img ผีผายามังกร  /  บทที่ 10 ฉานฉูรับราชโองการ (4) | 9.09%
ดาวน์โหลดแอป
ประวัติการอ่าน

บทที่ 10 ฉานฉูรับราชโองการ (4)

จำนวนคำ:4239    |    อัปเดตเมื่อ:12/01/2022

ค่ำคืนหนึ่งฮ่องเต้เสด็จชมดาวในอุทยานหลวง บังเอิญเหลือเกินที่สวรรค์ได้ท้าทายคำกล่าวของนางในครานั้นเพียงไม่กี่วัน นางก็ได้พบเจอกับชายที่นางต้องอยู่กับเขาและตายไปกับเขา

“ถวายบังคับฝ่าบาท” นางเอ่ยขึ้นพลางย่อกายทำความเคารพ มือที่กำพัดด้ามยาวรูปผ้าปักลายคางคกคาบเหรียญที่นางได้รับพระราชทานมาจากฮองเฮาถูกยกขึ้นมาบังใบหน้าของนางไว้เพื่อไม่ให้โอรสสวรรค์ผู้นี้เสียอรรถรสในการชื่นชมความงามของหมู่ดาว

“ลุกขึ้นเถิดสนมรัก”

นางกล่าวขอบพระทัยก่อนจะก้าวถอยหลังออกห่างองค์จักรพรรดิหนึ่งก้าว

“เจ็ดนางฟ้างั้นรึ” นางสะดุดพลันเงยหน้ามองพระพักตร์ขาวผ่องนั้น สุรเสียงนุ่มนั้นเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วยามแหงนหน้ามองหมู่ดาว ทว่าในท่ามกลางความเงียบนางกลับได้ยินทุกอย่างชัดเจน ฮ่องเต้หนุ่มแค่นหัวเราะรอยยิ้มนั้นราวกับเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสา “เหตุใดเราจึงนับได้เพียงหก”

กล่าวถึงหมู่ดาวบนท้องฟ้า เจ็ดนางฟ้าผู้ทำหน้าที่คอยปรนนิบัติขับขานบรรเลงเพลงให้กับเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย หนึ่งในนั้นก็คือนาง

ท่ามกลางความเงียบงัน นางสังเกตเห็นได้ว่าพระหัตถ์โบกสะบัดขับไล่ขันทีน้อยให้ถอยห่างออกไป

“เจ้ามีสิ่งใดในใจ ยามนี้จงเอ่ยออกมาเถิด”

ฉานฉูคอยจนกระทั่งคนเหล่านั้นห่างไกลออกไปเกินกว่าที่จะได้ยินเสียงพูดคุย นางจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่คับแน่นอยู่ภายในใจ

“กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสงสัย”

หากแต่บุรุษผู้นี้กลับพูดออกมาราวกับล่วงรู้ใจของนาง

“เรื่องที่เราแต่งตั้งเจ้าเป็นสนมน่ะหรือ นี่มันก็ผ่านมาสามปีแล้ว ความสงสัยของเจ้านั้นล่าช้าเกินไปหรือสนมรัก”

อากาศเย็นนั้นทำให้โอรสสวรรค์ผู้นี้มีความสุข เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเหมือนกำลังขบขันในความคิดของสตรีตรงหน้า

นางสบตากับเขาขณะที่ยังใช้พัดด้ามยามนั้นปิดบังใบหน้าเอาไว้ อย่างไรนางก็เป็นหญิงอัปลักษณ์ไม่ชวนพิสมัยให้มองนัก

“แต่หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึง...”

“เจ้าก็รู้ว่าเราเป็นใคร”

เสียงนั้นตอกย้ำกับนางให้จมดิ่งกับบาดแผลที่ไม่อาจรักษาได้

เพราะเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่อาจร่วมเรียงเคียงหมอนกับชายคนรัก

ทั้งหมดเป็นเพียงเพราะบุรุษเบื้องหน้านั้น

เขาจงใจพรากนางให้แยกจากผู้เป็นสามี แต่กลับเลี้ยงเอาไว้ข้างกายให้ได้เห็นใบหน้านั้นลอยชายไปมาชวนให้เจ็บปวดทรมานใจ

ให้อยู่ใกล้กับผู้ที่นางรัก แต่มิอาจรักได้

ช่างเป็นฮ่องเต้ที่โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งนัก

“หรือที่เจ้าอยากจะพูดกับเรา นั่นคือเจ้าอยากให้เราปลดองครักษ์เหวิน และขับไล่เจ้ากลับไปเมืองอู่ถงเช่นนั้นหรือ”

หากเป็นเช่นนั้นได้ก็คงดี

ทว่า... ไม่มีวันเป็นเช่นนั้น

ฉานฉูจึงส่ายหน้าไปมาช้า ๆ

หากแต่เหวินเฟิงเฮยผู้นี้กลับยังคงติดใจว่านางผู้นี้มีหรือจะไม่ปรารถนาในสิ่งที่ตนเพิ่งเอ่ยไป เพราะตนรู้อยู่เต็มอกว่าองครักษ์เหวินรักหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มากเพียงใด

ยามนั้นเสียงชวนฟังของนางเอื้อนเอ่ยว่า

“ที่หม่อมฉันจะกล่าวคือ ช่างเป็นสามปีที่หม่อมฉันขาดตกบกพร่องในหน้าที่ ขอฝ่าบาททรงได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย”

ดวงตามังกรหรี่ลงมองสตรีตรงหน้า

นางใช้คำว่าหน้าที่ นั่นหมายถึงปรนนิบัติเราอย่างนั้นหรือ

การที่เรารับนางเข้ามาตามคำอ้อนวอนของฮองเฮาเช่นนี้เป็นเพราะเรารู้ทันเล่ห์กลของฮองเฮา

ยิ่งการมีหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เดินเผ่นผ่านไปมาในสวนวังหลังนั้นย่อมทำให้สนมน้อยเหล่านั้นไม่กล้าเสนอหน้าออกมาในยามวิกาลเพราะหวาดกลัวในรูปโฉมของนาง

และยิ่งเมื่อนางกำลังตั้งครรภ์ นางยิ่งได้รับความรักมากกว่าหญิงใด

ทว่าเราก็หน่ายที่จะเกี้ยวพาสตรีโฉมงามเหล่านั้นแล้วเหมือนกัน จึงปล่อยปะละเลยไปหาได้สนใจ

เว้นเสียเพียงสตรีเบื้องหน้า ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของสหายคนสนิท

แววตาของนาง ราวกับสตรีผู้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่มิอาจบอกเล่าได้

เช่นนั้นแล้วยิ่งน่าค้นหา

แต่เพราะเหตุใดนาง จึงมองเราด้วยสายตาถวิลหาระคนเวทนาเช่นนั้น...

ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยย้อนถามไถ่ ขยับก้าวขาเข้าไปใกล้สนมน้อยผู้นั้น

“แล้วหน้าที่ของเจ้าคือสิ่งใด”

เมื่อได้ลองหยั่งเชิงถามดูก็พบว่านางนั้นเกิดอาการกระอักกระอ่วน ผิดกับท่าทีเย็นชาที่นางมีให้เขาในบ่อยครั้ง

พระองค์จึงนึกสนุก โน้มกายเข้าหานางยิ่งขึ้นราวกับไม่นึกรังเกียจ

ไม่นึกเลยว่านางจะใจกล้ามากพอโยนพัดด้ามนั้นทิ้งไปพลางกระโจนกอดร่างสูงจนผลัดตกบ่อน้ำไปด้วยกัน

ขันทีคนสนิทได้ยินเสียงคนตกน้ำก็พลันรีบวิ่งแจ้นมาดู ครั้นจะป่าวประกาศว่าฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์ก็ต้องหุบปากเงียบเมื่อพระองค์ทะลึ่งกายผุดขึ้นมาเหนือน้ำพลางตะโบมจูบที่ริมฝีปากของสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ในอ้อมอก

