รมย์นลิน...ต้องพากายที่บอบช้ำ ใจที่แหลกสลายจากการกระทำของคนที่บอกรัก...เทพกานต์ ความเจ็บปวดที่ได้รับในวันนี้จะเป็นบทเรียนราคาแพง และคนที่สร้างขึ้นมาจะต้องได้รับการเอาคืนอย่างสาสม! นลิน...นักร้องสาวที่แรกเห็นหน้าก็เรียกเสือร้ายอย่างเทพกานต์ให้อยากครอบครอง แต่เธอไม่ใช่หมูในอวยให้เขาเคี้ยวเล่นได้ง่ายๆ เหมือนบางคนหรอกนะ เขี้ยวเล็บน่ะมันมีเยอะ “พี่เทพอยู่นิ่งๆ ซิคะ” ร่างโปร่งบางเคลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนตักกว้าง สองมือเล็กจับแขนแข็งแกร่งและชูขึ้นเหนือศีรษะ “ตอนนี้หลินมัดพี่เทพเอาไว้แล้วนะคะ มัดด้วย...” นิ้วเล็กชี้ตรงหัวใจตัวเองซึ่งกำลังเต้นอยู่ และเคลื่อนไปหาแขนใหญ่ขยับวนเวียนอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะกระซิบเสียงหวานเบาข้างใบหูใหญ่ แต่มันก็ดังเข้าไปถึงหัวใจเทพกานต์จนเต้นแรงและเร็วเหมือนกำลังจะทะลุออกมาจากทรวง “หลินมัดมือพี่เทพด้วยสายใยแห่งรักที่ถักทอมาจากหัวใจของหลินเอง” และอีกหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเทพกานต์อย่างที่ชายหนุ่มอยากจะ...บ้าตาย เมื่อเขาดันเผลอไปมีอะไรกับ... “ผมรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เจ้านายไม่สบายใจ อึดอัดคับแค้นใจเป็นอย่างมาก เมื่อคนที่เจ้านายมีอะไรด้วยไม่ใช่ผู้หญิงที่ชื่อหลินคนนั้น เจ้านายไม่ต้องกลัวหรือกังวลใจอะไรนะครับ ผมให้สัญญาว่าจะไม่เรียกร้องอะไร” แค่ขอเป็นคนของเจ้านายนับแต่วันนี้จนตลอดไป ใบหน้าหล่อหวานแย้มยิ้มอย่างหวานเชื่อม ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับและมีเลศนัย ถ้าหากเทพกานต์ได้เห็นคงจะหนาวสั่นยิ่งกว่าที่เจอมาเมื่อคืนอีกเป็นแน่ “ขอเพียงแค่เจ้านายไม่ทอดทิ้งและให้ผมได้อยู่รับใช้ใกล้ชิด แล้วก็ไม่ไล่ผมออกจากงานเท่านั้นเองฮะ” หนุ่มน้อยหน้าหวานเอ่ยพูดน้ำเสียงหวานนุ่ม ทั้งอ่อนหวานและเว้าวอน ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ให้อย่างน่ารัก
ตอนที่ 1
“เทพเป็นอะไรมากไหม” เพียงแค่ประตูห้องเปิดออก รมย์นลินก็ถลากายพุ่งเข้าไปพร้อมเอ่ยถามแฟนหนุ่มด้วยความห่วงใยระคนตกใจ ใบหน้าขาวสวยแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดสาว เพราะรีบวิ่งมาหาคนรักอย่างรวดเร็ว อีกทั้งผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเพราะไม่ทันจะได้หวี
หลังจากที่เธอวางโทรศัพท์แล้วก็รีบลุกจากเตียง คว้าเสื้อคลุมชุดนอนได้ก็วิ่งมาหาแฟนหนุ่มที่หอซึ่งอยู่คนละฝากฝั่งของถนนอย่างกังวลและหวาดกลัวว่าเทพกานต์จะป่วยหนัก เพราะเห็นชายหนุ่มขาดการติดต่อไปหลายวัน มหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไป โทรหาก็ไม่ติด ซึ่งผิดปรกติวิสัยของหนุ่มที่รักเรียนไม่เคยขาดแม้สักครั้ง
“หลิน...ขอโทษนะที่ต้องโทรไปกวน แต่เทพไม่รู้ว่าจะโทรหาใครแล้วจริงๆ ” เทพกานต์เอ่ยบอกเสียงเบาหวิว และรีบเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงเหมือนเดิม แต่ดวงตาคมวาวกลับจ้องมองร่างโปร่งบางเหมือนกับหมาป่าเจ้าเล่ห์จ้องเหยื่ออันโอชะ
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนมุมปากข้างหนึ่ง เขาสู้วางแผนการเพื่อเข้าใกล้แม่สาวจอมหยิ่ง ไม่แม้แต่จะมีสายตาหรือเข้าใกล้ผู้ชายคนใดมาเกือบจะหกเดือนถึงได้มีวันนี้ เพราะอย่างนั้นคืนนี้เขาจะไม่ยอมให้รมย์นลินหนีรอดไปได้อีกแล้ว หลังจากที่หญิงสาวอิดออดมาหลายครั้ง
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ รู้ไหมว่าหลินเป็นห่วงเทพแค่ไหน มาหาที่หอหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เคยเจอ โทรหาก็ปิดเครื่อง มหาลัยก็ไม่ยอมไป เทพเป็นอะไรกันแน่ หรือว่าเราสองคนไม่ใช่คนรักกัน ถึงได้ทำเป็นลึกลับปิดบังกันอย่างนี้” มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ปากก็พร่ำตัดพ้อต่อว่าด้วยความน้อยใจ
วันนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะปล่อยให้เธอกลับห้องก็รู้หรอกนะว่าเขาน้อยอกน้อยใจที่เธอไม่เชื่อใจ ถึงแม้ระหว่างที่คบกันนั้นจะยอมให้ชายหนุ่มถูกเนื้อต้องตัว แต่เพราะเธอกลัว...กลัวความผิดหวัง กลัวว่าจะถูกเมินหน้าหนี กลัวไปต่างๆ นานา สารพัดความกลัวที่มันแล่นเข้าสู่หัวใจ เลยอิดออดไม่ยอมที่จะค้างและมีอะไรกับชายหนุ่ม
“ขอโทษนะหลิน เป็นเพราะป่วย เลยทำให้หงุดหงิด อยากจะอยู่คนเดียว คิดมากไม่อยากให้ใครต้องมารับภาระกับคนที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เรี่ยวแรงก็ไม่มี เหมือนกับเป็นคนไร้ค่าอย่างไรไม่รู้”
สองแขนเล็กเรียวโอบรอบร่างหนาใหญ่อย่างรู้สึกผิดที่ทำให้เทพกานต์เป็นทุกข์กังวลกับความรู้สึกกลัวของตัวเอง “ขอโทษนะเทพ แต่หลินกลัว เทพก็เห็นว่ามีหนุ่มสาวหลายคู่ที่รักกันแล้วก็ไม่ยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้เรื่องราวมันเลยเถิดจนมีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น บ้างก็ถูกทอดทิ้งให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เพียงลำพัง หลินกลัวจริงๆ นะ...กลัวว่าระหว่างเราจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนั้น แล้วหลินจะทำยังไงล่ะถ้าเกิดเทพทิ้งหลิน หรือปล่อยให้ต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพัง”
เทพกานต์สะดุ้งเฮือกกับคำพูดที่ออกจากเรียวปากนุ่มและอวบอิ่มที่เขาเคยได้ลิ้มรสมาหลายครั้งแล้ว แต่เพราะศักดิ์ศรีบางประการที่มันค้ำคออยู่ก็ทำให้เขาต้องรีบสลัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปในทันที ร่างหนาหันหน้ามาหารมย์นลิน สองมือใหญ่วางทาบบนผิวหน้าขาวนวล ดวงตาคมกริบกวาดมองไปทั่ววงหน้าขาวสวยรูปไข่ที่สวยงามและสะดุดตาชายหนุ่มทั่วทั้งมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ จมูกโด่งเป็นสัน พวงแก้มขาวนวลเต็มไปด้วยเลือดฝาดสีชมพู และสุดท้ายนั้นคือ...ริมฝีปากอิ่มเต็มและหวานนุ่ม ทำเอาใจหนุ่มถึงกับกระเจิดกระเจิงได้ทุกครั้งยามที่ได้ลิ้มรส ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้บนพวงแก้มนุ่ม พร้อมด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตเหมือนกับกำลังสะกดจิตให้รมย์นลินนั้นหลงใหลในคำพูดที่ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างสวยหรูและหวานฉ่ำ แต่หาความจริงใจไม่ได้สักนิด
“หลินก็รู้ว่าเทพรักหลินแค่ไหน แล้วอย่างนี้เทพจะทำร้ายหัวใจของตัวเองได้ยังไงกันล่ะ ต่อให้โลกจะแตกไปต่อหน้า ในหัวใจและสายตา” เทพกานต์จ้องเข้าไปในดวงตากลมโตราวกับต้องการสะกดจิตรมย์นลินให้หลงใหลใคร่เสน่หาในตัวเองจนยากเกินจะถอนตัวถอนใจได้
“จะมีแต่หลินคนเดียวเท่านั้น เราสองคนจะจับมือพร้อมเดินไปด้วยรักและเข้าใจ ในหัวใจเทพจะมีหลินครอบครอง สองแขนจะไม่โอบกอดใครอีกนอกจากหลินคนเดียวเท่านั้น...สัญญา”
“เทพ...” รมย์นลินผวากอดแฟนหนุ่มอย่างตื้นตันใจ
“หลินจ๋า เทพรักหลินนะ รักมาก รักสุดหัวใจเลย” เทพกานต์ไม่ยอมให้โอกาสดีหลุดลอยไป ปลายมือใหญ่จับรั้งปลายคางมนให้แหงนหงายขึ้น ดวงตาคมกริบเป็นประกายพราวระยับมองอย่างต้องการสะกดจิตรมย์นลิน ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มและหวานเชื่อมโน้มลงไปอย่างเชื่องช้าจนริมฝีปากหนาอุ่นร้อนประทับสนิทแน่นบนเรียวปากอวบอิ่มและหวานเชื่อม
เทพกานต์กดจุมพิตเหมือนจะหยอกล้อแต่หนักหน่วง สร้างความซ่านสยิวและวาบหวามให้กับสาวน้อยอ่อนไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก ไม่เคยสักครั้งจากการแตะต้องตัวของชายหนุ่มที่จะเหมือนครั้งนี้
เพราะเธอรู้สึกเหมือนมีลูกไฟร้อนผ่าวทาบทับอยู่บนเรียวปากนุ่ม และมือใหญ่ที่เคลื่อนไหวไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนกาย และหยุดพักอยู่ตรงกลางระหว่างอก ชายหนุ่มกดคลึงอย่างย่ามใจ มือใหญ่ฟอนเฟ้นอย่างหนักหน่วงสลับแผ่วเบาอย่างต้องการดึงสติรมย์นลินให้ลุ่มหลง จนถอนตัวถอนใจไม่ขึ้นยินยอมที่จะเดินทางตามติดไปทุกหนทุกแห่งแล้วแต่เขาจะพาไป
“เรารักกันใช่ไหมหลิน” ริมฝีปากร้อนผ่าวประพรมจุมพิตไปทั่วใบหน้าขาวนวล ในขณะที่มือใหญ่ก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ กระดุมเสื้อนอน เพราะเสื้อที่หญิงสาวสวมใส่ออกมานั้นติดกระดุมด้านหน้าเลยเป็นโอกาสดีให้เทพกานต์ปลดกระดุมจากรังดุมและเข้าครอบครองสองเนินเนื้ออวบอิ่มและนุ่มหยุ่นอย่างรวดเร็ว จนรมย์นลินไม่ทันจะได้ห้ามปราม เพราะหัวใจก็หวั่นไหวและวาบหวามไปกับจุมพิตร้อนผ่าวที่เหมือนกับจะสูบเอาวิญญาณออกจากร่าง
มือใหญ่ดึงรั้งเอาชุดนอนออกจากเรือนกายโปร่งบางและโยนทิ้งไป สองแขนแข็งแกร่งกอดรัดร่างนุ่มนิ่มอย่างแนบชิดจนแทบไม่มีที่ว่าง พร้อมกับดันร่างที่เมื่อแรกเห็นว่าโปร่งบางแต่เอาเข้าจริงกลับกลมกลึงให้นอนลงบนเตียงนอน โดยไม่ยอมถอดถอนจุมพิตเว้าวอนและเรียกร้องให้ตอบสนอง
“เทพ...หลินกลัว” รมย์นลินสั่นสะท้านราวกับลูกนกตกน้ำ สองมือเล็กได้แต่จับอยู่บนแขนแข็งแกร่ง มองสบดวงตาเข้มอย่างเว้าวอน หัวใจเต้นแรงและเร็วเหมือนกับจะทะลุออกมาจากทรวง
“เทพรักหลินที่สุด...เราจะมีกันและกันตลอดไปนะ” ปากหนาพร่ำเอ่ยคำรักเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ...จัดการรมย์นลินให้สมรักสมปรารถนา
สัมผัสที่โลมไล้ทั่วกายาและคำรักหวานๆ ทำให้ความคิดที่จะห้ามปรามเริ่มเลือนหายไปจากสมองรมย์นลิน ด้วยปั่นป่วนและซ่านสยิว ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าออกกว้างให้ปลายลิ้นสากระคายและร้อนผ่าวซอกซอนไปทั่วโพรงปาก ลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดซอกซอนตามติดลิ้นใหญ่ท่องเที่ยวไปทั่วทั้งสองโพรงปาก
สองมือเล็กเริ่มขยับเคลื่อนไปตามกล้ามเนื้อแข็งแกร่งซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ และยิ่งวันนี้เทพกานต์ใส่เพียงเสื้อกล้ามตัวเดียวก็ยิ่งทำให้มือเล็กได้สัมผัสกับผิวหนังอุ่นๆ จนร้อนอย่างถนัดถนี่ จนสองแขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่ง ปลายนิ้วเล็กๆ หยอกล้อพัวพันกับเส้นผมหนาและนุ่ม บดเบียดลำตัวเสียดสีกับกายแข็งแกร่ง
“หลินจ๋า...น่ารักมากเลยรู้ไหมคนดี”
เทพกานต์ถึงกับร้องครางในลำคอกับการตอบสนองอย่างไร้เดียงสา ใช่ว่าเขาจะไม่เคยหลับนอนกับผู้หญิง ก่อนที่จะคบกับรมย์นลินก็มีแฟนมาแล้วตั้งหลายคน กิน เที่ยวและสุดท้ายก็จบลงบนที่นอนด้วยความสนุกสนาน ไม่เคยที่จะผูกมัดตัวเองกับใคร เบื่อก็เลิกกัน ต่างคนต่างไปตามทางของตัวเอง แต่ในบรรดาผู้หญิงที่คบและมีความสัมพันธ์กัน ไม่เคยมีใครทำให้เขาร้อนเป็นไฟเหมือนกับคนในอ้อมกอดนี้สักคน
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
เธอคิดว่าพวกเขาจะต่างคนต่างไปหลังจากการหย่าร้าง โดยเขาใช้ชีวิตของเขาเอง ส่วนเธอก็มีความสุขกับเธอไป-- แต่แล้ว... "ที่รัก ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาได้ไหม" ชายใจร้ายที่เคยหักหลังเธอสุดท้ายก็ก้มหัวที่หยิ่งผยองลง "เราคืนดีกันเถอะ ผมขอร้องล่ะ" ซูเชียนชือผลักดอกไม้ที่ชายคนนั้นมอบให้ออกไปอย่างเย็นชา และตอบอย่างใจเย็น "มันสายไปแล้ว"
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
เพลิงกัลป์ / Ryuu ริว ซาโต้อิชิบะ หัวหน้าแก๊งมาเฟียใหญ่ในคราบคุณหมอ หล่อ เลว เถื่อน ร้ายกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งกับ เธอ "กฎของการเป็นของเล่นคือห้ามรักเขา" ลูกพีช รินรดา สวย เซ็กซี่ สดใส ร่าเริง ปากร้าย กล้าได้กล้าเสีย สายอ่อยตัวแม่ "ของเล่นที่มีหัวใจของผู้ชายที่ไร้หัวใจ"
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...