หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล
เจ็บ… มันเจ็บมากจริง ๆ !
มีอาการปวดที่แขนขึ้นมาอย่างรุนแรง
เจียงหว่านฉือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะลืมตาขึ้น แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ทำไม่ได้ เปลือกตานั้นเหมือนกับถูกกดทับด้วยก้อนหินหนัก ๆ สายตาพร่ามัว หูได้ยินเสียงแผ่ว ๆ เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล แต่ได้ยินไม่ชัด
“น่าสงสารจริง ๆ เลย ไม่ยอมให้คนไข้ดมยาสลบด้วยซ้ำ ครอบครัวของเธอต้องเกลียดเธอขนาดไหนกัน...”
“ใช่ เย็บไปตั้งสามสิบเข็ม ฉันแค่มองยังรู้สึกเจ็บเลย...”
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหว่านฉือก็ลืมตาขึ้น และพบว่าตัวเองนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เธออึ้งไปครู่หนึ่ง และก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ยังไง...
ไป๋เสี่ยวโหรวขอให้เธอไปช้อปปิ้งด้วยกัน ปากก็พูดว่าช้อปปิ้ง แต่จริง ๆ แล้วให้เธอไปถือของต่างหาก
การถูกไป๋เสี่ยวโหรวใช้งานนั้นเป็นเรื่องประจำแล้ว และเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเหมือนเคย หรืออาจจะขี้เกียจเกินกว่าจะปฏิเสธ
ระหว่างทางกลับบ้าน ไป๋เสี่ยวโหรวขับรถ ส่วนเธอนั่งอยู่ที่เบาะหลัง แล้วรถชนคนเข้า ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
พอภาพอุบัติเหตุทางรถยนต์ผุดขึ้นในหัวของเธอ เจียงหว่านฉือก็นึกกลัวทันที
เธอหดตัวลงและมองไปรอบ ๆ ห้องผู้ป่วยที่ว่างเปล่า มีแค่เธอเพียงคนเดียว
ตอนที่เธอกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยก็ดังมาจากนอกห้อง
เจียงหว่านฉือมองออกไปก็ชำเลืองเห็นร่างสูงร่างหนึ่งเข้า เธอพลันดีใจขึ้นมา และเรียกชื่อชายผู้นั้นที่เธอโหยหาออกมา...
“ยู่ชางเหิง!”
นั่นคือสามีของเธอที่แต่งงานกันมาสามปีแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน แต่เธอก็เต็มใจรอพร้อมพยายามเห็นคุณค่าของชีวิตแต่งงานของพวกเขา
เขารู้ว่าเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เลยมาเยี่ยมเธองั้นเหรอ? เธอรู้ว่าเขาย่อมมีเธออยู่ในใจไม่มากก็น้อย...
แต่ในวินาทีต่อมา ผู้ชายคนนั้นก็เร่งฝีเท้าจากไปโดยไม่หันมามองเธอเลยแม้แต่แวบหนึ่ง
เจียงหว่านฉือยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น
เธอดึงเข็มที่แขนออกอย่างไม่ลังเล และรีบลุกจากเตียงแล้ววิ่งตามเขาไป
“ชางเหิง...”
เธอเรียกชื่อเขา เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เห็นเธอ เลยเดินตามเขาไปจนถึงห้องข้าง ๆ
แต่สถานการณ์ต่อมา ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋เสี่ยวโหรวซึ่งเป็นผู้หญิงที่มักจะแสร้งทำเป็นคนอ่อนแอต่อหน้ายู่ชางเหิง ตอนนี้กำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้โดยมีผ้าก๊อซพันรอบข้อมือซ้าย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอนั้นมีน้ำตาไหลพราก ขอบตาของเธอแดงก่ำและน้ำตาคลอเบ้า ดูแล้วน่าสงสารมาก
นอกจากยู่ชางเหิงแล้ว ยังมียู่ชิงชิงพี่สาวของยู่ชางเหิงและหลินเยี่ยนเฟินซึ่งเป็นแม่สามีของเธอด้วย... ทั้งสามคนมุงดูไป๋เสี่ยวโหรวอย่างเป็นห่วง เหมือนกับว่าเธอนั้นไม่มีตัวตน!
เจียงหว่านฉือยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
น่าตลกสิ้นดีเลย ที่เธอคิดไปเองว่ายู่ชางเหิงมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเธอซะอีก...
คนในห้องทั้งสี่คนมองมาที่เธอพร้อมกัน และแม่สามีที่แต่งตัวหรูหราก็ลุกขึ้นมาก่อน เธอเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองเธอแล้วพูดอย่างหยิ่งยโสว่า “เจียงหว่านฉือ แกมาก็ดีแล้ว รีบไปมอบตัวซะ แล้วบอกตำรวจว่าแกเป็นคนชนคน!”
“ใช่ ยอมรับความผิดแทนน้องเสี่ยวโหรวซะ” ยู่ชิงชิงก็คล้อยตาม เหมือนที่พูดนั้นค่อนข้างจะสมเหตุสมผล
“มอบตัวเหรอ? !”
เจียงหว่านฉืออดไม่ได้ที่เบิกตากว้างขึ้นมาทันที จู่ ๆ ความรู้สึกบ้าบอเหลือเชื่อก็โผล่ขึ้นมาในใจของเธอ พร้อมกับความโกรธเคืองที่พรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางชี้ไปที่ไป๋เสี่ยวโหรวและถามว่า “เธอเป็นคนชนคน! ทำไมต้องให้ฉันไปมอบตัวแทนด้วย? !”
คนในตระกูลยู่ทำเหมือนเธอเป็นคนรับใช้มาโดยตลอด และเธอก็ชินกับมันแล้ว
และไป๋เสี่ยวโหรวที่ถือว่าตัวเองมีบุญคุณกับตระกูลยู่นั้น ก็พยายามหาวิธีทำให้เธออยู่ไม่เป็นสุขเสมอ
แต่เพื่อรักษาชีวิตแต่งงานของตนเองกับยู่ชางเหิง เธอเลยยอม เพราะอย่างไรที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลยู่ก็เพื่อเอาชนะใจผู้ชายคนนั้น
แต่ที่เธอไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะกร่างได้ถึงขนาดนี้! ให้เธอไปรับโทษแทนผู้หญิงดัดจริตคนนี้งั้นเหรอ! พวกเขามีสิทธิ์อะไรกัน?!
“ฉันขอโทษ มันเป็นความผิดของฉันเอง... ฉันเองก็ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุแบบนั้นขึ้นหรอก...” ไป๋เสี่ยวโหรวที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้นั้น จู่ ๆ ก็เอามือปิดหน้าและร้องไห้ออกมา “ฉันยอมติดคุกเพื่อชดใช้ความผิด และถ้าอีกฝ่ายไม่ยกโทษให้ฉัน ต่อให้ฉันต้องเอาชีวิตมาชดใช้แทนฉันก็ยอม!”
จากนั้นเธอก็หรี่ตาลง ใช้มือข้างหนึ่งลูบท้องเบา ๆ พลางมองยู่ชางเหิงที่ยืนอยู่ข้างเตียง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แต่ฉันมีลูกของอาเหิงอยู่ในท้องแล้ว! ฉันปล่อยให้ลูกต้องทนรับเคราะห์ไปกับฉันไม่ได้...”
ว่าไงนะ?!
เจียงหว่านฉือรู้สึกช็อคราวกับโดนฟ้าผ่า
ไป๋เสี่ยวโหรวกำลังท้องลูกของยู่ชางเหิงอยู่งั้นเหรอ?!
ซินหยาน นักฆ่าสาวที่ใช้นามแฝงว่า สืออี เธอถูกพาตัวมาจากสถานสงเคราะห์ตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี เพื่อฝึกให้เป็นนักฆ่าขององค์การใต้ดิน เพราะความสามารถของเธอ รวมถึงความเฉลียวฉลาดจากการเอาตัวรอด ทำให้เธอได้รับภารกิจเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ จนวันหนึ่งที่องค์กรยื่นข้อเสมอสุดพิเศษให้ หากทำภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นเธอจะสามารถไปใช้ชีวิตตามที่เธอต้องการได้ แต่เรื่องมันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ซินหยาน แม้จะรู้ดีว่านี้เป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกสั่งเก็บแต่ก็รับงานมาอย่างเต็มใจ แต่ที่องค์การคิดไม่ถึงคือ ซินหยานเลือกที่จะจบชีวิตลงพร้อมกับภารกิจสุดท้ายที่สูญหายไปพร้อมกับเธอด้วย ซินหยานเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเธออยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสองหนาว จางซินหยาน ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก และยิ่งคุ้นมากขึ้นเมื่อชื่อของบิดามารดาของซินหยานก็คือนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอได้เคยอ่านเมื่ออยู่ภพที่แล้ว หลังจากที่จางซินหยานอายุได้สิบหกหนาว นางตกหลุมรักท่านแม่ทัพจ้าว ที่ได้รับบาดเจ็บและจางซินหยานเป็นผู้ช่วยไว้ ถ้าหากท่านแม่ทัพจ้าวมิได้มีสตรีที่ตบแต่งไปแล้วเรื่องนี้ก็คงจบอย่างสวยงาม แต่เพราะเขารับจางซินหยานไปเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น จางซินหยานก็ยังคิดว่าถึงจะเป็นเพียงอนุนางก็ยังหวังว่าท่านแม่ทัพจะรักนางเช่นกัน แต่เปล่าเลย ในสายตาของท่านแม่ทัพมีเพียงฮูหยินเอกเท่านั้น จนตายจางซินหยานก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของท่านแม่ทัพ ซินหยานเมื่อมาอยู่ในร่างของจางซินหยานแล้วนางจะยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนโชคชะตาชอบเล่นตลก เพราะเรื่องที่นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวดันเข้าไปยุ่งเต็มๆ
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
จากอลิส เจนี่ ร็อกส์ กลายมาเป็นหลิวตานผู้สู้ชีวิตกับระบบทำฟาร์มแสนห่วย ครอบครัวปู่ย่าไม่เหลียวแล กดขี่ข่มเหงทั้งยังทำเหมือนว่าบ้านรองเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น ในฐานะคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากบิดามาก่อน ชาตินี้หลิวตานจึงหาหนทางเพื่อพาบ้านรองไปจุดสูงสุด หลิวตานใช้ความสามารถที่เธอมีพลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของผัก ทำฟาร์มผัก และยังมีตัวช่วยอย่างระบบทำฟาร์มแสนห่วยอยู่ในมือ เธอจะต้องพาครอบครัวมั่งคั่งร่ำรวยให้ได้! แต่ระบบที่มีทำให้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันช่วยเหลือเธอได้จริง ๆ - -
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่