นางถูกจาบจ้วงริมฝีปากด้วยพระโอษฐ์ของโอรสสวรรค์อย่างเร่าร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เจ้าแม่คางคกผู้นั้นกำลังถูกมังกรกอดรัดในน้ำอย่างแนบแน่น สองแขนของนางยกขึ้นมากอดรอบลำคอหนา มือที่มีผิวหนังตะปุ่มตะปุ่มนั้นสอดระหว่างกลุ่มผมของชายหนุ่มพลางจิกทึ้งด้วยความเสียวซ่าน ผิวน้ำกระเพื่อมบอกถึงกายท่อนล่างที่ขยับสอดประสาน

ครั้นยามเมื่อหลุดเปล่งส่งเสียงครวญครางน่าอายเสียจนขันทีผู้นั้นต้องรีบหลบหนีไปทันทีทันใด

การศึกษาสมุนไพรประจำท้องถิ่น เป็นภาระหน้าที่ของเหล่าแพทย์ รู้จักสรรพคุณและรู้ถึงแหล่งกำเนิดของมัน เช่นนั้นแล้วเหล่าแพทย์ฝึกหัดทั้งหลายจำต้องออกมาแสวงหาความรู้ภายนอกสำนักแพทย์หลวงพร้อมด้วยตะกร้าหวายสะพายข้างและอุปกรณ์เก็บเกี่ยวสมุนไพรอีกคนละหนึ่งชุด

คิมหันต์ฤดูร้อนอ้าว เหงื่อผุดตามไรผมรวมไปถึงใต้หมวกแพทย์ฝึกหัดที่กำลังสวมใส่ เหล่าเด็กหนุ่มขะมักเขม้นเก็บเกี่ยวสมุนไพรในป่าตามคำสั่งของอาจารย์

ร่างของหนุ่มน้อยวัยละอ่อนภายในชุดสีขาวอมเขียวอ่อนรวบผม สวมกวานที่บ่งบอกตำแหน่งแพทย์ฝึกหัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย ยืนเรียง ๆ กันแม้ไม่เป็นระเบียบเยี่ยงทหารแต่ก็ไม่แตกแถวมากนัก ส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกันตามระนาบแนวนอนเกิดหลุมอากาศผลุบต่ำลงที่ตำแหน่งขององค์ชายน้อยผู้นั้น

นิ้วโผล่พ้นมาเพียงน้อยนิดเพราะแขนเสื้อยาวเกินตัวเนื้อจากกายของผู้ที่สวมใส่เติบโตตามวัย หากเทียบกับแพทย์ทั้งหลายแล้วนับว่าห่างกันราวสามปี ไม่แปลกที่องค์ชายน้อยจะมีขนาดของร่างกายที่เล็กกว่า

เหวินหยางซื่อจำต้องพับแขนเสื้อขึ้นเพราะว่าเสื้อผ้านั้นขนาดไม่พอดีกับตนที่ยังเป็นเพียงเด็กวัยสิบเอ็ดปีนัก ขณะที่แพทย์ฝึกหัดผู้อื่นนั้นล้วนเป็นหนุ่มวัยสิบสี่ย่างเข้าสิบห้า ข้างกายนั้นมีเด็กหนุ่มขี้โรคผอมโซอย่างขงเฉว่ยืนปิดท้ายแถวอยู่

แพทย์อาวุโสผู้หนึ่งลูบเคราสีดอกเลาของตนไปมา ว่ากล่าวถึงการเก็บเกี่ยวสมุนไพรนั้นจำต้องคำนึงถึงสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม สิ่งไหนเป็นพิษ สิ่งไหนต้านพิษ กล่าวถึงว่าบางช่วงเวลานั้นก็มีผลต่อสมุนไพรชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นต้นเดียวกันแต่หากเก็บเกี่ยวในเวลาที่ต่างกันย่อมเกิดผลดีผลร้ายทางการรักษาที่ต่างกันออกไป

เหล่าแพทย์ฝึกหัดได้รับคำสั่งให้แยกย้ายไปเก็บเห็ดพิษและเห็ดไม่มีพิษมา รวมไปถึงสรรหาสมุนไพรที่ใช้ต้านพิษของมันมาด้วยก่อนอาทิตย์ตกดินซึ่งก็ภายในอีกสองชั่วยาม

มือเรียวจับคางของตน เหวินหยางซื่อครางในลำคอยามครุ่นคิดไม่ตก เกียจคร้านที่จะทำงานออกแรงเยี่ยงนี้นัก จึงปล่อยให้ผู้เก็บเกี่ยวสมุนไพรใส่ตะกร้าหวายสะพายข้างทั้งของตนเองและเผื่อแผ่มายังลูกแมวน้อยเยี่ยงตนเป็นหน้าที่ของขงเฉว่

ยามนี้องค์ชายไม่ได้สวมใส่อาภรณ์เนื้อดีสีม่วงอ่อนดังเดิม เจ้าเด็กน้อยสวมใส่เสื้อผ้าของแพทย์ฝึกหัดเฉกเช่นผู้อื่นจะได้ไม่เป็นที่สะดุดตา เพราะการมีเชื้อพระวงศ์ออกมาเผ่นผ่านนอกวังแต่ไร้ซึ่งทหารคุ้มกันนับว่าเป็นเรื่องอันตราย แม้ว่ายามนี้แคว้นชินหลิงไม่มีท่าทีก่อสงครามแต่ก็หาใช่ว่าจะสงบใจได้

ขงเฉว่จับสายคล้องคล้ายว่าจะสวมให้กับร่างน้อย เหวินหยางซื่อปล่อยให้แพทย์ฝึกหัดผู้นั้นทำตามใจ หลุบตามองสมุนไพรในตะกร้าก็พลันโล่งใจ ในระหว่างที่ตนอู้งานเจ้าขี้โรคหน้าโง่นั้นก็ทำงานให้เสียแล้ว

พวกเขาได้รับอนุญาตให้ข้ามสะพานไปยังหมู่บ้านอีกฝั่งได้ แพทย์จำนวนหนึ่งก็มุ่งข้ามสะพานไปอีกฝ่ายโดยทันที

“ซื่อซื่อ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกให้เจ้าของนามหลุดจากภวังค์ นามเรียกอย่างสนิทสนมนั้นมีเพียงน้อยคนนักจะได้รับอนุญาตให้เรียกขาน “ไปหมู่บ้านอีกฝั่งกันเถิด เพียงข้ามสะพานนี้ไปก็ถึงแล้ว”

องค์ชายพยักหน้าน้อย ๆ มือเรียวจับเชือกป่านคล้องตะกร้าบรรจุสมุนไพรสะพายข้างเอาไว้มั่นยามสาวเท้าเดินตามร่างสูง

หากยังจดจำได้ดีว่ามีบรรดาหมาหมู่ที่ชอบกลั่นแกล้งเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่นั้นอาจจะพอพูดออกมาได้ฉิบหายเมื่อพบว่าพวกเขาทั้งสองกำลังเดินข้ามสะพานมาพร้อมกับพวกมัน

ขงเฉว่เข้าใจตามประสาวัยรุ่นช่วงอายุประมาณนี้มักจะมีอาการใจร้อนและชอบอาฆาตแค้น หนึ่งในแพทย์หมาหมู่หัวโจกนั้นเริ่มเดินไปก็โยกราวเชือกจับของสะพานไปเพื่อให้เด็กชายที่ตัวสูงกว่าราวสะพาน ไม่มากนักร้องเสียงหลงออกมาแล้วกอดเกาะสายสะพานขาสั่นหงั่ก ๆ

องค์ชายน้อยนั้นหายใจเข้าลึก ๆ อดกลั้นต่อความกลัวแล้วก้าวขาออกไปข้างหน้าต่อ

ขงเฉว่เหลียวมองเหวินหยางซื่อที่ห่างจากตัวเขาเพียงสองสามก้าวก่อนจะก้าวเดินช้า ๆ เพื่อรอเด็กน้อย หากแต่สะพานนั้นกลับโยกเยกและเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาแรงขึ้น

ในจังหวะที่เขาหันกลับไปมองแพทย์หนุ่มน้อยสี่ห้าคนตรงหน้าที่โยกสะพานไปมาเสียงเชือกขาดดังขึ้นพร้อมกับแผ่นไม้แตกโผละ

แม้ว่าแผ่นไม้ที่แตกนั้นไม่ใช่แผ่นที่เขาเหยียบอยู่ แต่ที่แย่กว่านั้นคือฝ่ามือเล็ก ๆ ที่เอื้อมมาคว้าเสื้อของเขาไว้ฉุดรั้งให้ล่วงตกน้ำลงไปพร้อมกันเกิดเสียงน้ำแตกกระจายเมื่อสองร่างจมหายลงไปท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

ขงเฉว่ตะเกียกตะกายผุดหัวขึ้นมา พร้อมกับแขนข้างหนึ่งที่กอดรัดร่างเล็กขององค์ชายเอาไว้ สายคล้องตะกร้าหวายหลุดออกไปจากร่างเหลือเพียงตัวเปล่า

เมื่อโผล่พ้นน้ำหมายจะหายใจเข้าไปให้ชุ่มปอดแต่กลับพบว่าผ้าปิดปากชุ่มน้ำนั้นเปียกลู่ปิดรูจมูกของเขา

เขาจึงกระชากผ้าปิดปากออกแล้วสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปแล้วไอเอาน้ำออกมาโขลกใหญ่ขณะที่ร่างไหลไปตามน้ำ

เขาสังเกตเห็นรากไม้ยาวตรงหน้าก็รีบเอื้อมมือข้างหนึ่งคว้าเอาไว้ได้ทัน ฝืนแรงกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากราวกับฤดูน้ำหลากพลางพยายามขึ้นฝั่งโดยที่กอดรัดนำพาร่างของเหวินหยางซื่อไปด้วยอย่างทุลักทุเล

“ซื่อซื่อ” มือที่ประทับตราแพทย์ฝึกหัดนั้นตบเข้าที่ข้างแก้มของหนูน้อยเรียกสติ เสียงเอ่ยเรียกสติอีกหน “ซื่อซื่อ”

พวกเขาสองคนสนิทสนมกันเสียจนเรียกชื่อเล่นบ้างในบางครั้ง เพราะชื่อของขงเฉว่มีเพียงสองพยางค์ เหวินหยางซื่อจึงต้องการให้ตนถูกเรียกด้วยสองพยางค์บ้าง

หากแต่คำว่า ‘ซื่อซื่อ’ นั้นกลับมีเพียงท่านแม่และขงเฉว่เท่านั้นที่เขาอนุญาตให้เรียกได้

ขงเฉว่ตัวเปียกโชก หอบหายใจหนักหน่วงด้วยความตื่นใจกลัวไม่น้อย เขาเอานิ้วไปอังที่รูจมูกของเหวินหยางซื่อพบว่าไม่มีลมหายใจ

แต่พอแนบหูลงกับอกพบว่ามีเสียงน้ำอยู่ภายในปอด เขาไม่รอช้าที่จะทำซีพีอาร์ปั๊มหัวใจเด็กน้อยตรงหน้าทันที ยังดีหน่อยที่ไม่ต้องผายปอดน้ำก็พุ่งออกมาจากปากของหนูน้อยพร้อมกับเสียงไอเสียจนจมูกแดงมีน้ำมูกไหลและร่างเล็กที่ดีดตัวขึ้นมานั่งอย่างงุนงง

เหวินหยางซื่อแสบคอไปหมด หูอื้อเพราะน้ำเข้าหู ขงเฉว่สังเกตอาการอีกฝ่ายก่อนจะใช้สองมือประคองใบหน้าของเด็กน้อยพลางเอียงและตบบ้องหูเบา ๆ ให้น้ำไหลออกมา

รสชาติฝาดของแม่น้ำสายนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้น พวกเขาทั้งสองเผลอกลืนเข้าไปหลายอึก รวมทั้งจมูกที่กลายเป็นสีแดงเข้มเพราะอาการสำลักน้ำ

ร่างกายหนาวสั่นทันทีเมื่อสายลมพัดผ่านเข้ามา ขงเฉว่เหลียวมองรอบกายก็พบว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะมาโผล่แถวบริเวณข้างลำธารเช่นนี้ ครั้นจะประคองร่างเล็กให้ลุกเดินก็พบว่ามีแผลถลอกเป็นทางยาวเสียจนเลือดซิบออกมาจากขาทั้งสองข้าง คาดว่าน่าจะเป็นผลที่เกิดจากการจากตกลงมาจากแผ่นที่ไม้แตกเลยขูดเอาเนื้อขาวเนียนนี้เป็นรอยเห็นแล้วก็นึกสงสาร

เขาลุกขึ้นแล้วนั่งยอง ๆ หันหลังให้กับเหวินหยางซื่อแล้วพูดออกมา

“ขี่หลังข้าแทนแล้วกัน”

เขาแบกร่างเล็กไปตามทาง ขณะที่ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดแสงลงทุกชั่วขณะ อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเพียงไม่นานลมหนาวก็พัดผ่านป่าแห่งนี้ให้ชวนขุนลุกขนพองกับบรรยากาศวังเวง

ยังดีที่เขาพบถ้ำสองเท้าจึงรีบก้าวเข้าไปหลบภัยในยามวิกาลเสียก่อน เขาไม่มีไฟที่ให้ความอบอุ่นจึงทำได้เพียงบอกกับเด็กน้อยว่าพวกเขาทั้งสองจะต้องถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเพียงเสื้อตัวในสีขาวเพื่อป้องกันมิให้ร่างกายเจ็บป่วยเป็นโรคปอดบวม

ขงเฉว่ถอดสายคาดเอวและเสื้อนอกของแพทย์ฝึกหัดออกก่อนจะนั่งแหมะลง แล้วเอามือตบตักของตนพลางอ้าแขนเป็นเชิงว่าให้เหวินหยางซื่อมานั่งในอ้อมอกของเขา

องค์ชายน้อยส่ายหน้าไปมาเป็นการปฏิเสธ หากแต่อาการคัดจมูกนั้นทำให้เขาจามออกมาเสียงดังลั่นเกิดเสียงสะท้อนดังกังวานไปทั่วถ้ำ

ขงเฉว่จึงลอบยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวรบเร้า “มานั่งเสียเถอะ หากเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะลำบากไปยิ่งกว่านี้”

เหวินหยางซื่อช่างใจอย่างนึกลังเลชั่วครู่ ขณะที่มือน้อย ๆ นั้นจัดการแหวกเสื้อตัวนอกของตนออกแล้วก้าวเดินเข้าไปหาแพทย์หนุ่มน้อยใบหน้าละอ่อนนั้นอย่างช้า ๆ ในถ้ำนั้นมืดก็จริงหากแต่ยังพอมีรูที่ส่องแสงสว่างจากพระจันทร์ยามค่ำคืนเข้ามาทำให้เขามองเห็นได้ว่าใบหน้าที่แท้จริงของขงเฉว่นั้นเป็นอย่างไร

เมื่อหันหลังให้แล้วนั้นก็หย่อนบั้นท้ายลงบนตักของผู้ที่ตัวใหญ่กว่าตน แขนขายาวนั้นจับที่เอวของเด็กน้อยแล้วยกขึ้นให้มานั่งอยู่ในจุดที่พอเหมาะก่อนจะสอดแขนสวมกอดร่างที่นั่งบนตักเอาไว้ทันที

“อุ่นขึ้นรึไม่?” เสียงนุ่มทุ้มที่กระซิบข้างหูทำให้รู้สึกถึงไรขนหลังคอนั้นตั้งชัน เหวินหยางซื่อย่นคอหนีจากลมหายใจอุ่น ๆ ของขงเฉว่ที่กอดกกร่างของตนเอาไว้

เม้มริมฝีปากเข้าหากันแล้วก้มหน้าลงงุด ยกสองเข่าจากเรียวขาเล็กขึ้นตั้งชันแล้วนั่งกอดเข่าในตักของเด็กหนุ่มวัยสิบสี่

ในยามที่ขงเฉว่ปลดผ้าปิดปากลง ใบหน้าของเขาส่อเค้าแววของชายรูปงามมาแต่ไกล ไร้ซึ่งรอยตำหนิหรือแม้แต่ความอัปลักษณ์ใดบนใบหน้านั่น แต่เหตุใดเขาจึงสวมผ้าปิดปากเอาไว้ตลอดเวลาอีกทั้งยังแสร้งไอค่อกแค่กตบตาผู้อื่นว่าตนนั้นเป็นคนขี้โรค

องค์ชายน้อยครุ่นคิดสารพัดก่อนที่ใบหน้าของแพทย์ฝึกหัดผู้นั้นจะซบลงบนบ่าเล็กของเด็กน้อย

เหวินหยางซื่อตัวแข็งทื่อเมื่อขงเฉว่ยกแขนขึ้นกอดร่างอันนุ่มนิ่มของตนเอาไว้ ผิวกายนุ่มละมุนเยี่ยงสตรีชั้นสูงนั้นเพราะถูกดูแลทะนุชถนอมฟูมฝักมาอย่างดีโดยท่านแม่ของเขาที่เป็นถึงสนมคนโปรดของกษัตริย์แห่งแคว้นต้าเหลียง ทำให้รู้สึกเหมือนกอดตุ๊กตายัดนุ่นตัวนุ่มนิ่มไม่น้อย

ขงเฉว่ผล็อยหลับไปแล้วขณะที่กอดกายเล็กเอาไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่อีกฝ่าย

หากแต่ผู้ที่ถูกกอดกลับทำตัวไม่ถูกใบหน้าร้อนผ่าวขณะที่หัวใจนั้นเต้นถี่รัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เหวินหยางซื่อเคยถูกสตรีกอดมานักต่อนักด้วยความน่าเอ็นดูของเขา ไม่ว่าจะท่านแม่หรือเหล่าแม่นมและนางกำนัลทั้งหลาย

ทว่าเขาจดจำได้ดีว่ามีครั้งหนึ่งที่เขายังเยาว์วัย ยามนั้นวิ่งเล่นอยู่ภายในสวนหลวงไล่จับผีเสื้ออย่างสนุกสนานบังเอิญไปชนเข้ากับร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งเข้า เพียงแวบเดียวเขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเหลียงผู้เป็นบิดาของตน

หากแต่สายพระเนตรเย็นชาบนใบหน้างดงามเยี่ยงรูปหล่อพระโพธิ์สัตว์นั้นทำให้รอยยิ้มของเหวินหยางซื่อหุบลง

ราวกลับว่าพระองค์ไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีเขาเป็นลูกชายคนแรก แม้จะเกิดจากนางรำผู้ต้อยต่ำแต่พระหน่อเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวนั้นนับว่าล้ำค่ายิ่งนัก

เหวินหยางซื่อเคยชินกับการถูกประคบประหงมเอ็นดูและรักใคร่ เมื่อเจอเข้ากับความหมางเมินนั้นเป็นครั้งแรกทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจับใจ ถึงกระนั้นเขาก็โหยหาอ้อมกอดจากผู้เป็นบิดา

ไม่คิดมาก่อนเลยว่าอ้อมกอดของบุรุษนั้นจะอบอุ่นถึงเพียงนี้ เด็กน้อยนั้นเกิดความสับสนขึ้นมาในใจ สีหน้าขององค์ชายสลับปรับเปลี่ยนไปมาอย่างรู้สึกประหลาด

เสียงกรนและลมหายใจของแพทย์ฝึกหัดที่กอดตนไว้นั้นด้วยกายที่แนบชิดทำให้เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นหาได้ชื่นชอบสตรีเยี่ยงบุรุษทั่วไป

img
สารบัญ
บทที่ 1 ลิขสิทธิ์ และคำเตือน บทที่ 2 ตัดเข้าโฆษณา บทที่ 3 ไร้ยางอาย (1) บทที่ 4 ไร้ยางอาย (2) บทที่ 5 ไร้ยางอาย (3) บทที่ 6 ไร้ยางอาย (4) บทที่ 7 ฉานฉูรับราชโองการ (1) บทที่ 8 ฉานฉูรับราชโองการ (2) บทที่ 9 ฉานฉูรับราชโองการ (3) บทที่ 10 ฉานฉูรับราชโองการ (4) บทที่ 11 ฉานฉูรับราชโองการ (5)
บทที่ 12 ฉานฉูรับราชโองการ (6)
บทที่ 13 ฉานฉูรับราชโองการ (7)
บทที่ 14 กาลกิณี (1)
บทที่ 15 กาลกิณี (2)
บทที่ 16 กาลกิณี (3)
บทที่ 17 นางไม่พูด (1)
บทที่ 18 นางไม่พูด (2)
บทที่ 19 นางไม่พูด (3)
บทที่ 20 นางไม่พูด (4)
บทที่ 21 นางไม่พูด (5)
บทที่ 22 นางไม่พูด (6)
บทที่ 23 นางไม่พูด (7)
บทที่ 24 สังเวยแพทย์ (1)
บทที่ 25 สังเวยแพทย์ (2)
บทที่ 26 สังเวยแพทย์ (3)
บทที่ 27 สังเวยแพทย์ (4)
บทที่ 28 สังเวยแพทย์ (5)
บทที่ 29 เครื่องสังเวย (1)
บทที่ 30 เครื่องสังเวย (2)
บทที่ 31 เครื่องสังเวย (3)
บทที่ 32 เครื่องสังเวย (4)
บทที่ 33 ตัวล่อ (1)
บทที่ 34 ตัวล่อ (2)
บทที่ 35 ตัวล่อ (3)
บทที่ 36 เปิดหูเปิดตา (1)
บทที่ 37 เปิดหูเปิดตา (2)
บทที่ 38 นักเล่านิทานพเนจร (1)
บทที่ 39 นักเล่านิทานพเนจร (2)
บทที่ 40 นักเล่านิทานพเนจร (3)
บทที่ 41 เหม็นเน่า (1)
บทที่ 42 เหม็นเน่า (2)
บทที่ 43 เหม็นเน่า (3)
บทที่ 44 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (1)
บทที่ 45 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (2)
บทที่ 46 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (3)
บทที่ 47 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (4)
บทที่ 48 เจ้าหุบเขาเสวี่ยและเซิน (5)
บทที่ 49 มนต์ดำ (1)
บทที่ 50 มนต์ดำ (2)
บทที่ 51 มนต์ดำ (3)
บทที่ 52 ปราบมังกร (1)
บทที่ 53 ปราบมังกร (2)
บทที่ 54 ปราบมังกร (3)
บทที่ 55 ปราบมังกร (4)
บทที่ 56 ปราบมังกร (5)
บทที่ 57 ขี่มังกร (1)
บทที่ 58 ขี่มังกร (2)
บทที่ 59 ขี่มังกร (3)
บทที่ 60 ขี่มังกร (4)
บทที่ 61 ขี่มังกร (5)
บทที่ 62 คนโปรด (1)
บทที่ 63 คนโปรด (2)
บทที่ 64 คนโปรด (3)
บทที่ 65 ตะลุมบอน (1)
บทที่ 66 ตะลุมบอน (2)
บทที่ 67 ตะลุมบอน (3)
บทที่ 68 ไม่ต้อง (1)
บทที่ 69 ไม่ต้อง (2)
บทที่ 70 ไม่ต้อง (3)
บทที่ 71 โง่เง่า (1)
บทที่ 72 โง่เง่า (2)
บทที่ 73 โง่เง่า (3)
บทที่ 74 โง่เง่า (4)
บทที่ 75 โง่เง่า (5)
บทที่ 76 อย่าหนีข้าไป (1)
บทที่ 77 อย่าหนีข้าไป (2)
บทที่ 78 ก็ไม่เลว (1)
บทที่ 79 ก็ไม่เลว (2)
บทที่ 80 ก็ไม่เลว (3)
บทที่ 81 ก็ไม่เลว (4)
บทที่ 82 ก็ไม่เลว (5)
บทที่ 83 ก็ไม่เลว (6)
บทที่ 84 สอด (1)
บทที่ 85 สอด (2)
บทที่ 86 สอด (3)
บทที่ 87 ซื่อซื่อ (1)
บทที่ 88 ซื่อซื่อ (2)
บทที่ 89 ซื่อซื่อ (3)
บทที่ 90 ซื่อซื่อ (5)
บทที่ 91 ชายแก่ (1)
บทที่ 92 ชายแก่ (2)
บทที่ 93 ชายแก่ (3)
บทที่ 94 ชายแก่ (4)
บทที่ 95 จุก (1)
บทที่ 96 จุก (2)
บทที่ 97 จุก (3)
บทที่ 98 เหี่ยว (1)
บทที่ 99 เหี่ยว (2)
บทที่ 100 เหี่ยว (3)
img
  /  2
img
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY