สุ่ยฉิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ซูเหอตลอดคือลูกสาวบุญธรรมของตระกูลซู เวลานี้เธอกำลังกอดหนังสือทางการแพทย์เล่มหนึ่งเอาไว้พลางพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “พี่ มาถึงตอนนี้แล้วพี่อย่าโกหกอีกเลย เฮียรองเก็บตัวอย่างยาของพี่ไปตรวจมาแล้ว ผลการตรวจออกมาว่าในนั้นมียาพิษร้ายแรงอยู่”
ซูหลีเหลือบมองเธอแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเอือมระอาในความโง่เขลาของเธออย่างชัดเจน แล้วก็พูดขึ้นว่า “ยัยโง่ ขึ้นชื่อว่ายาก็ต้องมีพิษอยู่บ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งอาการของเฮียใหญ่ร้ายแรงขนาดนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย พิษแรง ๆ ก็ต้องใช้พิษแรง ๆ สู้กลับ มันไม่มีทางอื่นแล้ว”
ดวงตาของสุ่ยฉิงมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ เธอพูดขอร้องวิงวอนขึ้นว่า “พี่ เฮียใหญ่ถึงกับอาเจียนออกมาเป็นเลือดขนาดนี้แล้ว พี่ยังจะโกหกอยู่อีกเหรอ! พวกเราทุกคนต่างก็เป็นนักศึกษาแพทย์กันทั้งนั้น ถ้ายังไม่มีทักษะมากพอแล้วจะไปช่วยชีวิตผู้อื่นได้ยังไง อย่าทำเป็นอวดเก่งจะดีกว่านะ”
เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วก็พูดกับซูหลีอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ฉันไปหาฤๅษีท่านหนึ่งให้เฮียใหญ่มาแล้ว แถมยังได้ตำรับยาที่สามารถช่วยชีวิตเฮียใหญ่ได้จากเขามาอีกด้วย พี่ยอมรับผิดซะเถอะ แล้วก็ให้พวกเราใช้ตำรับยาของท่านฤาษีรักษาอาการป่วยให้เฮียใหญ่ก่อนจะได้ไหม?”
ซูเหอไอออกมาและตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “ซูหลี เธอไม่เพียงแต่เอายาที่ไม่รู้แหล่งที่มามาให้ฉันกินเท่านั้น แต่เธอยังดูหมิ่นน้องสาวของตัวเองอีก! ถ้าเธอมีจิตใจที่ดีได้สักครึ่งหนึ่งของน้องสาวเธอก็คงจะดี! รีบคุกเข่าลงและยอมรับความผิดเดี๋ยวนี้!”
ซูหลียืดหลังตรงและมองไปที่ซูเหอด้วยสายตาเย็นชา “ฉันก็แค่อยากจะช่วยเฮีย แล้วฉันผิดตรงไหนเหรอ? จะให้ฉันคุกเข่าให้เธองั้นเหรอ? ไม่มีทาง”
“ได้ ได้ ได้! เธอจะให้ฉันโมโหจนตายเลยใช่ไหม! เธอนี่มันนิสัยเสียแก้ไม่หายจริง ๆ!” ซูเหอโกรธมากจนคว้าแส้ที่อยู่ข้างมือลุกขึ้นยืน จากนั้นก็จะฟาดไปที่ตัวของซูหลี “รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉันเลยนะ! ออกไปจากตระกูลซูซะ! ฉันไม่ต้องการน้องสาวที่สร้างแต่ปัญหาอย่างเธอ! ขนาดเลี้ยงหมามันยังซื่อสัตย์มากกว่าเธอเลย!”
ซูหลีถอยหลังไปสองก้าวเพื่อหลบแส้ แล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากชั้นบน หลังจากนั้นกระเป๋าเป้ใบหนึ่งก็ถูกโยนมาที่ข้างเท้าของเธอ
ซูไป๋หรือเฮียรองพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ฉันเองก็มีความจริงจะบอกเธอเหมือนกัน ความจริงแล้วฉิงเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของพวกเรา หลายปีที่ผ่านมาพวกเราปิดบังเรื่องนี้กับเธอมาโดยตลอด เพราะกลัวว่าเธอจะคิดมาก แต่ตอนนี้พวกเราเห็นแล้วว่าเธอเป็นคนที่จิตใจชั่วร้ายมากแค่ไหน”
“ถ้าเธอยังจะยืนกรานว่าเธอไม่ผิด งั้นก็ออกไปจากตระกูลซูซะ พวกเราจะได้ประกาศอย่างเป็นทางการไปเลยว่าฉิงเอ๋อร์เป็นน้องสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียวของพวกเรา แล้วเธอก็จะสูญเสียทรัพย์สมบัติและเกียรติยศที่มีอยู่ในตอนนี้ไป กลับไปหาครอบครัวที่ชนบทของเธอซะเถอะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูหลีต้องเผชิญกับการคุกคามเช่นนี้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ตลอดเวลาที่อยู่ในตระกูลซูเธอถูกกดขี่ข่มเหงมามากพอแล้ว อย่างวันนี้พอได้ยินว่าตัวเองคือน้องสาวตัวปลอม เธอก็รู้สึกโล่งใจ ซึ่งมันกลับเบาใจขึ้นมาก
ในที่สุดเธอก็ไม่ต้องเอายาที่ตัวเองวิจัยมาให้กับคนที่ไร้ซึ่งวิสัยทัศน์อย่างตระกูลนี้แล้ว
ถึงว่าเธอเป็นคนชาญฉลาดขนาดนี้ แต่ทำไมพี่น้องถึงได้โง่เขลาเบาปัญญากันหมด
“ได้”
ซูหลีหยิบกระเป๋าเป้ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็หยิบลูกอมเม็ดหนึ่งบนโต๊ะยัดใส่เข้าปากไป จากนั้นก็หันหลังและจากไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สุ่ยฉิงมองตามแผ่นหลังของเธอไป แล้วมุมปากของเธอก็ยกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
เธอใช้เวลาถึงห้าปีเต็ม ในที่สุดก็ขับไล่ซูหลีออกไปได้สักที เธอจะได้กลายเป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลซู แล้วก็เป็นที่รักของพวกพี่ชายสักที
แต่สุ่ยฉิงก็ยังแสร้งทำเป็นไล่ตามซูหลีไปและตะโกนเรียกขึ้นมาอย่างจอมปลอมว่า “พี่! พี่อย่าไปเลยนะ ครอบครัวของฉันยังมีที่สำหรับพี่เสมอ พี่อย่าทำให้ฉันต้องโทษตัวเองเลยได้ไหม! ฉันขอร้องเถอะนะ!”
ซูเหอเรียกเธอด้วยความโมโหว่า “ฉิงเอ๋อร์ เธอกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ให้ยัยนั่นไปน่ะดีแล้ว เด็กเมื่อวานซืนที่มาจากชนบท ความคิดต่ำทราม ปล่อยให้ยัยนั่นกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในชนบทตลอดไปน่ะดีแล้ว”
จะบอกว่าคนตระกูลซูไม่มีสมองเลยจะได้ไหมนะ?
พวกเขาคิดจริง ๆ น่ะเหรอว่า ที่ซูเหอสามารถฟื้นขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนสามารถพูดสามารถเดินได้ ทั้งหมดเป็นเพราะความโชคดีของเขาเพียงอย่างเดียว?
เธออยากจะดูสิว่า หากไม่ได้รับการนวดฟื้นฟูตามกำหนดของเธอและยาพิเศษที่เธอวิจัยขึ้นมาแล้ว ซูเหอจะยืนไปได้อีกนานแค่ไหน
ซูหลีสวมฮู้ดของเสื้อสเวตเตอร์คลุมศีรษะเอาไว้ ผมยาว ๆ ที่ปล่อยสยายอยู่ปลิวไปตามลมจนมาโดนริมฝีปากสีแดงสดของเธอ ดวงตางดงามของเธอแสดงความเย้ยหยันออกมา
......
อีกทางด้านหนึ่ง ที่บ้านตระกูลลั่ว ณ เมืองหลวงของประเทศคาเรีย
ภายในคฤหาสน์สุดหรูหรา ชายชราผู้เป็นที่เคารพนับถือคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เขาโยนไม้เท้าชุบทองในมือออกไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไหนบอกว่าหาเจอแล้วไม่ใช่รึไง ทำไมถึงยังไม่ไปรับตัวกลับมาอีกล่ะ!”
ชายผู้สูงศักดิ์ที่ดูสง่างามมีเสน่ห์สามคนกำลังห้อมล้อมเขาอยู่ พวกเขาคือลูกชายทั้งสามของตระกูลลั่ว ซึ่งทั้งสามคนต่างก็โดดเด่นและมีอำนาจสูง แม้แต่ประธานาธิบดีก็ยังต้องให้ความเคารพพวกเขาเลย
ขณะนี้เนื่องจากยังไม่มีข่าวคราวของน้องสาวคนที่สี่ของพวกเขาที่หายตัวไปตั้งแต่เด็ก พวกเขาจึงเป็นกังวลมากจนหน้าตาเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“เบาะแสหยุดอยู่ที่เมืองจิง โดยทางสายสืบบอกว่าน้องสี่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขา แต่ต่อมากลับถูกคนจับไปขาย แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาจึงยังสืบไม่พบเลยครับ”
พอฟังจนจบชายชราก็รู้สึกทุกข์ใจมาก “น้องสาวของพวกแกหายตัวไปตั้งสิบแปดปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าเธอต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในชนบทมากขนาดไหน!”
“คุณปู่ พวกเราเจอตัวคนค้ามนุษย์ที่จับเธอไปขายตอนนั้นแล้วครับ เขาบอกว่าสุดท้ายแล้วเขาเอาเธอไปขายต่อให้กับคุณนายเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองจิง ให้เวลาพวกเราอีกหน่อยนะครับ อีกไม่นาน พวกเราจะต้องหาน้องสี่เจอได้แน่นอนครับ
น้ำเสียงของคุณปู่ไม่ได้ฟังดูโกรธเคืองขนาดนั้นแล้ว เขาลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังว่า “งั้นตอนนี้ก็ไปกันเถอะ ฉันก็จะไปกับพวกนายด้วยเหมือนกัน!”