วันสิ้นโลกผ่านไป 40 ปี กับวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แต่อยู่ดีๆวันหนึ่ง เขาก็ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นของวันสิ้นโลกในตอนที่อายุ 5 ขวบ
วันสิ้นโลกผ่านไป 40 ปี กับวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย แต่อยู่ดีๆวันหนึ่ง เขาก็ย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นของวันสิ้นโลกในตอนที่อายุ 5 ขวบ
1.อ้วงข้ามเวลา
“เป็นไปได้จริงๆ สินะ”
เด็กชายตัวน้อยยกมือเล็กป้อมขึ้นลูบหน้าตัวเองเบาๆ สายตาเหลือบมองเงาที่สะท้อนในกระจกบานเก่าๆ ทรงยาวขนาดใหญ่ที่พิงไว้ข้างผนังบ้าน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องขวัญผวาของผู้คนบนท้องถนนหน้าบ้านที่ดังแว่วเข้ามาไม่ขาดสาย
“การจับเจ้านั่นส่งฉันมาที่นี่?”
เล้งกล่าวกับตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย วันสิ้นโลกได้มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงชนิดที่ทำให้ทวีปต่างๆ เกิดรอยแยกขึ้นมา ถึงแม้จะไม่มาก และไม่ถึงกับทำให้แผ่นทวีปแยกออกจากกันก็ตาม แต่รอยแยกนั้นกลับเกิดขึ้นเกือบทั่วทุกพื้นที่บนโลก มันปล่อยรังสีอันตรายบางอย่างซึ่งมาจากแกนโลก เป็นรังสีความร้อนภายใต้เปลือกปฐพีหลายหมื่นเมตรปะทุขึ้นสู่อากาศ กลิ่นของมันเหมือนกำมะถัน สิ่งมีชีวิตที่สัมผัสจะเกิดการกลายพันธุ์ เริ่มแรกเป็นมนุษย์ที่ป่วย ผู้เคราะห์ร้ายกลุ่มแรกๆ คือเด็กและผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าคนปกติ คนป่วยด้วยโรคร้ายและคนชราจะเสียชีวิตทันที เชื้อแบคทีเรียบางอย่างที่มนุษย์ไม่มีการศึกษาค้นคว้าและไม่รู้จักเพราะมันมากับรังสีใต้โลกเข้าควบคุมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ทำให้เกิดสภาวะสมองตาย ควบคุมกล้ามเนื้อ ระบบประสาท การตอบสนองและอวัยวะทั้งหมด คนๆ นั้นจะอยู่ในสภาพเหมือนกับผีดิบ ไร้สติ มีแต่สัญชาตญาณความดุร้ายและความกระหาย
ส่วนคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นมาหน่อยก็จะกลายพันธุ์ให้มีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป มีสมาธิหรือพลังจิตที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาไปอีกขั้น
พวกเขาหรือเธอจะมีพลังอย่างใดอย่างหนึ่ง พละกำลังแข็งแกร่งป่นเหล็กให้บี้แบน พลังจิตในการควบคุมสัตว์ หรืออีกหลายๆ อย่าง แต่พลังที่ออกมาและที่เล้งเคยเห็นมีแค่พลังกายกับจิตเท่านั้น มีการทดลองและได้คำตอบว่ารังสีนี้จะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง โดยปกติมนุษย์มีการใช้สมองในอัตราแค่ 10% จะถูกยกระดับอัพเกรดสมรรถนะให้ดีกว่าเก่าหลายร้อยเท่า
และกลุ่มสุดท้ายคือคนที่ไม่ได้โดนผลกระทบของรังสีเลย หรือก็คือคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานรังสี ฟังเหมือนดี แต่ในวันสิ้นโลกที่ซอมบี้กากๆ ซึ่งเดินช้ากว่าเต่าไม่เท่าไหร่มีแรงนิ้วมากกว่าแขนข้างหนึ่งของคุณ ถึงมันจะวิ่งไล่คุณไม่ทันเพราะข้อต่อกระดูกและกล้ามเนื้อที่ฝืดเคืองผลจากร่างกายที่เน่าเปื่อยลงเรื่อยๆ แต่ถ้าสมมติว่าเราพลาดพลั้งโดนพวกมันจับได้เมื่อไหร่ หากไม่ยกปืนเป่าหัวให้ตายในตอนนั้น แม้แต่คนธรรมดาสามคนก็แกะมือมันจากเหยื่อไม่ออกแน่นอน
