ค่ำคืนหนึ่งฮ่องเต้เสด็จชมดาวในอุทยานหลวง บังเอิญเหลือเกินที่สวรรค์ได้ท้าทายคำกล่าวของนางในครานั้นเพียงไม่กี่วัน นางก็ได้พบเจอกับชายที่นางต้องอยู่กับเขาและตายไปกับเขา
“ถวายบังคับฝ่าบาท” นางเอ่ยขึ้นพลางย่อกายทำความเคารพ มือที่กำพัดด้ามยาวรูปผ้าปักลายคางคกคาบเหรียญที่นางได้รับพระราชทานมาจากฮองเฮาถูกยกขึ้นมาบังใบหน้าของนางไว้เพื่อไม่ให้โอรสสวรรค์ผู้นี้เสียอรรถรสในการชื่นชมความงามของหมู่ดาว
“ลุกขึ้นเถิดสนมรัก”
นางกล่าวขอบพระทัยก่อนจะก้าวถอยหลังออกห่างองค์จักรพรรดิหนึ่งก้าว
“เจ็ดนางฟ้างั้นรึ” นางสะดุดพลันเงยหน้ามองพระพักตร์ขาวผ่องนั้น สุรเสียงนุ่มนั้นเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วยามแหงนหน้ามองหมู่ดาว ทว่าในท่ามกลางความเงียบนางกลับได้ยินทุกอย่างชัดเจน ฮ่องเต้หนุ่มแค่นหัวเราะรอยยิ้มนั้นราวกับเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสา “เหตุใดเราจึงนับได้เพียงหก”
กล่าวถึงหมู่ดาวบนท้องฟ้า เจ็ดนางฟ้าผู้ทำหน้าที่คอยปรนนิบัติขับขานบรรเลงเพลงให้กับเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย หนึ่งในนั้นก็คือนาง
ท่ามกลางความเงียบงัน นางสังเกตเห็นได้ว่าพระหัตถ์โบกสะบัดขับไล่ขันทีน้อยให้ถอยห่างออกไป
“เจ้ามีสิ่งใดในใจ ยามนี้จงเอ่ยออกมาเถิด”
ฉานฉูคอยจนกระทั่งคนเหล่านั้นห่างไกลออกไปเกินกว่าที่จะได้ยินเสียงพูดคุย นางจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่คับแน่นอยู่ภายในใจ
“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสงสัย”
หากแต่บุรุษผู้นี้กลับพูดออกมาราวกับล่วงรู้ใจของนาง
“เรื่องที่เราแต่งตั้งเจ้าเป็นสนมน่ะหรือ นี่มันก็ผ่านมาสามปีแล้ว ความสงสัยของเจ้านั้นล่าช้าเกินไปหรือสนมรัก”
อากาศเย็นนั้นทำให้โอรสสวรรค์ผู้นี้มีความสุข เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเหมือนกำลังขบขันในความคิดของสตรีตรงหน้า
นางสบตากับเขาขณะที่ยังใช้พัดด้ามยามนั้นปิดบังใบหน้าเอาไว้ อย่างไรนางก็เป็นหญิงอัปลักษณ์ไม่ชวนพิสมัยให้มองนัก
“แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึง...”
