รถบัสสองชั้นคันใหญ่จอดเทียบลานจอด ฉันก้าวขึ้นรถแล้วหาที่นั่งของตัวเอง
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” ฉันพึมพำกับตัวเอง เอาหัวพิงเบาะ หันหน้าออกทางหน้าต่าง
ในไม่ช้ารถบัสก็เคลื่อนตัวออกจากสถานีวิ่งไปตามถนนใหญ่ออกสู่ชนบทที่มีทุ่งนาแห้งๆ เมืองทางใต้ค่อนข้างร้อน ผิดกับทางเอมาซอว์หิมะจะตกตลอดปี อากาศเย็นสบาย ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
ฉันภาวนาขอกับพระผู้เป็นเจ้า
ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าของอีกวันแล้ว
“ถึงแล้วเหรอคะ...” ฉันถามกับพนักงาน
“ใกล้แล้วค่ะ พี่จะลงที่ไหนคะ”
“ปลายทางเลยค่ะ”
“อ๋อ งั้นก็อีกสิบห้านาทีค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพยักหน้ารับ ยืดตัวนั่งหลังตรง มองถนนนอกหน้าต่าง ทุกตารางนิ้วเป็นสีขาวโพลนไปหมดแม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อนแต่ที่เอมาซอว์จะมีหิมะตกทั้งปีหนักบ้าง ปรอยๆ บ้างแล้วแต่ช่วงเดือน
ดีจริงๆ
ในเวลาต่อมา บัสคันใหญ่ก็มาจอดที่สถานีหลักกลางเมือง ฉันต่อคิวลงไปรับกระเป๋าเดินทางใต้ท้องรถ รอพักหนึ่งก็ได้มาก่อนหาลู่ทางไปชานเมืองบนภูเขาเอลซอว์เอล ที่นั่นเขาประกาศรับสมัครเกษตรกรใน ‘ไร่องุ่นทรัคเกิลทรัค’ พอดี ฉันจะลองไปดู
“จะไปไหนครับคุณผู้หญิง” เสียงคนขับแท็กซี่ร้องเรียกขึ้น
“สวัสดีค่ะลุง หนูจะไปไร่องุ่นทรัคเกิลทรัคบนเขาเอลซอว์เอลค่ะ”
“โห ไกลเชียว ทางก็ขับยาก ลุงไม่ไปหรอก หาคันอื่นเถอะ” คนขับรถแท็กซี่สะบัดหน้าใส่ฉัน อะไรกัน
ฉันยืนงงอยู่สองสามวินาทีก็ตัดใจหาคันใหม่ แต่ก็ไม่มีคันไหนไปเลย ทำยังไงดีนะ...
จ๊อกๆ
จู่ๆ ท้องก็ร้อง จริงสิ... ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อเย็น ไปหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า
คิดได้ดังนั้น ก็หาร้านอาหารเล็กๆ ริมถนนนั่งกินมือเช้าไปพลางๆ ระหว่างคิดว่าจะจัดการกับปัญหาการเดินทางอย่างไรดี ในเมื่อรถแท็กซี่ไม่ไปก็ต้องหารถโดยสารอย่างอื่นไปแทน
“น้องจ๊ะ...” ฉันรั้งแม่ค้าที่เอาก๋วยเตี๋ยวไก่มาเสิร์ฟไว้
“คะพี่ ?”
“พี่จะไปไร่องุ่นทรัคเกิลทรัคบนเขาเอลซอว์เอลน่ะค่ะ จะหารถอะไรไปได้บ้าง ถามแท็กซี่กี่คันๆ ก็ไม่มีใครไปเลย”
“โอ้...” แม่ค้าสาวถึงกับร้อง “รถแท็กซี่ที่นี่ไม่มีใครไปหรอกค่ะ ที่นั่นถนนขับยาก หิมะก็ตกหนักด้วย ถ้าจะไปจริงๆ ก็ต้องจ้างกระบะไปต่างหาก”
“ตายจริง” ฉันเป็นกังวล ยกมือทาบอก “ค่าจ้างคงแพงน่าดู”
“ใช่ค่ะ”
“แล้ว...เอ่อ พี่จะไปหารถกระบะรับจ้างได้ที่ไหน”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน” แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวไก่ตอบ “แต่หนูว่าพี่ขึ้นรถเมล์โดยสารจากขนส่งไปลงตีนเขาจะง่ายกว่านะคะ แล้วค่อยจ้างรถแถวนั้นขึ้นไปจะสะดวกกว่ามาก”
“อ้าว มีด้วยเหรอ” ฉันร้องอุทาน
“มีค่ะ”
“โอเคๆ เดี๋ยวพี่กินเสร็จจะรีบไปขึ้นเลย”
“แต่หนูรู้สึกว่ารถมันจะออกสามสี่ชั่วโมงคันหนึ่งนะคะ รอบแรกตอนเจ็ดโมงเช้า รอบที่ต่อไปน่าจะสิบหรือสิบเอ็ดโมงนู่นเลย”
“เหรอ” ฉันก้มดูนาฬิกา นี่เจ็ดโมงครึ่งคันแรกเพิ่งออกไป แต่ไม่เป็นไรฉันรอได้ “โอเคจ้ะ เดี๋ยวพี่จะไปนั่งรอที่ขนส่ง”
“ค่า”
“ขอบคุณนะ”
“ยินดีค่ะพี่ ต้องรับสู่รัฐเอมาซอว์นะคะ” แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวยิ้มหวานก่อนหมุนตัวเดินไปรับลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อ
ฉันลงมือกินเรื่อยๆ มีเวลาอีกถม ไม่ต้องรีบ...
###
11.00 น.
รถมินิบัสคันกลางเก่ากลางใหม่มาจอดเทียบทางขึ้น ฉันรีบกระโดดไปบนรถแล้วหาที่นั่ง โชคดีที่มาคอยก่อนไม่อย่างนั้นต้องยืนไปแน่ คนโดยสารเยอะจริงๆ จอดรับผู้โดยสารสักสิบนาทีตัวรถก็เคลื่อนออกไปตามถนน
ช่วงแรกรถในตัวเมืองเอมาซอว์ค่อนข้างหนาแน่น ผู้คนขวักไขว่ ตึกรามบ้านช่องขึ้นเรียงรายติดๆ กัน แต่หลังจากนั้นก็เป็นทุ่งนากว้างๆ เต็มไปด้วยสนสูงชะลูด มีหิมะปกคลุมขาวโพลน อากาศเย็นบาดผิวเนื้อ ดีที่ค้นเอาแจ็กเกตตัวใหญ่ออกมาคอยท่าไม่งั้นคงได้หยิบลำบากและต้องทนหนาวไปตลอดทางแน่
“หวัดดีค่ะ” อยู่ๆ เด็กผู้หญิงวัยสิบขวบที่นั่งข้างๆ ฉันก็ร้องเรียกขึ้น
“หวัดดีจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่หนูน้อยที่นั่งอยู่บนตักแม่
“คุณจะไปไหนคะ” เด็กหญิงถามเสียงแจ้ว
“ไร่องุ่นบนเขาเอลซอว์เอลจ้ะ”
“จริงเหรอคะ แม่หนูก็ไป” เด็กหญิงพยักพเยิดไปที่มารดา ฉันเงยหน้ามองเด็กสาววัยไม่เกินสามสิบปีผู้เป็นแม่ของหนูน้อยเชิงคำถาม
“ใช่ค่ะ พวกเรากำลังจะไปที่นั่น”
###