ลำดับต่อไปของการกลายพันธุ์คือสัตว์เลือดเย็น สัตว์เลือดอุ่น สัตว์ปีก สัตว์น้ำ แมลงและต้นไม้ สัตว์ต่างๆ บนบกรวมทั้งแมลงจะแสดงผลหลังจากมนุษย์เผชิญวิกฤตประมาณ 3-5 วัน พวกมันมีทั้งวิวัฒนาการ 2 แบบเช่นเดียวกับมนุษย์คือเปลี่ยนเป็นซากผีดิบเลยหรือไม่ก็เปลี่ยนรูปแบบเป็นสัตว์กลายพันธุ์
ต้นไม้เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปฏิกิริยาต่อรังสีช้าที่สุดและอันตรายที่สุด มันมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างเหนือสามัญสำนึกไปมากกว่าเดิมหลายเท่า อันตรายน้อยสุดคือหญ้าที่สามารถเจาะผิวหนังเหยื่อเพื่อดูดเลือดหล่อเลี้ยงตัวมันเอง ระดับกลางขึ้นไปหน่อยก็ต้นไม้ยืนนิ่งกับที่เพื่อดักจับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ผ่านทางมา มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมในการจับคลื่นการสั่นสะเทือนของเป้าหมาย อันตรายที่สุดคือพวกที่สามารถถอนตัวเองออกจากดินเพื่อเคลื่อนไหว และมีสติปัญญาในการคิดวิเคราะห์ มีระบบประสาท การได้ยิน การดมกลิ่น การมองเห็น มีระบบไหลเวียนเลือด และมีอารมณ์ความรู้สึก บางพันธ์เปลี่ยนแม้กระทั่งรูปลักษณ์ให้แตกต่างไปจากเดิม
แต่ไม่ใช่ต้นไม้ทุกต้นที่กลายเป็นแบบนั้น...
เล้งอยู่ในโลกของความโกลาหลมาร่วมเกือบ 40 ปีนับจากที่เขาตื่นในตอนนี้ ล้มลุกคลุกคลาน ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมายตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนถึง 40 ปี ในวันสุดท้ายของชีวิตเขาถูกพวกมีพลังลากไปเป็นเบ๊เก็บของ ล่าสัตว์กลายพันธุ์ระดับสูงตนหนึ่ง มีชื่อว่าผีเสื้อมายา ซึ่งเป็นแมลงผีเสื้อขนาดใหญ่กว่า 7 เมตรกะโดยสายตา พลังมายารบกวนประสาทชนิดร้ายแรง มีการเคลื่อนที่คล้ายกับการฉีกมิติไปโผล่อีกที่หนึ่งเป็นท่าไม้ตายก้นหีบไว้หนีเมื่อจวนตัว แต่ตอนนั้นที่ล่าเป็นราชินีของมัน หินวิวัฒน์ในร่างส่องแสงเปล่งประกาย เขามีหน้าที่เก็บของเหล่านั้น พอมือแตะไปที่หินสีสวย ทุกอย่างก็ระเบิดทำลายล้างไปรอบบริเวณในทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
และตื่นขึ้นมาในตอนนี้
ดูเหมือนเวลาแค่เกือบ 40 ปี สัตว์วิวัฒน์จะพัฒนาความสามารถตัวเองจนทำเรื่องเหนือสามัญสำนึกอย่างการส่งใครสักคนข้ามกาลเวลามาได้แล้วในบางสายพันธุ์ที่มีพลังเกี่ยวกับมิติ
...วันแรกของเหตุการณ์ความวุ่นวาย
ตอนที่เขาอายุ 5 ขวบปี แน่นอนถ้าเป็นเมื่ออดีตเขาจำช่วงเวลาตอนตัวเองอายุ 5 ขวบไม่ได้ จำไม่ได้แม้กระทั่งอ้อมกอดอุ่นสุดท้ายของพ่อกับแม่
ป้าที่รับเลี้ยงเขาในค่ายผู้อพยพเล่าให้ฟังตอนที่เขาอายุ 15 ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตจากภาวะขาดสารอาหารว่าพ่อของเขาช่วยล่อซอมบี้ไปอีกทางเพื่อให้แม่กับเขาปลอดภัย หลังจากนั้นแม่ของเขาซึ่งหน้าตาสระสวยก็ถูกผู้มีอิทธิพลภายในค่ายจับไปข่มขืนและไม่ได้เจอกันอีก ป้าซึ่งหนีไปพร้อมๆ กับครอบครัวของเขาในช่วงแรกนึกสงสารจึงรับไปดูแลต่อจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิตเธอ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นพี่ ทำไมด้านนอกถึงวุ่นวายแบบนี้!?”