“เจ้าก็รู้ว่าเราเป็นใคร”
เสียงนั้นตอกย้ำกับนางให้จมดิ่งกับบาดแผลที่ไม่อาจรักษาได้
เพราะเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอนกับชายคนรัก
ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะบุรุษเบื้องหน้านั้น
เขาจงใจพรากนางให้แยกจากผู้เป็นสามี แต่กลับเลี้ยงเอาไว้ข้างกายให้ได้เห็นใบหน้านั้นลอยชายไปมาชวนให้เจ็บปวดทรมานใจ
ให้อยู่ใกล้กับผู้ที่นางรัก แต่มิอาจรักได้
ช่างเป็นฮ่องเต้ที่โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งนัก
“หรือที่เจ้าอยากจะพูดกับเรา นั่นคือเจ้าอยากให้เราปลดองครักษ์เหวิน และขับไล่เจ้ากลับไปเมืองอู่ถงเช่นนั้นหรือ”
หากเป็นเช่นนั้นได้ก็คงดี
ทว่า... ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น
ฉานฉูจึงส่ายหน้าไปมาช้า ๆ
หากแต่เหวินเฟิงเฮยผู้นี้กลับยังคงติดใจว่านางผู้นี้มีหรือจะไม่ปรารถนาในสิ่งที่ตนเพิ่งเอ่ยไป เพราะตนรู้อยู่เต็มอกว่าองครักษ์เหวินรักหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มากเพียงใด
ยามนั้นเสียงชวนฟังของนางเอื้อนเอ่ยว่า
“ที่หม่อมฉันจะกล่าวคือ ช่างเป็นสามปีที่หม่อมฉันขาดตกบกพร่องในหน้าที่ ขอฝ่าบาททรงได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย”
ดวงตามังกรหรี่ลงมองสตรีตรงหน้า
นางใช้คำว่าหน้าที่ นั่นหมายถึงปรนนิบัติเราอย่างนั้นหรือ
การที่เรารับนางเข้ามาตามคำอ้อนวอนของฮองเฮาเช่นนี้เป็นเพราะเรารู้ทันเล่ห์กลของฮองเฮา
ยิ่งการมีหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เดินเผ่นผ่านไปมาในสวนวังหลังนั้นย่อมทำให้สนมน้อยเหล่านั้นไม่กล้าเสนอหน้าออกมาในยามวิกาลเพราะหวาดกลัวในรูปโฉมของนาง
และยิ่งเมื่อนางกำลังตั้งครรภ์ นางยิ่งได้รับความรักมากกว่าหญิงใด
ทว่าเราก็หน่ายที่จะเกี้ยวพาสตรีโฉมงามเหล่านั้นแล้วเหมือนกัน จึงปล่อยปะละเลยไปหาได้สนใจ
เว้นเสียเพียงสตรีเบื้องหน้า ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของสหายคนสนิท
แววตาของนาง ราวกับสตรีผู้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่มิอาจบอกเล่าได้
เช่นนั้นแล้วยิ่งน่าค้นหา
แต่เพราะเหตุใดนาง จึงมองเราด้วยสายตาถวิลหาระคนเวทนาเช่นนั้น...
ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยย้อนถามไถ่ ขยับก้าวขาเข้าไปใกล้สนมน้อยผู้นั้น
“แล้วหน้าที่ของเจ้าคือสิ่งใด”
เมื่อได้ลองหยั่งเชิงถามดูก็พบว่านางนั้นเกิดอาการกระอักกระอ่วน ผิดกับท่าทีเย็นชาที่นางมีให้เขาในบ่อยครั้ง
พระองค์จึงนึกสนุก โน้มกายเข้าหานางยิ่งขึ้นราวกับไม่นึกรังเกียจ
ไม่นึกเลยว่านางจะใจกล้ามากพอโยนพัดด้ามนั้นทิ้งไปพลางกระโจนกอดร่างสูงจนผลัดตกบ่อน้ำไปด้วยกัน
ขันทีคนสนิทได้ยินเสียงคนตกน้ำก็พลันรีบวิ่งแจ้นมาดู ครั้นจะป่าวประกาศว่าฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์ก็ต้องหุบปากเงียบเมื่อพระองค์ทะลึ่งกายผุดขึ้นมาเหนือน้ำพลางตะโบมจูบที่ริมฝีปากของสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ในอ้อมอก
นางถูกจาบจ้วงริมฝีปากด้วยพระโอษฐ์ของโอรสสวรรค์อย่างเร่าร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจ้าแม่คางคกผู้นั้นกำลังถูกมังกรกอดรัดในน้ำอย่างแนบแน่น สองแขนของนางยกขึ้นมากอดรอบลำคอหนา มือที่มีผิวหนังตะปุ่มตะปุ่มนั้นสอดระหว่างกลุ่มผมของชายหนุ่มพลางจิกทึ้งด้วยความเสียวซ่าน ผิวน้ำกระเพื่อมบอกถึงกายท่อนล่างที่ขยับสอดประสาน
ครั้นยามเมื่อหลุดเปล่งส่งเสียงครวญครางน่าอายเสียจนขันทีผู้นั้นต้องรีบหลบหนีไปทันทีทันใด
การศึกษาสมุนไพรประจำท้องถิ่น เป็นภาระหน้าที่ของเหล่าแพทย์ รู้จักสรรพคุณและรู้ถึงแหล่งกำเนิดของมัน เช่นนั้นแล้วเหล่าแพทย์ฝึกหัดทั้งหลายจำต้องออกมาแสวงหาความรู้ภายนอกสำนักแพทย์หลวงพร้อมด้วยตะกร้าหวายสะพายข้างและอุปกรณ์เก็บเกี่ยวสมุนไพรอีกคนละหนึ่งชุด
คิมหันต์ฤดูร้อนอ้าว เหงื่อผุดตามไรผมรวมไปถึงใต้หมวกแพทย์ฝึกหัดที่กำลังสวมใส่ เหล่าเด็กหนุ่มขะมักเขม้นเก็บเกี่ยวสมุนไพรในป่าตามคำสั่งของอาจารย์
ร่างของหนุ่มน้อยวัยละอ่อนภายในชุดสีขาวอมเขียวอ่อนรวบผม สวมกวานที่บ่งบอกตำแหน่งแพทย์ฝึกหัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย ยืนเรียง ๆ กันแม้ไม่เป็นระเบียบเยี่ยงทหารแต่ก็ไม่แตกแถวมากนัก ส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกันตามระนาบแนวนอนเกิดหลุมอากาศผลุบต่ำลงที่ตำแหน่งขององค์ชายน้อยผู้นั้น
นิ้วโผล่พ้นมาเพียงน้อยนิดเพราะแขนเสื้อยาวเกินตัวเนื้อจากกายของผู้ที่สวมใส่เติบโตตามวัย หากเทียบกับแพทย์ทั้งหลายแล้วนับว่าห่างกันราวสามปี ไม่แปลกที่องค์ชายน้อยจะมีขนาดของร่างกายที่เล็กกว่า
เหวินหยางซื่อจำต้องพับแขนเสื้อขึ้นเพราะว่าเสื้อผ้านั้นขนาดไม่พอดีกับตนที่ยังเป็นเพียงเด็กวัยสิบเอ็ดปีนัก ขณะที่แพทย์ฝึกหัดผู้อื่นนั้นล้วนเป็นหนุ่มวัยสิบสี่ย่างเข้าสิบห้า ข้างกายนั้นมีเด็กหนุ่มขี้โรคผอมโซอย่างขงเฉว่ยืนปิดท้ายแถวอยู่
แพทย์อาวุโสผู้หนึ่งลูบเคราสีดอกเลาของตนไปมา ว่ากล่าวถึงการเก็บเกี่ยวสมุนไพรนั้นจำต้องคำนึงถึงสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม สิ่งไหนเป็นพิษ สิ่งไหนต้านพิษ กล่าวถึงว่าบางช่วงเวลานั้นก็มีผลต่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นต้นเดียวกันแต่หากเก็บเกี่ยวในเวลาที่ต่างกันย่อมเกิดผลดีผลร้ายทางการรักษาที่ต่างกันออกไป
เหล่าแพทย์ฝึกหัดได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปเก็บเห็ดพิษและเห็ดไม่มีพิษมา รวมไปถึงสรรหาสมุนไพรที่ใช้ต้านพิษของมันมาด้วยก่อนอาทิตย์ตกดินซึ่งก็ภายในอีกสองชั่วยาม
มือเรียวจับคางของตน เหวินหยางซื่อครางในลำคอยามครุ่นคิดไม่ตก เกียจคร้านที่จะทำงานออกแรงเยี่ยงนี้นัก จึงปล่อยให้ผู้เก็บเกี่ยวสมุนไพรใส่ตะกร้าหวายสะพายข้างทั้งของตนเองและเผื่อแผ่มายังลูกแมวน้อยเยี่ยงตนเป็นหน้าที่ของขงเฉว่
ยามนี้องค์ชายไม่ได้สวมใส่อาภรณ์เนื้อดีสีม่วงอ่อนดังเดิม เจ้าเด็กน้อยสวมใส่เสื้อผ้าของแพทย์ฝึกหัดเฉกเช่นผู้อื่นจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตา เพราะการมีเชื้อพระวงศ์ออกมาเผ่นผ่านนอกวังแต่ไร้ซึ่งทหารคุ้มกันนับว่าเป็นเรื่องอันตราย แม้ว่ายามนี้แคว้นชินหลิงไม่มีท่าทีก่อสงครามแต่ก็หาใช่ว่าจะสงบใจได้
ขงเฉว่จับสายคล้องคล้ายว่าจะสวมให้กับร่างน้อย เหวินหยางซื่อปล่อยให้แพทย์ฝึกหัดผู้นั้นทำตามใจ หลุบตามองสมุนไพรในตะกร้าก็พลันโล่งใจ ในระหว่างที่ตนอู้งานเจ้าขี้โรคหน้าโง่นั้นก็ทำงานให้เสียแล้ว
พวกเขาได้รับอนุญาตให้ข้ามสะพานไปยังหมู่บ้านอีกฝั่งได้ แพทย์จำนวนหนึ่งก็มุ่งข้ามสะพานไปอีกฝ่ายโดยทันที
“ซื่อซื่อ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกให้เจ้าของนามหลุดจากภวังค์ นามเรียกอย่างสนิทสนมนั้นมีเพียงน้อยคนนักจะได้รับอนุญาตให้เรียกขาน “ไปหมู่บ้านอีกฝั่งกันเถิด เพียงข้ามสะพานนี้ไปก็ถึงแล้ว”
องค์ชายพยักหน้าน้อย ๆ มือเรียวจับเชือกป่านคล้องตะกร้าบรรจุสมุนไพรสะพายข้างเอาไว้มั่นยามสาวเท้าเดินตามร่างสูง
หากยังจดจำได้ดีว่ามีบรรดาหมาหมู่ที่ชอบกลั่นแกล้งเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่นั้นอาจจะพอพูดออกมาได้ฉิบหายเมื่อพบว่าพวกเขาทั้งสองกำลังเดินข้ามสะพานมาพร้อมกับพวกมัน
ขงเฉว่เข้าใจตามประสาวัยรุ่นช่วงอายุประมาณนี้มักจะมีอาการใจร้อนและชอบอาฆาตแค้น หนึ่งในแพทย์หมาหมู่หัวโจกนั้นเริ่มเดินไปก็โยกราวเชือกจับของสะพานไปเพื่อให้เด็กชายที่ตัวสูงกว่าราวสะพาน ไม่มากนักร้องเสียงหลงออกมาแล้วกอดเกาะสายสะพานขาสั่นหงั่ก ๆ
องค์ชายน้อยนั้นหายใจเข้าลึก ๆ อดกลั้นต่อความกลัวแล้วก้าวขาออกไปข้างหน้าต่อ
ขงเฉว่เหลียวมองเหวินหยางซื่อที่ห่างจากตัวเขาเพียงสองสามก้าวก่อนจะก้าวเดินช้า ๆ เพื่อรอเด็กน้อย หากแต่สะพานนั้นกลับโยกเยกและเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแรงขึ้น
ในจังหวะที่เขาหันกลับไปมองแพทย์หนุ่มน้อยสี่ห้าคนตรงหน้าที่โยกสะพานไปมาเสียงเชือกขาดดังขึ้นพร้อมกับแผ่นไม้แตกโผละ
แม้ว่าแผ่นไม้ที่แตกนั้นไม่ใช่แผ่นที่เขาเหยียบอยู่ แต่ที่แย่กว่านั้นคือฝ่ามือเล็ก ๆ ที่เอื้อมมาคว้าเสื้อของเขาไว้ฉุดรั้งให้ล่วงตกน้ำลงไปพร้อมกันเกิดเสียงน้ำแตกกระจายเมื่อสองร่างจมหายลงไปท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว
ขงเฉว่ตะเกียกตะกายผุดหัวขึ้นมา พร้อมกับแขนข้างหนึ่งที่กอดรัดร่างเล็กขององค์ชายเอาไว้ สายคล้องตะกร้าหวายหลุดออกไปจากร่างเหลือเพียงตัวเปล่า
เมื่อโผล่พ้นน้ำหมายจะหายใจเข้าไปให้ชุ่มปอดแต่กลับพบว่าผ้าปิดปากชุ่มน้ำนั้นเปียกลู่ปิดรูจมูกของเขา
เขาจึงกระชากผ้าปิดปากออกแล้วสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปแล้วไอเอาน้ำออกมาโขลกใหญ่ขณะที่ร่างไหลไปตามน้ำ
เขาสังเกตเห็นรากไม้ยาวตรงหน้าก็รีบเอื้อมมือข้างหนึ่งคว้าเอาไว้ได้ทัน ฝืนแรงกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากราวกับฤดูน้ำหลากพลางพยายามขึ้นฝั่งโดยที่กอดรัดนำพาร่างของเหวินหยางซื่อไปด้วยอย่างทุลักทุเล
“ซื่อซื่อ” มือที่ประทับตราแพทย์ฝึกหัดนั้นตบเข้าที่ข้างแก้มของหนูน้อยเรียกสติ เสียงเอ่ยเรียกสติอีกหน “ซื่อซื่อ”
พวกเขาสองคนสนิทสนมกันเสียจนเรียกชื่อเล่นบ้างในบางครั้ง เพราะชื่อของขงเฉว่มีเพียงสองพยางค์ เหวินหยางซื่อจึงต้องการให้ตนถูกเรียกด้วยสองพยางค์บ้าง
หากแต่คำว่า ‘ซื่อซื่อ’ นั้นกลับมีเพียงท่านแม่และขงเฉว่เท่านั้นที่เขาอนุญาตให้เรียกได้
ขงเฉว่ตัวเปียกโชก หอบหายใจหนักหน่วงด้วยความตื่นใจกลัวไม่น้อย เขาเอานิ้วไปอังที่รูจมูกของเหวินหยางซื่อพบว่าไม่มีลมหายใจ
แต่พอแนบหูลงกับอกพบว่ามีเสียงน้ำอยู่ภายในปอด เขาไม่รอช้าที่จะทำซีพีอาร์ปั๊มหัวใจเด็กน้อยตรงหน้าทันที ยังดีหน่อยที่ไม่ต้องผายปอดน้ำก็พุ่งออกมาจากปากของหนูน้อยพร้อมกับเสียงไอเสียจนจมูกแดงมีน้ำมูกไหลและร่างเล็กที่ดีดตัวขึ้นมานั่งอย่างงุนงง
เหวินหยางซื่อแสบคอไปหมด หูอื้อเพราะน้ำเข้าหู ขงเฉว่สังเกตอาการอีกฝ่ายก่อนจะใช้สองมือประคองใบหน้าของเด็กน้อยพลางเอียงและตบบ้องหูเบา ๆ ให้น้ำไหลออกมา
รสชาติฝาดของแม่น้ำสายนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้น พวกเขาทั้งสองเผลอกลืนเข้าไปหลายอึก รวมทั้งจมูกที่กลายเป็นสีแดงเข้มเพราะอาการสำลักน้ำ
ร่างกายหนาวสั่นทันทีเมื่อสายลมพัดผ่านเข้ามา ขงเฉว่เหลียวมองรอบกายก็พบว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะมาโผล่แถวบริเวณข้างลำธารเช่นนี้ ครั้นจะประคองร่างเล็กให้ลุกเดินก็พบว่ามีแผลถลอกเป็นทางยาวเสียจนเลือดซิบออกมาจากขาทั้งสองข้าง คาดว่าน่าจะเป็นผลที่เกิดจากการจากตกลงมาจากแผ่นที่ไม้แตกเลยขูดเอาเนื้อขาวเนียนนี้เป็นรอยเห็นแล้วก็นึกสงสาร
เขาลุกขึ้นแล้วนั่งยอง ๆ หันหลังให้กับเหวินหยางซื่อแล้วพูดออกมา
“ขี่หลังข้าแทนแล้วกัน”
เขาแบกร่างเล็กไปตามทาง ขณะที่ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดแสงลงทุกชั่วขณะ อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเพียงไม่นานลมหนาวก็พัดผ่านป่าแห่งนี้ให้ชวนขุนลุกขนพองกับบรรยากาศวังเวง
ยังดีที่เขาพบถ้ำสองเท้าจึงรีบก้าวเข้าไปหลบภัยในยามวิกาลเสียก่อน เขาไม่มีไฟที่ให้ความอบอุ่นจึงทำได้เพียงบอกกับเด็กน้อยว่าพวกเขาทั้งสองจะต้องถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวเพื่อป้องกันมิให้ร่างกายเจ็บป่วยเป็นโรคปอดบวม
ขงเฉว่ถอดสายคาดเอวและเสื้อนอกของแพทย์ฝึกหัดออกก่อนจะนั่งแหมะลง แล้วเอามือตบตักของตนพลางอ้าแขนเป็นเชิงว่าให้เหวินหยางซื่อมานั่งในอ้อมอกของเขา
องค์ชายน้อยส่ายหน้าไปมาเป็นการปฏิเสธ หากแต่อาการคัดจมูกนั้นทำให้เขาจามออกมาเสียงดังลั่นเกิดเสียงสะท้อนดังกังวานไปทั่วถ้ำ
ขงเฉว่จึงลอบยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวรบเร้า “มานั่งเสียเถอะ หากเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะลำบากไปยิ่งกว่านี้”
เหวินหยางซื่อช่างใจอย่างนึกลังเลชั่วครู่ ขณะที่มือน้อย ๆ นั้นจัดการแหวกเสื้อตัวนอกของตนออกแล้วก้าวเดินเข้าไปหาแพทย์หนุ่มน้อยใบหน้าละอ่อนนั้นอย่างช้า ๆ ในถ้ำนั้นมืดก็จริงหากแต่ยังพอมีรูที่ส่องแสงสว่างจากพระจันทร์ยามค่ำคืนเข้ามาทำให้เขามองเห็นได้ว่าใบหน้าที่แท้จริงของขงเฉว่นั้นเป็นอย่างไร
เมื่อหันหลังให้แล้วนั้นก็หย่อนบั้นท้ายลงบนตักของผู้ที่ตัวใหญ่กว่าตน แขนขายาวนั้นจับที่เอวของเด็กน้อยแล้วยกขึ้นให้มานั่งอยู่ในจุดที่พอเหมาะก่อนจะสอดแขนสวมกอดร่างที่นั่งบนตักเอาไว้ทันที
“อุ่นขึ้นรึไม่?” เสียงนุ่มทุ้มที่กระซิบข้างหูทำให้รู้สึกถึงไรขนหลังคอนั้นตั้งชัน เหวินหยางซื่อย่นคอหนีจากลมหายใจอุ่น ๆ ของขงเฉว่ที่กอดกกร่างของตนเอาไว้
เม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วก้มหน้าลงงุด ยกสองเข่าจากเรียวขาเล็กขึ้นตั้งชันแล้วนั่งกอดเข่าในตักของเด็กหนุ่มวัยสิบสี่
ในยามที่ขงเฉว่ปลดผ้าปิดปากลง ใบหน้าของเขาส่อเค้าแววของชายรูปงามมาแต่ไกล ไร้ซึ่งรอยตำหนิหรือแม้แต่ความอัปลักษณ์ใดบนใบหน้านั่น แต่เหตุใดเขาจึงสวมผ้าปิดปากเอาไว้ตลอดเวลาอีกทั้งยังแสร้งไอค่อกแค่กตบตาผู้อื่นว่าตนนั้นเป็นคนขี้โรค
องค์ชายน้อยครุ่นคิดสารพัดก่อนที่ใบหน้าของแพทย์ฝึกหัดผู้นั้นจะซบลงบนบ่าเล็กของเด็กน้อย
เหวินหยางซื่อตัวแข็งทื่อเมื่อขงเฉว่ยกแขนขึ้นกอดร่างอันนุ่มนิ่มของตนเอาไว้ ผิวกายนุ่มละมุนเยี่ยงสตรีชั้นสูงนั้นเพราะถูกดูแลทะนุชถนอมฟูมฝักมาอย่างดีโดยท่านแม่ของเขาที่เป็นถึงสนมคนโปรดของกษัตริย์แห่งแคว้นต้าเหลียง ทำให้รู้สึกเหมือนกอดตุ๊กตายัดนุ่นตัวนุ่มนิ่มไม่น้อย
ขงเฉว่ผล็อยหลับไปแล้วขณะที่กอดกายเล็กเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่อีกฝ่าย
หากแต่ผู้ที่ถูกกอดกลับทำตัวไม่ถูกใบหน้าร้อนผ่าวขณะที่หัวใจนั้นเต้นถี่รัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เหวินหยางซื่อเคยถูกสตรีกอดมานักต่อนักด้วยความน่าเอ็นดูของเขา ไม่ว่าจะท่านแม่หรือเหล่าแม่นมและนางกำนัลทั้งหลาย
ทว่าเขาจดจำได้ดีว่ามีครั้งหนึ่งที่เขายังเยาว์วัย ยามนั้นวิ่งเล่นอยู่ภายในสวนหลวงไล่จับผีเสื้ออย่างสนุกสนานบังเอิญไปชนเข้ากับร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งเข้า เพียงแวบเดียวเขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเหลียงผู้เป็นบิดาของตน
หากแต่สายพระเนตรเย็นชาบนใบหน้างดงามเยี่ยงรูปหล่อพระโพธิ์สัตว์นั้นทำให้รอยยิ้มของเหวินหยางซื่อหุบลง
ราวกลับว่าพระองค์ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีเขาเป็นลูกชายคนแรก แม้จะเกิดจากนางรำผู้ต้อยต่ำแต่พระหน่อเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้นนับว่าล้ำค่ายิ่งนัก
เหวินหยางซื่อเคยชินกับการถูกประคบประหงมเอ็นดูและรักใคร่ เมื่อเจอเข้ากับความหมางเมินนั้นเป็นครั้งแรกทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ ถึงกระนั้นเขาก็โหยหาอ้อมกอดจากผู้เป็นบิดา
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าอ้อมกอดของบุรุษนั้นจะอบอุ่นถึงเพียงนี้ เด็กน้อยนั้นเกิดความสับสนขึ้นมาในใจ สีหน้าขององค์ชายสลับปรับเปลี่ยนไปมาอย่างรู้สึกประหลาด
เสียงกรนและลมหายใจของแพทย์ฝึกหัดที่กอดตนไว้นั้นด้วยกายที่แนบชิดทำให้เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นหาได้ชื่นชอบสตรีเยี่ยงบุรุษทั่วไป