ตะวันใกล้ตกดิน ปรากฏสีแดงฉานสาดชโลมบนท้องฟ้า ลมพัดโชยมาเอื่อย ยามที่สองหนุ่มก้าวเท้าย่างพ้นธรณีประตูโรงเตี๊ยม เกิดเสียงกระทุ้งไม้ขักขระดังสนั่นลั่นเสียงบ่วงทองคำกระทบขึ้นมาตามทาง
บุรุษต่างแดนก้าวเยื้องย่างขนาบข้างกับชายผู้เดินกระทุ้งไม้แขวนภาพวาดประกอบการเล่านิทาน เสียงบ่วงทองคำกระทบอีกหน ฟู่เยว่ผงะพลันคล้ายว่าสายลมชักนำให้ตนเหลียวหลังไปมอง
ดวงตามารหนุ่มจดจ้องบุรุษผู้นั้นแน่นิ่งคล้ายต้องมนต์แม้ผู้คนจะเดินขวักไขว่
ร่างสูงสง่าสวมอาภรณ์คล้ายนักพรต เกล้ามวยผมขึ้นคลุมผ้าปกลงมา มือข้างหนึ่งกำไม้ขักขระ มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงลูกประคำ
แม้นว่ารูปโฉมจะเป็นชายรูปงามใบหน้าสงบนิ่งงันคล้ายซึมซาบรสพระธรรมมาอย่างเต็มเปี่ยม แต่กลิ่นอายมารกลับโชยคลุ้งออกมาอย่างเข้มข้น
ที่สำคัญ แม้นเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ตนยังพอจะจดจำได้
ไต้ซือผู้นี้เคยเป็นเทพเซียนปราบมารมาก่อนอีกทั้งยังเป็นถึงผู้กำราบอสูรโลหิตลงได้ หากลงมาจุติเพื่อแสวงหาทางธรรมยังพอเข้าใจได้ แต่ไฉนกลิ่นสาปมารถึงคาวคลุ้งเช่นนี้ได้กัน!
“หนึ่งมาร หนึ่งอสูรกาย” เสียงทุ้มนั้นกล่าวออกมาเพียงที่จะให้พวกเขาทั้งสองได้ยินยล หากแต่เหล่าประชาชีล้วนหันขวับมองจับจ้องมาเป็นตาเดียว
“ให้ข้ากำจัดพวกเจ้าทิ้งหรือยอมจำนน จงเลือกมา”
เยี่ยเซินสบตานักบวชผู้นั้นนิ่งงัน ผู้คนขวักไขว่เดินสวนไปมาต่างเหลียวมองโฉมหน้าของชายทั้งสอง ดูท่าเจ้าต่างถิ่นร่างกำยำสูงใหญ่กำลังถูกไต้ซือว่ากล่าวตักเตือนเป็นแน่
สองเท้าของร่างใหญ่สาวเข้าไปใกล้ หยุดยั้งเมื่อห่างเพียงไม่กี่วา ประจันหน้ากันอย่างลองเชิง ด้วยส่วนสูงของนักพรตผู้นี้ต่ำเตี้ยกว่าตนนั้นจึงได้หัวเราะออกมาดังลั่น
“ไปเถิดเยี่ยเซิน” เจ้านักเล่านิทานเอ่ยอย่างร้อนรน ฝูงชนเริ่มให้ความสนใจพวกตนประหนึ่งฉากแสดง
ท่าทีไม่ชอบมาพากลของนักบวชผู้นี้ทำให้ฟู่เยว่หวาดหวั่น
กลิ่นมารแผ่คลุ้งไม่เจือจางชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ราวกับว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับผู้นำเหล่าทัพมารก็มิปาน
เยี่ยเซินล้วงมือเข้าสาบเสื้อหยิบพวงเหรียญทองแดงออกมาโยนตกหล่นไปข้างหน้าใกล้ปลายเท้าของบุรุษเพศบรรพชิต
“เอ้า เอาไปเสีย นักบวชก็คือขอทานมิใช่รึ”
มารหนุ่มหน้าซีดเผือด สบถด่าสหายของตนว่าโง่เง่าที่ไปยั่วโทสะมันเข้า