ลินดาแง้มผ้าม่านหน้าต่างภายในบ้านเช่าที่เธอกับครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยแววตากังวล ความวุ่นวายด้านนอกทำให้หญิงสาวขวัญผวา มีศพคนตายตัวม่วงช้ำเลือดช้ำหนองเดินโซเซไล่กัดคนไปทั่ว เสียงกรีดร้องแสดงถึงความหวาดกลัวและเจ็บปวด รถราชนกัน เสียงไซเรนของรถตำรวจและรถพยาบาลวุ่นวายเต็มท้องถนน
“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เอก สามีร่างสูงของลินดาตอบออกไปพร้อมกับดึงภรรยาออกมาจากหน้าต่างบานดังกล่าว เล้งมองสองผัวเมียซึ่งเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง พร้อมกับซึมซับอ้อมกอดของแม่ที่เข้ามาปลอบโยนเขาอยู่เงียบๆ
ลินดาเป็นหญิงสาวผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเหมือนองค์หญิงในหนังสือนิทานขาดๆ เก่าๆ ที่ป้าเคยเก็บมาได้และเล่าให้ฟังก่อนนอน เธอทั้งบอบบาง นุ่มนิ่ม ตัวเล็ก ดูน่าถนุถนอมอ่อนโยนทุกองศาสายตาที่คนมอง ผิดกับพ่อของเขาอย่างเอก รายนี้ตัวโตล่ำสัน ผิวสีแทน หน้าตาคมดุ คิ้วพาดเฉียงเหมือนหงุดหงิดตลอดเวลา จมูกโด่งมีสันกรามชัดเจน นิยามตามความคิดทั่วไปก็หล่อเลว มีรอยสักที่แขนไล่จากไหล่ซ้ายจนถึงข้อมือ และที่ลำคอแกร่งใกล้ๆ กับกกหูด้านขวา ติ่งหูข้างขวาเจาะประดับจิววงกลมสีเงินสองเม็ด
นักเลงกับคุณหนูดีๆ นี่เอง
“เราหนีออกจากที่นี่เถอะพี่ หนูกลัว”
หญิงสาวตัวสั่นงันงก ยิ่งฟังเสียงเนื้อฉีกขาดจากข้างนอกเหมือนสติของเธอจะเตลิดมากกว่าเดิม ชายหนุ่มเข้าไปปลอบโยนกอดกระชับทั้งเมียและลูกชายปากกำลังจะอ้าตอบตกลงไปแล้ว ถ้าไม่มีเสียงเล็กๆ ของเล้งเอ่ยขัดเสียก่อน
“ไม่ไป”
“อยู่ที่นี่มันอันตรายนะลูก”
ลินดาก้มลงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ โดยลืมคิดไปว่าเด็กชายในอ้อมแขนตามความจริงเธอไม่จำเป็นต้องต่อความยาวอะไรตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทว่าเด็กน้อยกลับสายหน้า
“ไม่ไปฮับ ในนี้ปอดภัยน้า~”
ผีดิบวันแรกของเหตุการณ์โกลาหลไม่ได้น่ากลัวเมื่อเทียบกับอีกสองปีต่อมา แค่โดนช๊อตไฟฟ้าหรือโดนความเย็นก็น็อกไปแล้ว หรือถ้าให้ดีกว่านั้นเดินเอาปากกระบอกปืนจ่อหัวโต้งๆ แล้วลั่นไกใส่เปรี้ยงเดียวก็จบ เพราะอย่างไรมันก็เดินช้า การตอบสนองระยะแรกทื่อเสียน่าสมเพช เนื่องจากผีดิบคือศพคนที่ตายแล้ว เมื่อมันเย็นตัวลงข้อต่อต่างๆ ก็ฝือเคืองไปด้วย พวกมันจึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เล้งหันใบหน้าไปมองพ่อ
“พ่อม่ายไปนะ แม่โหน่ย (เหนื่อย) ”
ไอ้ลิ้นชิบหาย!
เอกลังเล เขาซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวตัดสินใจไม่ถูกกับสถานการณ์นี้
“ข้างนอกอันตาลายน้า”
เสียงฟันน้ำนมเล็กๆ ของบุตรชายกลับเรียกสติได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบรับชายหนุ่มรู้สึกเสียดแทงจากด้านในอกก่อนจะล้มลงไปอย่างกะทันหันเรียกเสียงกรีดร้องจากผู้เป็นภรรยาดังลั่น
“แม่ชู่! ชู่ๆๆ อย่าล้องนะ เด่วตัวน่ากัวข้างนอกเข้ามานะ!”
เล้งมองพ่อที่ล้มลงไปตัวสั่นสะท้านพร้อมกับเหงื่อมากมายไหลชโลมกายอย่างฉับพลัน พร้อมกับทำท่าจุปากพยายามปลอบให้มารดาเงียบเสียง ศพพวกนั้นเคลื่อนไหวช้าแต่ไวต่อเสียง ถึงมันจะซึมกะทื่อไปบ้าง เล้งรับรองสำหรับคนที่ไม่เคยพบเห็นมันคงไม่มีกะจิตกะใจจะหันไปต่อกรด้วย บางทีอาจไม่หนีด้วยซ้ำเพราะความหวาดกลัวฉุดรั้งสติ
การกลายพันธุ์... ไม่แปลกใจว่าทำไมพ่อถึงไม่รอดกลับมาหาเขากับแม่ในชาติที่แล้ว เพราะคนที่กลายพันธุ์ช่วงแรกไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย เผลอๆ เขาอาจล่อซอมบี้ไปทางอื่นแล้วเกิดกลายพันธุ์ระหว่างทาง หมดสติล้มลงตรงนั้นแล้วถูกฝูงศพเดินได้รุมกินโต๊ะตายทั้งเป็น จบชีวิตแบบยังไม่ทันได้พยายามในการมีชีวิตเลยด้วยซ้ำ
“แม่ขอผ้าใหญ่ๆ”
“ฮึกๆ ลูกจะเอาไปทำอะไร แม่ขอดูพ่อก่อน”
“จาเอามาลากพ่อ!”
ในสถานการณ์นี้ลินดาไม่ได้เอะใจกับพฤติกรรมแปลกๆ ของลูกชาย เธอเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่เท่าตัวสามีมายื่นให้เด็กน้อย เล้งนำผ้ามาปูไว้กับพื้น
“เอาพ่อวางตงนี้ เล็วๆ แม่เล็วๆ!!”
หญิงสาวไม่มีทางเลือกมากนักจากสถานการณ์ที่บีบคั้นนี้ เธอพยายามใช้แรงพลิกตัวสามีร่างใหญ่กว่าตัวเองหลายเท่าไว้บนผ้าที่ปูไว้ และโดนลูกชายสั่งให้จับปลายผ้านั้นลากเข้าไปในห้องนอน
พ่อเขาตัวโตอย่างกับหมี แรงเด็กกับผู้หญิงจะเคลื่อนย้ายได้ยังไงตามลำพัง แค่ช่วยแม่ดันผ้าห่มเล้งก็รู้สึกเหมือนกำลังกลิ้นก้อนหินยักษ์ที่ไม่มีวันขยับอย่างไรอย่างนั้น....
ถึงจะลำบากไปบ้างแต่ในที่สุดก็ลากเข้ามาจนได้ลินดาหาผ้ามาเช็ดตัวสามีที่หมดสติด้วยมือที่สั่นเทา เสาหลักของบ้านคือพี่เอก ถ้าพี่เอกเป็นอะไรไปจะทำยังไง!?
ปังๆๆ
“ใครอยู่ข้างในช่วยด้วย!” “เปิดประตูที!ขอร้องละ!” “ประตูเปิดหน่อย อ้ากกๆๆ!!!” “ปล่อยกูไอ้สัส!” “อย่า! อ้ากกก!!!” “กรี้ด!! ไม่นะ ม่ายย!!”
ลินดาหยัดกายตัวเองลุกขึ้นกำลังจะวิ่งไปเปิดประตูบ้านเพื่อช่วยคนเหล่านั้นแต่โดนลูกชายจับขืนชายกระโปรงเธอเอาไว้เธอเสียแน่นหนา
“เล้งลูกทำอะไรน่ะ!? ปล่อยแม่ก่อนแม่จะไปเปิดประตูช่วยเขา”
ไม่ได้!!!
“ตัวปะหลาดอยู่นอก ไม่ไป แม่ไม่ไป”
เด็กชายกอดขาแม่แน่นสายหน้าหวือ เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจ ลิ้นก็แข็ง ตัวก็เล็ก แถมกลมเหมือนหมูอีก เขาตอนเด็กถูกเลี้ยงดีเกินไปแล้ว!
“เช็ดตัวพ่อ! เล้งกัว แม่ไม่ไป”
ลินดาลังเล สุดท้ายสะดุ้งเพราะเสียงคำรามครืดคราดประหลาดในคอของศพเดินได้หน้าประตูบ้าน เธอจึงตัดสินใจกัดฟันเมินเสียงขอความช่วยเหล่านั้นยอมกลับมานั่งอย่างเดิมด้วยสีหน้าซีดเซียว
ภายในใจมีอารมณ์มากมายตีรวนกันไปหมดจนรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอยู่รอมร่อ หญิงสาวพยายามฝืนตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบากก่อนจะหันกายไปเช็ดตัวสามีซึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้นห้อง เด็กชายก้าวออกจากห้องนอนไปอย่างเงียบๆ หลังดูว่าแม่ไม่คิดผลีผลามไปไหนอีก
อย่างน้อยก็ให้เธอมีสมาธิในการดูแลพ่อไปก่อน....
“ลูกจะไปไหน?”
คนเป็นแม่นอกจากสามีแล้วสายตาไม่มีวันละจากลูกเล็กอย่างแน่นอน ลินดาเป็นห่วงสามีและกำลังต่อสู้กับศีลธรรมและความกังวลในใจ นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกชายจะสามารถละสายตาจากเธอได้ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้
“เล้งไปชี่ (ฉี่) ”
ตอบแม่ไปก็อดจะกรอกตาในใจไม่ได้ ชีวิตวัยเด็กของเขานี่มันน่ารันทดชะมัด เตี้ยม่อต่อไม่พอ แขนขายังอ้วนเป็นปล้องอ้อย ลิ้นก็แข็ง พูดทีน้ำลายแทบย้อยลงตรงมุมปาก
วัยเด็กที่เฮงซวย!
------------------------
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
เมื่อยมทูตหน้าใหม่ดึงวิญญาณมาผิดดวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลของโลกวิญญาณ หลินลู่ฉีผู้มีปราณมงคลในยุคปัจจุบัน จึงถูกส่งไปยังต่างโลก สวมร่างเด็กน้อยวัยสามขวบ ที่เพิ่งถูกงูกัดตายด้านหลังอารามเต๋า เจ้าอาวาสไม่อาจยอมรับวิญญาณสวมร่างได้ แต่เมื่อขับไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างกายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องขับไล่คน ออกจากอารามแทน ++++ "อนิจจาวาสนาเด็กน้อยได้ดับสิ้นลงแล้ว จี้คงเตรียมพิธีสวดส่งวิญญาณให้นางเถอะ" นักพรตเฒ่าสั่งการลูกศิษย์ตัวน้อย หันหลังหมายจะเดินกลับไปยังที่พักของตน "ขอรับท่านอาจารย์" จี้คงขานรับคำสั่ง หันไปเตรียมสิ่งของสำหรับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตาย ทว่าผ่านไปเพียงอึดใจเดียว "อ๊ากกก ! มีผี !" เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นอาจารย์ "จี้คงมีอะไร" "นะนางลืมตาขอรับท่านอาจารย์" เด็กน้อยชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่ศพบนพื้น "ว่าอย่างไรนะ" นักพรตเฒ่ารีบตรงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างศพ เห็นเปลือกตาของนางขยับไปมา ก่อนจะปรือลืมขึ้นอย่างลำบากยากเย็น "นี่มัน...เป็นไปไม่ได้" รีบคว้าข้อมือของเด็กน้อยมาจับชีพจรดู ดวงตาของนักพรตเฒ่ามืดมนลงในทันที แตะนิ้วทำนายชะตา นี่มันคือการสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ ดึงตัวลูกศิษย์ถอยหลังไปสามก้าว "ผีร้ายตนไหนกล้ามาสวมร่างคนตาย จงออกไปเสีย !" ผีร้ายที่ว่ากำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จำได้ว่าเธอกำลังขับรถกลับบ้าน ใช่แล้ว เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีรถบรรทุกเสียหลัก พุ่งมาชนรถของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของนางทำนักพรตเฒ่าหวาดระแวงในทันที เตรียมหยิบยันต์ป้องกันภูตผีออกมา ขณะที่เด็กน้อยยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นเพ่งมองอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่กลมน้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างสับสน นิ้วมือสั้น ๆ นี่มันอะไร ขยับปลายเท้าเข้าหากัน ขาก็สั้น พลิกฝ่ามือตัวเองไปมา สีหน้าคล้ายคนอยากร้องไห้ นี่มันโลกถล่มใส่หัวของเธอหรืออย่างไรกัน เปรี๊ยะ ! ยันต์ขับไล่ภูตผีถูกปาใส่นางสุดแรง ก่อนที่มันจะปลิวร่อนลงไปกองอยู่บนพื้น ยันต์ไม่เกิดการเผาไหม้ ผีร้ายยังคงอยู่ในร่างกายของเด็กน้อย "เจ้า ๆ ๆ ออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ !" นักพรตเฒ่าชี้นิ้วพร้อมดึงยันต์สายฟ้าฟาดออกมาอีกแผ่น นี่นับเป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว รีบปาใส่เด็กน้อยสุดแรง เปรี๊ยะ ! ทว่าไร้ผลอยู่ดี... ตาเฒ่านี่เล่นตลกอะไรกัน... [นิยาย3เล่มจบ 252ตอน]
... ในวันครบรอบแต่งงาน ฮั่วเยี่ยนสือ สามีผู้มั่งคั่งทิ้งเธอไป แล้วหาคนรักแรกของเขา ผู้ชายที่ไม่รักนวลสงวนตัวก็เหมือนสิ่งไร้ค่า ผู้ชายที่เธอเคยอ่อนข้อให้แต่ก็ไม่สนใจเธอ งั้นเธอไม่ต้องการแล้ว จึงขอหย่าทันที ฮั่วเยี่ยนสือไม่สนใจ ซูหว่านหนิงกลับเข้าสู่วงการบันเทิงและเฉิดฉาย รักแรกในอุดมคติชอบแกล้งอ่อนแองั้นเหรอ งั้นก็ให้เธอเผยธาตุแท้จริงให้ทุกคนได้เห็น อดีตสามีที่เป็นคนปากแข็งที่สุด "เมื่อเธอเบื่อแล้วเธอจะกลับมาหาฉัน" แต่ภรรยาที่เคยเต็มใจทำทุกอย่างให้เขานั้นไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในอาชีพเท่านั้น แต่ยังมีคนมากมายมาตามจีบเธออีก ดาราระดับโลกแสดงความรักอย่างแรงกล้า ผู้บริหารบริษัทสื่อพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้เธอยิ้ม แม้แต่ทายาทเศรษฐีอันดับหนึ่งก็ต้องการเธอเท่านั้น จากนั้นฮั่วเยี่ยนสือเริ่มตระหนก เปลี่ยนจากคนเย็นชากลายเป็นคนที่คอยติดตามไม่ห่าง ใช้ทุกวิถีทางเพื่อตามจีบภรรยา ซูหว่านหนิงไม่แม้แต่จะมอง "เมื่อก่อนคุณเฉยเมยกับฉัน ตอนนี้คุณไม่คู่ควรกับฉันแล้ว" ฮั่วเยี่ยนสือขอร้องเธออย่างบ้าคลั่ง "หนิงหนิง เราแต่งงานใหม่เถอะ" ซูหว่านหนิงแสดงท่าทางหยิ่ง "คุณฮั่ว ฉันไม่เคยกลับไปหาของที่ทิ้งไปแล้ว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY