“ฉันไม่ได้บ้านะน้ำพราว” “อ้าว...ก็อาการที่นายเป็นมันใช่นี่น่า อยู่ดีไม่ว่าดีทำตัวเหมือนกับคนบ้าที่ยาหมด เลยอาละวาดใส่คนอื่นเขาไปทั่ว แล้วไปโกรธใครมาอีกล่ะ แต่ฉันไม่น่าจะถามเลยนะที่ทำให้นายเต้นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ได้ ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ” หญิงสาวยิ้มหยันให้อย่างที่รู้ว่าตัวเองไม่น่าจะคิดผิด สีหราชหันมองคนที่กำลังพูดจ๋อยๆ อย่างไม่เกรงกลัวเขาด้วยสายตาขุ่นขวาง “ไม่ต้องมาทำตาแบบนั้นเลยตาบ้า ไม่กลัวแล้ว คนอะไร บ้าได้ไม่มีวันหยุดจริงๆ ผู้หญิงคนไหนได้นายเป็นสามีนี่คงจะต้องเป็นคนมีกรรมอย่างหนักแน่” “ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร แต่ที่แน่ๆ นะกำลังพูดจ๋อยๆ จนลิงจะหลับอยู่ไงล่ะคนหนึ่ง” ****************** “ชาติหน้าเถอะน้ำเพชร เธอเป็นของฉัน! เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น!” จมูกโด่งกดไปใบหน้าและลำคอระหงพร้อมกับที่เสื้อผ้าที่หญิงสาวและตัวเขาเองใส่ หลุดออกจากร่างกายของทั้งคู่ด้วยสภาพฉีกขาดไม่สามารถนำมาใส่ซ้ำได้อีกแล้ว ชายหนุ่มมือเรียวที่ผลักดันใบหน้าและร่างกายเขาออกตรึงไว้เหนือศีรษะ “ไม่นะนายเสือ....” บุษย์น้ำเพชรเริ่มกลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเจอความโกรธของพยัคฆ์ หญิงสาวพยายามหนีให้พ้นจากปากและกายใหญ่ที่จับต้องร่างกายของเธออย่างรุนแรง ดวงตากลมโตเบิกกว้างน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าและซึมออกมาอย่างหักห้ามไม่ได้
ตอนที่ 1
“จะเข้าไปจริง ๆ หรือเพชร” บุษย์น้ำพราวถามน้องสาวน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
ตั้งแต่ที่บุษย์น้ำเพชรรู้ข่าวว่าพี่สาวสุดรักสุดหวง จะต้องแต่งงานกับพยัคฆ์ ปาศัยสุนัย ชายหนุ่มจอมเจ้าชู้ที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องบำบัดความใคร่ หญิงสาวก็ฟาดงวงฟาดงา น้อยใจบิดาและมารดาอยู่เป็นพักใหญ่ หาว่าพ่อไม่รักพี่สาวบ้าง หาว่าพ่อกับแม่ส่งพี่สาวไปตกนรกบ้างแหละ หลายๆ คำพูดที่บุษย์น้ำเพชรว่าไป สร้างความเจ็บช้ำให้กับบิดาและมารดา แล้วมันก็สร้างความชอกช้ำใจอยู่ลึกๆ ให้กับผู้เป็นพี่สาวอย่างเธอด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าสองสาวจะพยายามที่จะถามเหตุผลสักกี่ครั้ง แต่บิดาและมารดาต่างไม่ยอมตอบ ได้แต่นั่งทำหน้าเศร้า แล้วเมื่อลงกับใครไม่ได้ บุษย์น้ำเพชรเลยหันไประบายอารมณ์ใส่ตุ๊กตาหมีตัวโปรดจนเจ้าหมีน้อยถึงกับกระเด็นออกมานอกห้องนอน
ความจริงบุษย์น้ำเพชรไม่ได้อคติอะไรกับพยัคฆ์เลย หากแต่ภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับที่ชายหนุ่มควงสาวไม่ซ้ำหน้า และไม่เว้นแต่ละวัน ทำเอาบุษย์น้ำเพชรถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า รีบลากมือบุษย์น้ำพราวและหนังสือพิมพ์ที่ได้เห็น ไปให้บิดามารดาดูอย่างร้อนใจ และขอร้องให้พ่อยกเลิกงานแต่งงานในครั้งนี้เสีย
“พ่อขอโทษนะเพชร...พราว แต่พ่อทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้ายกเลิกงานแต่งงานของพราวกับเสือ พนักงานอีกหลายสิบชีวิตก็ต้องตกงาน พวกเขาทุกคนไม่ได้มีความผิด พวกเขาก็มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ”
ภมรยกมือขึ้นลูบผมบนศีรษะบุษย์น้ำพราว ในขณะที่คุณบุหงาได้แต่โอบกอดบุษย์น้ำเพชร ใบหน้าภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเองก็เศร้าหมองและเสียใจไม่แพ้เขาเช่นกัน
“ทำไมละคะพ่อ เรื่องแต่งงานของพี่พราวไปเกี่ยวอะไรกับที่คนงานต้องตกงานด้วย” บุษย์น้ำเพชรยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ เธอมองไปที่มารดาและบิดาสลับกันไปอย่างต้องการคำตอบ
“เพราะว่าเรากำลังจะล้มละลายไงเพชร พ่อเขาทำงานผิดพลาด ถ้าไม่ได้เงินไปจ่ายหนี้สิน เขาก็จะฟ้องร้องให้เราเป็นบุคคลล้มละลาย เพชรทนได้หรือลูก” คุณบุหงาถามลูกสาวคนเล็ก น้ำตาคนเป็นแม่ไหลอาบแก้ม ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าลูกสาวทั้งสองคนไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ เห็นผู้หญิงเป็นเพียงของเล่นหรือเครื่องบำบัดความใคร่
“ได้ค่ะ” บุษย์น้ำเพชรเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น เธอทนได้ถ้าหากคนที่รักมีความสุข แต่...พ่อกับแม่จะต้องไม่มีความสุข หากทำให้คนอีกหลายๆ คนต้องเดือดร้อน
บุษย์น้ำเพชรโกรธกรุ่นขบกัดฟัน สองมือกำหมัดแน่น ขณะโยนความผิดทุกอย่างไปให้กับพยัคฆ์และครอบครัว ในขณะที่บุษย์น้ำพราวนั่งฟังอย่างสงบ ยิ่งได้ฟังเหตุผลของบิดาก็พอที่จะเข้าใจ และทำใจยอมรับได้บ้าง หากความอดทนของบุษย์น้ำเพชรก็ขาดผึงเมื่อได้เห็นข่าวหน้าหนึ่ง เมื่อพยัคฆ์บอกว่า
ถึงแม้จะเข้าพิธีแต่งงานกับ...ผู้หญิงคนไหนก็ตาม แต่เขาก็จะไม่หยุดทำตามใจปรารถนา
มันก็หมายความว่า...อีตาพยัคฆ์จะไม่หยุดสำส่อน!
บุษย์น้ำเพชรถึงกับโกรธหน้าแดง ถ้ามีควันออกจากหูได้มันก็คงจะออกไปแล้ว เขาจะไปควงหรือนอนกับสาวไหน เธอไม่ว่า แต่ไอ้การที่ประกาศจนหนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าว มันดูถูกและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพี่สาวเธอและครอบครัวของเธอจนเกินไป เธอรับไม่ได้และจะไม่รับด้วย และจะไม่ทนกับไอ้คนปากเสียนิสัยเสียแบบนั้นด้วย
สาวสวยรูปร่างบอบบางสองคนที่กำลังทุ่มเถียงกันอยู่หน้าตึก VV กรุป คนหนึ่งมีท่าทางตื่นกลัวนิด ๆ แต่อีกคนกลับมีแต่ความโกรธเข้ามาบดบังจิตใจ
“ก็ใช่นะซิ หรือว่าพี่พราวจะยอมไอ้บ้านั่นตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน แต่เพชรไม่ยอมหรอกนะ ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เขาจะมาทำแบบนี้กับพี่สาวของเพชรไม่ได้”
อย่างไรวันนี้เธอจะต้องพบและถามกับไอ้ว่าที่พี่เขยนั่นให้ได้ ที่ให้พี่สาวเธอไปทำอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานคนเดียวเธอไม่ว่า แต่มาถูถูกศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงแบบนี้...เธอรับไม่ได้!
“แต่พี่กลัวนี่เพชร น้องก็รู้ว่าคุณเสือ...” บุษย์น้ำพราวยื่นมือเย็นเฉียบไปจับมือบุษย์น้ำเพชร เพื่อบอกให้รู้ว่าเธอกลัวชายหนุ่มที่อยู่ในห้องทำงานชั้นบนสุดของอาคารเพียงไหน แค่รู้ว่าต้องแต่งงานกับพยัคฆ์เธอก็แทบจะกลั้นใจตายอยู่วันละหลายครั้งแล้ว แต่ติดที่ว่าความจำเป็นของครอบครัวทำให้เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทน
“อีตาเสือนั่นทำไมพี่พราว ไอ้ที่หน้าตาบึ้งตึง และยังจะทำตาดุใส่เหมือนกับชื่อนะหรือ” บุษย์น้ำเพชรบีบมือพี่สาวให้กำลังใจเบาๆ ใบหน้าขาวสวยเบะออกว่าคนอย่างเธอไม่เคยจะกลัว
“ไม่ต้องกลัวน่าพี่พราว เพชรอยู่ทั้งคน เพชรไม่ยอมให้นายเสือขาหักนั่นมาทำอะไรพี่ได้หรอกน่า”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ค่ะพี่พราว ไปเอาเรื่องไอ้เสือบ้าผู้หญิงดีกว่าค่ะ” บุษย์น้ำเพชรดึงแขนพี่สาวเดินลิ่ว ๆ เข้าไปในตึกอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งนั้น
สองสาวขึ้นมาจนถึงชั้นสูงสุด ระยะทางจากลิฟต์ไปจนถึงห้องรองประธานกรรมการผู้บริหารยาวประมาณ 200 เมตร และมีการนำต้นไม้ประดับมาวางเป็นจุด ๆ บุษย์น้ำเพชรต้องคอยดึงร่างพี่สาวให้ตามติดมา จนทั้งสองคนมายืนอยู่หน้าโต๊ะเลขานุการของพยัคฆ์ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของโต๊ะหายไปไหน
“ดีมาก ๆ เจ้านายก็บ้าผู้หญิง ลูกน้องก็หนีงาน อย่างนี้ถ้าเป็นบริษัทของเรานะพี่พราว เจอไม่ทำงานแบบนี้ เพชรจะไล่ออกให้หมดเลย” บุษย์น้ำเพชรกัดฟันพูดอย่างโกรธเกรี้ยว เธอรีบลากพี่สาวเข้าไปในห้องทำงานของพยัคฆ์โดยเร็ว
ผลั๊ว!!
เสียงประตูเปิดออกดังสนั่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สองร่างที่นัวเนียกันอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลมะฮอกกานีสนใจแต่อย่างใด พยัคฆ์ยังคงกกกอดซอกซอนจมูกและปากไปตามเรือนร่างนุ่มนิ่ม ที่ส่งเสียงร้องครวญครางทุกครั้งที่เขาขยับตัว
“ว้าย! ตายแล้วบัดสีบัดเถลิง เดี๋ยวนี้ห้องทำงานเขากลายเป็นโรงแรมม่านรูดไปแล้วหรือเนี่ย” บุษย์น้ำเพชรที่แม้จะตื่นตกใจ และอายกับภาพที่เห็นแต่ก็ยังตั้งสติได้เร็วกว่าพี่สาวที่ตอนนี้อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะเป็นลมอยู่ไม่กี่นาทีข้างหน้า
เสียงพูดของบุษย์น้ำเพชร ไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของสองหนุ่มสาว ที่นัวเนียบนโซฟาแม้แต่น้อย แล้วยังจะมีบราเซียลูกไม้สีขาว ลอยมาตกอยู่ตรงหน้าของสองพี่น้องอีก บุษย์น้ำเพชรถึงกับโกรธควันออกหู ใบหน้าขาวสวยแดงก่ำ
“พี่พราวถือกระเป๋าให้เพชรหน่อย” บุษย์น้ำเพชรยื่นกระเป๋าสะพายใบเล็กให้พี่สาว ส่วนตัวเองก็รีบวิ่งไปหยุดที่แจกันดอกไม้สดที่ตอนนี้เหี่ยวแห้งคาแจกัน ภายในมีน้ำใสพอประมาณ หญิงสาวรีบหยิบมันและวิ่งไปหาพยัคฆ์ และปล่อยน้ำใส่ชายหนุ่มและหญิงสาวที่ร้องครางราวกับโลกกำลังถล่มแผ่นดินกำลังสะเทือนอยู่ทันที
“ว้าย!”
“โว้ย!” พยัคฆ์ถลาลุกขึ้นจากร่างอัญญิกาทันทีที่น้ำเย็น ๆ และออกกลิ่นเหม็นตุ ๆ ราดลงไป ดับไฟพิศวาสในกายเขาเสียสิ้น แล้วมันก็สร้างอารมณ์ใหม่ให้เขาทันทีเช่นกัน
บุษย์น้ำเพชรยิ้มกว้างอย่างสะใจ ทิ้งแจกันในมือลงบนพื้นกำมะหยี่และรีบถอยห่างไปยืนอยู่ใกล้ ๆ กับพี่สาวทันที พร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจ เธอยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย ในดวงตากลมโตแพรวพราวระยับส่งยิ้มเยาะเย้ยให้กับชายหนุ่มที่มองตอบด้วยดวงตาขุ่นเขียว
พยัคฆ์เงยหน้ามองคนที่กล้ามาขัดความสำราญของเขาและอัญญิกาดวงตาขุ่นเขียว เขาหายใจแรงๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่มันกำลังปะทุ เมื่อสามารถข่มความเจ็บปวดและรวดร้าวที่เกิดขึ้นกึ่งกลางกายได้แล้ว ชายหนุ่มก็ถามสองสาวไปด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เธอสองคนเป็นใครและเข้ามาในห้องทำงานของฉันได้ยังไง”
ชายหนุ่มชี้หน้าสองสาว ขณะมองหญิงสาวที่กำลังยิ้มกว้างอย่างสะใจที่ได้ทำร้ายเขา แล้วตวัดสายตาคมดุไปที่อีกคืนที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นจนต้องรีบหลบหลับคนที่มาด้วย
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"