องทมิฬตามบัญชาของฮ่องเต้แต่ในเมื่อนางแต่งเข้ามา สามีเฉยชา ไม่สนใจนาง ทั้งยังแต่งชายารองเข้ามา ทำไมนางต้องเอาชีวิตไปผูกกับเขาด้วย
หยางซูมี่บุตรีคนโตแห่งจวนเสนาบดี จำต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายาของอ๋องทมิฬตามบัญชาของฮ่องเต้แต่ในเมื่อนางแต่งเข้ามา สามีเฉยชา ไม่สนใจนาง ทั้งยังแต่งชายารองเข้ามา ทำไมนางต้องเอาชีวิตไปผูกกับเขาด้วย
บทที่ 1
กองทัพพยัคฆ์ทมิฬ
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ”
เสียงสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่แห่งจวนเสนาบดีกรมคลัง ตะโกนลั่นไปทั่วทั้งจวน นางนั้นหาได้สนใจธรรมเนียมปฏิบัติอันควรของสาวใช้ไม่ ด้วยความตกใจปนตื่นตระหนกเมื่อได้รับข่าวสารจากภายนอก
“มีอะไร ไยต้องตะโกนเสียงดังด้วยเจินเจิน” เสียงสตรีหวานละมุนที่นั่งอยู่บนตั่งภายในเรือนของตนดังขึ้นมาด้วยความสงสัย
“คุณหนูเจ้าคะบ่าวไปตลาดมาเจ้าค่ะ ได้ยินพวกชาวเมืองพูดกันไปทั่วว่าแคว้นเซี่ยของเรามีชัยชนะเหนือแคว้นศัตรูได้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงกระหืดกระหอบเอ่ยตอบกลับออกมา
“นี่ช่างเป็นข่าวดียิ่งนัก แล้วเหตุใดไยเจ้าถึงทำตัวดั่งมีข่าวร้ายด้วยเล่า”
“นอกจากบ่าวจะได้ยินข่าวดีที่แคว้นเราได้รับชัยชนะกลับมา แต่บ่าวยังได้ยินชาวเมืองเขาลือกันให้ทั่วว่าเมื่อท่านอ๋องทรงเสด็จกลับมา ฮ่องเต้จะทรงพระราชทานรางวัลเป็นสมรสพระราชทานให้กับท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
“เจ้าคงไม่ได้หมายความว่า...” คิ้วเรียวดั่งคันศรเริ่มขมวดกันเป็นปม เมื่อสังหรณ์ในใจของนางกำลังร้องเตือนขึ้นมา
“คุณหนูคิดไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ บุตรีที่สามารถจะแต่งเข้าจวนของท่านอ๋องได้ หากนับดูในเมืองหลวงแล้วเห็นจะมีเพียงสตรีแค่สามคนเท่านั้นเจ้าค่ะ คุณหนูหม่าลี่เหมยแห่งจวนเสนาบดี คุณหนูจ้าวเหมยอิงแห่งจวนแม่ทัพ และคุณหนูหยางมี่ของบ่าวอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เจินเจินอธิบายให้เจ้านายสาวฟัง พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หยางซูมี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตาขวากระตุกถี่ยิบ สังหรณ์ในใจของนางไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ร่างบางได้แต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนด้วยความกลัดกลุ้มใจ
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือน กองทัพของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแคว้นเซี่ย บุรุษร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะสีดำเงาวาววับนั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาว จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้เขาคือ ท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ผู้บัญชาการทหารกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ ผู้กุมกำลังพลทหารกว่าสองแสนนายที่สามารถเอาชนะแคว้นฉินได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น
ตลอดสองข้างฝั่งถนนล้วนมีราษฎรชาวแคว้นเซี่ยออกมายืนรอต้อนรับกองทัพพยัคฆ์ทมิฬของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงกันอย่างล้นหลาม บ้างก็ตะโกนเรียกขานพระนามของท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง บ้างก็พากันโยนดอกไม้ ทั้งยังมีหญิงสาวใจกล้าบางคนโยนผ้าเช็ดหน้ามาให้ ขณะที่เซี่ยเหวินหรงขี่ม้าผ่านหน้าไป ช่างน่าเสียดายที่สายตาคู่คมนี้ไม่ได้แยแสต่อสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่น้อย เพราะในใจของเขากำลังหนักอึ้งกับรางวัลที่เสด็จพี่ผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเซี่ยจะพระราชทานให้เขาเสียมากกว่า ซึ่งรางวัลนี้เขาไม่ได้ปรารถนาเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยเหวินหรงเดินทางมาเข้าเฝ้า ฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลง ยังท้องพระโรงของพระราชวัง ภายในท้องพระโรงล้วนเต็มไปด้วยบรรดาขุนนางที่มาเข้าเฝ้าเพื่อมาประชุมเช้ากันอย่างพร้อมเพรียงหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้
“กระหม่อมเซี่ยเหวินหรง ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเหวินหรงก้าวเท้าออกมายืนข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าถวายพระพรฮ่องเต้เต็มพิธีการ
“รีบลุกขึ้นเร็ว รีบรายงานข่าวการศึกกับแคว้นฉินให้เจิ้นฟังเร็วเข้า”
เซี่ยเฟยหลงเอ่ยอย่างเร่งเร้า พระองค์นั้นอยากจะทรงทราบข่าวการศึกว่าแท้จริงนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง แต่นอกจากอยากจะทรงทราบข่าวการศึก พระองค์ก็กำลังทรงรอคอยที่จะเอ่ยโอฐรีบพระราชทานรางวัลความดีความชอบให้กับน้องชายของพระองค์เสียมากกว่า แผนการทุกอย่างพระองค์ได้จัดเตรียมไว้หมดแล้ว เพียงรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ พระองค์จะทรงพระราชทานรางวัลให้กับน้องชายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ทั้งในส่วนลึกของจิตใจพระองค์ยังทรงรู้สึกติดค้างกับน้องชายผู้นี้มากเหลือเกิน
“ทูลฝ่าบาทตามที่ม้าเร็วส่งสาสน์มาแจ้งก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตัดศีรษะของแม่ทัพแคว้นฉินได้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ ยึดเอาดินแดนทางทิศเหนือที่อยู่ติดกับแคว้นเซี่ยของเรา หลังจากนั้นฮ่องเต้แคว้นฉินก็ได้ทรงยกธงขาวยอมแพ้ เนื่องจากแคว้นฉินขาดเสบียงที่ทหารของฝ่ายเราลักลอบเข้าไปเผาถึงในค่ายทหารแคว้นฉินได้สำเร็จพ่ะย่ะค่ะ
ตอนนี้ทางแคว้นฉินกำลังเร่งจัดเตรียมคณะราชทูตเพื่อเดินทางมาเจรจาสงบศึก และชดใช้ค่าสินสงครามแก่แคว้นเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ ทหารฝั่งเราบาดเจ็บกว่าพันนาย พิการห้าสิบนาย ตายในสนามรบอีกหนึ่งพันนาย รายนามชื่อของทหารกับรายละเอียดในส่วนที่เหลือ กระหม่อมจะเขียนฎีกาถวายพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเหวินหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำทั้งหมด เขาหมายอยากจะให้ทุกคนในท้องพระโรงแห่งนี้ตระหนักได้ว่า สงครามครั้งนี้แม้ว่าแคว้นเซี่ยจะได้รับชัยชนะกลับมา แต่ก็ต้องสูญเสียทั้งกำลังคนและกำลังทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน
“ดียิ่งนัก ครั้งนี้เจ้าทำผลงานไว้ได้ดีมาก ทหารทุกนายที่พลีชีพและเสียสละเพื่อแคว้นเซี่ย เจิ้นจะมอบรางวัลและตอบแทนความเสียสละครั้งนี้ของพวกเขาทุกคนอย่างเหมาะสมแน่นอน วันพรุ่งนี้เจิ้นจะจัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองชัยชนะในครั้งนี้ เจ้ารีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ”
เซี่ยเหวินหรงเมื่อเอ่ยถวายรายงานจบ ได้กลับไปยืนยังตำแหน่งของตนเอง เซี่ยเฟยหลงและขุนนางต่างถกราชการเช้ากันต่อไป หลังจากที่ประชุมเช้าเสร็จ เซี่ยเหวินหรงได้เดินทางไปขอเข้าเฝ้าไทเฮามู่อิงฮวา พระราชมารดาของฮ่องเต้เซี่ยเฟยหลง และเป็นพระมารดาเลี้ยงของเขาด้วย
เซี่ยเหวินหรงนั้นถือกำเนิดมาจากฮ่องเต้รัชกาลก่อนกับพระสนมเอกเว่ยกุ้ยเฟย พระมารดาของเซี่ยเหวินหรงสิ้นพระชนม์ตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 5 หนาวเท่านั้น มู่อิงฮวาที่ ณ เวลานั้นดำรงตำแหน่งฮองเฮาได้ทูลขอกับฮ่องเต้ขอรับเซี่ยเหวินหรงมาเลี้ยงดูคู่กันกับเซี่ยเฟยหลงซึ่งในเวลานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว
เซี่ยเหวินหรงอายุห่างกับเซี่ยเฟยหลงถึง 15 ปี ทำให้เซี่ยเฟยหลงอดจะเอ็นดูน้องชายคนนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับเซี่ยเหวินหรงเองก็มีความรักความผูกพันกับเซี่ยเฟยหลงและมู่อิงฮวามากเช่นกัน ทุกครั้งที่เขากลับมาจากสนามรบจะต้องแวะเวียนไปเยือนยังตำหนักหย่งเหิงซึ่งเป็นที่ประทับของไทเฮามู่อิงฮวาเสมอ
“ท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรงมาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
นางกำนัลหน้าตำหนักหย่งเหิงเอ่ยคำรายงาน เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของตำหนัก จึงได้ทูลเชิญเสด็จเซี่ยเหวินหรงให้เข้าไปยังด้านในทันที
ภายนอกของตำหนักหย่งเหิงตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์จากทั่วทั้งแคว้น งดงามดั่งสวนสวรรค์ก็ไม่ปาน ด้านหลังยังมีสระน้ำขนาดเล็กที่มีปลาตัวน้อยหางสีสวยสดงดงามที่ได้รับมาจากต่างแดน ร่มเงาของตำหนักมีต้นท้อที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งไปทั่วทั้งตำหนัก กล่าวได้ว่าตำหนักหย่งเหิงนั้นถูกรังสรรค์ให้งดงามดุจดั่งสวนบุปผาสวรรค์ก็ไม่ผิดนัก
เซี่ยเหวินหรงก้าวเท้าเดินเข้าไปยังตำหนักที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ขาที่กำลังก้าวไปยังห้องโถงของตำหนักที่ประดับไปด้วยแจกัน และปะการังสีเลือดต้องหยุดชะงักลงชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปอย่างมั่นคง
“ถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พัน พันปีพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อิงฮวาที่กำลังนั่งสนทนากับสตรีงดงาม จำต้องหยุดชะงักลงเมื่อพบว่าผู้ใดที่เพิ่งเข้ามาใหม่ พระนางรีบลุกจากเก้าอี้ไม้เดินเข้าไปประคองร่างสูงของเซี่ยเหวินหรงให้ลุกขึ้นยืน ทั้งยังส่งพระเนตรดุมองมาอย่างไม่พอใจนัก
“จะต้องมากพิธีไปไยเจ้าเด็กคนนี้นี่ กลับมาได้เสียทีไม่คิดถึงแม่บ้างเลยหรืออย่างไร แล้วนี่เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดบ้างหรือไม่ขอแม่ดูหน่อย”
มู่อิงฮวารัวคำถาม แล้วจับร่างสูงหมุนตัวไปมาพลางทอดพระเนตรสำรวจดูเพื่อมองหาบาดแผล
“ลูกทำให้เสด็จแม่ต้องทรงเป็นห่วงแล้ว ขอทรงโปรดลงพระอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยเหวินหรงเอ่ยเสียงทุ้มเข้ม นัยน์ตาทอประกายความอบอุ่นออกมา
“เจ้ากลับมาไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แม่จะแนะนำฮวาเอ๋อร์ให้เจ้ารู้จัก”
มู่อิงฮวาทอดพระเนตรไปทางหลานสาว มู่เหลียนฮวาคือบุตรสาวคนโตของน้องชายพระนาง มู่เหลียนฮวาเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามอ่อนหวาน กิริยามารยาทก็เรียบร้อยเหมาะสมที่จะแต่งเข้ามาเป็นพระชายาเอกของเซี่ยเหวินหรงเป็นที่สุด ติดเพียงทั้งสองยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน มู่อิงฮวาจึงตั้งปณิธานที่จะเป็นผู้เฒ่าจันทราสักครั้ง
“หม่อมฉันมู่เหลียนฮวาถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ”
มู่เหลียนฮวายอบกายลงคารวะ พลางช้อนสายตาหวานมองเซี่ยเหวินหรงด้วยความเขินอาย ใบหน้างดงามแดงก่ำด้วยความขัดเขิน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบท่านอ๋องเซี่ยเหวินหรง ไม่นึกว่าท่านอ๋องจะเป็นบุรุษที่น่าเกรงขาม และหล่อเหลาถึงเพียงนี้
“ลุกขึ้นเถิดคุณหนูมู่ ลูกไม่ทราบว่าเสด็จแม่มีแขก เช่นนั้นไว้คราวหน้าลูกค่อยมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ใหม่ ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเหวินหรงเข้าใจพระประสงค์ของไทเฮาดี เขาปรายสายตาคมดุมองท่าทางของมู่เหลียนฮวาด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นจึงรีบหันไปทูลลาไทเฮา ไม่รอให้พระนางทรงอนุญาตเขาก็เดินจากไปไกลลิบแล้ว
มู่เหลียนฮวาได้แต่ยืนค้างในท่าทำความเคารพ นัยน์ตาหวานเบิกตามองด้วยความตกตะลึง นี่ท่านอ๋องทรงรังเกียจนางจนต้องรีบเร่งจากไปเลยอย่างนั้นหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้าและไม่พอใจ มู่อิงฮวาเองก็คาดไม่ถึงว่าเซี่ยเหวินหรงจะรีบจากไปเร็วถึงเพียงนี้ พระนางเองก็ทรงรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยแต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อตัวคนก็ไม่อยู่ให้ตำหนิเสียแล้ว
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
เล่อซานเป็นคนใบ้ เธอถูกสามีละเลยมาเป็นเวลาห้าปี ม้แต่เธอตั้งท้องยังถูกแม่สามาีทำร้ายจนแท้งลูก หลังจากการหย่าร้าง สามีของเธอก็ประกาศหมั้นกับคนรักในใจของเขาทันที เธอกุมท้องที่นูนเล็กน้อยไว้ ในที่สุดก็ได้สติและเข้าใจว่าเขาไม่เคยจริงจังกับเธอมาก่อน... เธอหันหลังจากไปอย่างเด็ดขาด และทั้งสองก็กลายเป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่เธอจากไป ชายคนนั้นก็ตามหาเธอไปทั่วโลก เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง เธอก็รักคนอื่นไปแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาถามอย่างถ่อมตัวว่า "ได้โปรดอย่าไป..." ทว่าคำแรกที่เธอพูดก็คือให้เขาไปให้พ้น!
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY