เธอเดินก้มหน้าก้มตามาเก็บกล่องปฐมพยาบาล ไม่ลืมที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ของหมอคนหนึ่ง เธอสั่งกำชับออกมาว่า “อย่าให้แผลโดนน้ำชั่วคราว ฆ่าเชื้อวันละครั้ง พยายามใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ อย่าให้เสียดสีกับบาดแผลนะคะ”
เธอวางยาลง “อันนี้คือยาสำหรับทาน ส่วนอันนี้คือยาสำหรับใช้ภายนอกค่ะ”
เจียงเย่าจิ่งไม่ได้หันหน้ามา เขาตอบกลับอย่างนิ่งเฉย
ซงยุ่นยุ่นเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายเช่นกัน
เธอเดินถือกล่องปฐมพยาบาลออกไปทันที
เธอโบกรถกลับโรงพยาบาล ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอจึงไปกินอะไรรองท้องที่โรงอาหารของโรงพยาบาล เพิ่งจะกลับมาถึงแผนก ก็ถูกคณบดีเรียกให้ไปที่ห้องทำงานของเขา
“เรื่องที่ไปเรียนที่โรงพยาบาลกองทหารภาคสอง ผมตั้งใจจะให้เฉินเวินเหยียนไปแทนนะ” คณบดีสีหน้าจริงจัง เหมือนกับกำลังมีเรื่องภายในใจที่พูดออกมาไม่ได้
ซงยุ่นยุ่นชะงักไป ก่อนจะถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ไหนบอกว่าจะให้ฉันไปไม่ใช่เหรอคะ?”
“คุณเองก็รู้ว่า พวกอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยของโรงพยาบาลเราล้วนแต่เป็นของเทียนจุ้ย กรุ๊ปบริจาคมาให้ เจียงเย่าจิ่งกำชับกับผมเอาไว้ว่า ให้ผมดูแลคุณหมอเฉินให้ดี ผมจึงจำเป็นต้องทำ”
ทันทีที่ซงยุ่นยุ่นได้ยินชื่อของเจียงเย่าจิ่ง ก็รู้สึกตกใจขึ้นมา แม้ว่าเธอจะกลายเป็นภรรยาของเจียงเย่าจิ่งด้วยการยอมรับของทั้งสองตระกูล แต่ว่าทั้งสองคนก็ไม่เคยเจอหน้ากันอย่างเป็นทางการมาก่อน
เธอแค่เคยเห็นเขาจากในนิตยสารการเงิน และในโทรทัศน์เท่านั้น
เขากับเฉินเวินเหยียนอย่างนั้นเหรอ
ซงยุ่นยุ่นใจเต้นตึกตัก แต่ใบหน้ากลับสงบนิ่งใจเย็น “อย่างนั้นเหรอคะ?”
“ใช่ พวกเราเชื่อมั่น และยอมรับในความสามารถทางวิชาชีพ และทักษะทางการแพทย์ของคุณ” คณบดีพูดปลอบใจเธอ ในบรรดาแพทย์ใหม่ คณบดีชื่นชมเธอมากที่สุด
ซงยุ่นยุ่นก้มหน้าลง “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
ภรรยาที่ยัดเยียดให้กับเขาแบบเธอ ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ เขาเองก็ไม่ได้เก็บไปใส่ใจด้วยเหมือนกัน
“ตอนบ่ายฉันยังมีเคสผ่าตัดอีก ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะคะ” เธอพูดขึ้น
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว
คณบดีถอนหายใจออกมา ก่อนจะปล่อยให้เธอไป
ช่วงบ่ายเธอทุ่มเททำงาน ทำการผ่าตัดไปสองเคสจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก เธอล้างมือถอดชุดผ่าตัดสีเขียวออก ก่อนจะนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้
เฉินเวินเหยียนเดินเข้ามา
“หมอซ่ง” เธอยิ้มแย้ม “เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวคุณก็แล้วกัน”
“ฉันยังมีธุระอยู่” เธอปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินเวินเหยียนไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แค่เป็นเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น
พวกเธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน
แล้วก็ปีเดียวกัน
แต่เฉินเวินเหยียนเป็นคนที่ชอบทำตัวเด่น และยังชอบชิงดีชิงเด่นกับคนอื่นด้วย
แต่เธอชอบอยู่เงียบ ๆ ชอบอ่านหนังสือ ทั้งสองคนนิสัยไม่เข้ากันเลยสักนิด
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เป็นเพื่อนที่สนิทอะไรกันขนาดนั้น
“อย่างนั้นเหรอ?” เฉินเวินเหยียนมีสีหน้าลำบากใจ “อันที่จริงแล้วฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
ซงยุ่นยุ่นลุกขึ้นแขวนเสื้อ ไม่ได้มองเธอ “ว่ามาสิ”
ไม่รู้ว่าทำไม พอรู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์กับเจียงเย่าจิ่งแล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกอยากจะตีตัวออกห่างเฉินเวินเหยียนมากขึ้น
“คุณน่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วสินะ ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันไม่รู้ว่าคณบดีจะ...”
“ไม่เป็นไร” ซงยุ่นยุ่นขัดจังหวะเธอ
เฉินเวินเหยียนก้มมองต่ำ กลอกลูกตา “แล้วก็ เรื่องที่ฉันไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อคืน คุณช่วยเก็บเป็นความลับให้ฉันได้ไหม? เพราะฉันต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลกองทหารภาคสอง ฉันไม่อยากให้มีปัญหาแทรกซ้อมขึ้นมา”
เหตุผลมันดูขัดไปหน่อย
ซงยุ่นยุ่นรู้ว่าคนแบบเธอชอบมาไม้นี้ จึงพูดตอบกลับไป “ฉันจะไม่พูดแน่นอน”
เดิมทีการที่ช่วยเข้าเวรแทนเพื่อนร่วมงานชั่วคราวมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ไม่ว่าใครต่างก็มีธุระเร่งด่วนกันทั้งนั้น
ข้างนอกโรงพยาบาล
ท้องฟ้าเริ่มมืด ไฟบนถนนก็สว่างขึ้นมาแล้ว
มีรถตู้หรูสีดำคันหนึ่งมาจอดอยู่ตรงประตูทางเข้า เซินจือเฉียนก็อยู่ภายในรถเหมือนกัน เขาพูดขึ้นอย่างโอ้อวดว่า “ทักษะทางการแพทย์ของรุ่นน้องฉันใช้ได้เลยใช่ไหม?”
เจียงเย่าจิ่งนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ภายในรถ นึกถึงความสงบนิ่ง และความคล่องแคล่วตอนที่กำลังทำแผลให้กับเขา เขาก็รู้สึกยอมรับในความสามารถของเธอ
“คุณเฉิน” ฮั่วซวินที่อยู่ด้านหน้าพูดเตือนขึ้น
เจียงเย่าจิ่งลดกระจกลง
เฉินเวินเหยียนเดินตรงมา
พอเซินจือเฉียนเห็นเธอ ก็ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เฉินเวินเหยียน”
“นายรู้จักเหรอ?” ฮั่วซวินหันมาถาม
เซินจือเฉียนพยักหน้า “รุ่นน้องฉัน”
เจียงเย่าจิ่งเงยขึ้น แววตาเป็นประกาย
เมื่อวานเธอเป็นคนช่วยเหลือเขา คนที่ช่วยทำแผลให้กับเขาในวันนี้ก็เป็นเธออีกเหรอ?
เธอ——
ฮั่วซวินพ่นลมหายใจออกมา “นี่กามเทพรู้สึกตัวแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องเป็นแม่สื่อให้กับเจ้านายของเขา
เซินจือเฉียนขมวดคิ้ว “นายกำลังพูดอะไร?”
“คุณเจียง”
ในตอนนี้เองเฉินเวินเหยียนก็เดินเข้ามา ขัดจังหวะบทสนทนาของพวกเขา