หลังจากหายตัวไปสามปี หนานจืออินพาลูกชายกลับมา เพื่อสืบทอดทรัพย์สินของมารดา หนานจืออินแต่งงานกับโปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง แต่หลังแต่งงาน หนานจืออินปรากฏว่ายิ่งอยู่ด้วยกันต่อไปยิ่งรู้สึกมีอะไรพิกล "ทำไมคุณยังไม่ไปทำงานเหรอ นี่ก็สิบโมงแล้วนะ" "การทำงานด้านไอที เวลาไม่ตายตัวหรอกน่ะ" "ฉันว่าเบื้องหลังของนักธุรกิจชื่อดังในทีวีคนนั้นเหมือนคุณมาก" "คุณมองผิดไปแน่ ที่รัก" "กระเป๋าที่คุณซื้อให้ฉันเหมือนรุ่นใหม่ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งแป๊ะเลย" "มันเป็นของก็อปน่ะ ซื้อมาแคห้าร้อย" หนานจืออินเชื่อในสิ่งที่สามีพูดโดยไม่ต้องสงสัย แต่พอเดินไปถึงหน้าห้างห้างหนึ่งซึ่งกำลังทำโปรโมชั่นอยู่ เธอก็ต้องตกตะลึกเมื่อเห็นว่าสามีของตัวเองกำลังถูกต้อนรับให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวปราศรัย หลังจากสิ้นสุดกิจกรรม ชายหนุ่มขอร้องให้หนานจืออินให้อภัย หนานจืออินโกรธเป็นอย่างมาก"กู้จิ่งเฉิน คุณยังมีเรื่องอะไรที่ยังปิดบังฉันอยู่?" "คือ...เรายังมีลูกด้วยกันสองคนนะ" "......"หนานจืออินตกตะลึกอีกครั้ง ทำไมลูกฉันฉันกลับไม่รู้ด้วย? ปรากฎว่าหลังจากมองแวบเดียว คุณก็กลายเป็นทั้งชีวิตของฉันไปแล้ว
“หนานจืออินใช่ไหม คุณตั้งครรภ์แล้ว” สูตินรีแพทย์พูดขึ้น
“...” ว่าไงนะ
หนานจืออินถลึงตาโต รู้สึกไม่อยากเชื่อ
ตัวเองไม่มีแฟน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามด้วย แล้วจะท้องได้ยังไง
ขณะที่หนานจืออินกำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั้น หนานซีซี น้องสาวต่างแม่ที่อยู่ไม่ไกลก็เอามือปิดปากพร้อมกับส่งเสียงร้อง “ว้าย” ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ “พี่ ฉันยังนึกว่าพี่กินของผิดสำแดงที่บ้านเสียอีก ถึงได้มาที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนกับพี่ คิดไม่ถึงว่าจะตั้งท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานแบบนี้ ไม่ได้การแล้ว แบบนี้มันน่ากลัวเกินไป ฉันต้องบอกพ่อกับแม่”
หนานซีซีพูดจบก็รีบโทรศัพท์ทันที
“...” หนานจืออินอึ้งตะลึงไปอีกครั้ง
ตอนที่หมอมองไปหาหนานจืออินในครั้งนี้ สายตาแปลกประหลาด แต่ก็ยังพูดเตือนขึ้นมา “ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ทางสุขภาพของคุณไม่เสถียรอย่างมาก มีความเสี่ยงในการแท้งบัตรสูงมาก นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้มีบุตรไม่ได้อีกตลอดชีวิต คลอดเด็กออกมาจะดีที่สุด”
หนานจืออินมองไปหาหมอ รู้สึกสับสนงงงวย
พอกลับมาถึงตระกูลหนาน หนานจืออินก็ได้ยินคำพูดตำหนิติเตียนของพ่อกับแม่เลี้ยง
“แกมันไอ้เด็กหน้าไม่อาย ฉันไม่มีลูกสาวแบบแก” หนานเหวินซานโมโหเกรี้ยวกราด
“เห้อ ทำให้ประเพณีอันดีงามของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียจริง ๆ ” สวีซิ่วลี่ทอดถอนใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ตระกูลของพวกเรากับตระกูลเจียงที่สูงศักดิ์ร่ำรวยมีข้อตกลงการแต่งงานกัน ก่อนหน้านี้นายท่านบอกว่าจะให้หนานจืออินแต่งเข้าไปในตระกูลเจียง แต่ว่าตอนนี้... นี่มัน...”
สวีซิ่วลี่อยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ ท่าทางหมดหนทาง
หนานเหวินซานพูดตอบ “เธอไม่คู่ควร ให้ซีซีแต่งเข้าไปในตระกูลเจียงแทน”
พอคำพูดนี้ออกมา สวีซิ่วลี่ก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะหันไปสบตากับลูกสาวสุดที่รักที่อยู่ไม่ไกล
หนานซีซียิ้มให้กับแม่อย่างดีอกดีใจ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเห็นดีเห็นชอบ “ได้เลย ๆ หนูชอบพี่หยานจือมาโดยตลอด”
หนานเหวินซานพยักหน้า เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้เลย จากนั้นก็ตามมาด้วยคำดุด่าของหนานจืออินอีกหนึ่งชุด
หนานจืออินไม่สนใจกับคำดุด่าว่ากล่าวและข้อตกลงการแต่งงานที่พวกเขาพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ในหัวเอาแต่รู้สึกสับสนกับเรื่องตั้งท้องอยู่ตลอดเวลา
ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่พอจะนึกได้ในตอนนี้ ก็คือตอนที่ตัวเองดื่มไวน์ไปหนึ่งแก้วแล้วเริ่มเมาเล็กน้อยในงานปาร์ตี้เพื่อนร่วมชั้นเมื่อสามเดือนก่อน
หลังจากที่หนานเหวินซานและสวีซิ่วลี่ดุด่ามานานมากแล้ว พอเห็นว่าหนานจืออินไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ได้หักล้างด้วยเหมือนกัน จึงหมดอารมณ์ไม่ดุด่าต่ออีก ก่อนจะไปดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนกับหนานซีซี ลูกสาวสุดที่รัก
ตอนนี้ในโทรทัศน์กำลังออกอากาศข่าวซุบซิบ “ก่อนหน้านี้ทายาทของตระกูลกู้ ตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลร่ำรวยถูกศัตรูคู่อาฆาตตามไล่ล่า ตามตัวถูกแทงหลายแผล ตอนนี้หายสาบสูญไปสามเดือนกว่า ทางตำรวจกับตระกูลกู้พยายามตามหาอย่างสุดกำลัง จนถึงตอนนี้ร่องรอยเบาะแสยังคงไม่แน่ชัด...”
...
สามปีต่อมา ตรงทางออกสถานีรถไฟของเมืองเป่ย หนานจืออินที่รูปร่างผอมบางใส่เสื้อกันลมที่ดูภูมิฐาน ผมดำสั้นประบ่า แต่งหน้าเบา ๆ ทำให้ใบหน้าดูสวยงามละเอียดอ่อน มือหิ้วกระเป๋าเดินทางสีขาวขนาดใหญ่ มืออีกข้างจูงมือเด็กชายตัวน้อยหนึ่งคน
เด็กชายใส่ชุดยีนส์ของเด็กดูหล่อเท่ เขาพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหน่อมแน้ม “หม่ามี๊ พวกเราจะไปหาแม่บุญธรรมตอนนี้เหรอฮะ”
“ไม่ใช่ พวกเรากลับไปที่โรงแรมกันก่อน แล้วตอนค่ำถึงค่อยไปหาแม่บุญธรรมชองลูก” หนานจืออินตอบลูกชาย
ที่ตัวเองกลับมาในครั้งนี้เพราะว่ามีธุระสำคัญที่อยากจะจัดการ เดี๋ยวกลับไปวางกระเป๋าที่โรงแรมเสร็จแล้วก็ต้องไปทำธุระ นอกจากนี้ก่อนที่จะกลับมาก็นัดกับตงเจียเว่ย เพื่อนสาวไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปพบปะกินข้าวกันในคืนนี้
“ได้เลยฮะ” เด็กชายตัวน้อยตอบรับอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
หนานจืออินพาลูกชายเดินไปที่ป้ายรอแท็กซี่ เตรียมขึ้นรถไปยังโรงแรม แล้วไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีคนสองคนกำลังจ้องมองพวกเธอจากที่ไม่ไกลอยู่ตลอดเวลา
ตรงบริเวณข้างป้ายโฆษณา มีผู้ชายเสื้อสูทรองเท้าหนังสองคน หนึ่งในนั้นรูปร่างสูงใหญ่ดูดีมีราศี แว่นกันแดดปิดบังไปเกือบทั้งหน้า สายตามองที่ตัวของหนานจืออินและเด็กชายตัวน้อย รู้สึกปั่นป่วนอยู่ภายในใจ
“คุณชายสี่ คุณหนานกับคุณชายน้อยน่าจะไปโรงแรมนะครับ” เหออัน ผู้ช่วยพูดรายงานที่ข้างหูของเจ้านาย
เมื่อวานตัวเองตรวจสอบมาแล้วว่า คุณหนานได้ทำการจองโรงแรมที่เมืองเป่ยเอาไว้เป็นเวลาสองวัน
เขาได้ยินแล้วแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ยังคงจ้องมองเงาหลังของทั้งสองคนอยู่แบบนั้น
จนกระทั่งร่างนั้นหายไป เขาถึงได้เปิดปากพูดขึ้น “ไปโรงแรม”
บนรถแท็กซี่ หนานจืออินอุ้มลูกชายที่กำลังนอนหลับอยู่ สายตาค่อย ๆ เลื่อนจากหน้าของลูกชายออกไปข้างนอกหน้าต่าง มองวิวทิวทัศน์ของเมืองที่เลื่อนผ่านไป เริ่มค่อย ๆ จมดิ่งอยู่ในความคิด
สามปีก่อน หลังจากที่ตัวเองตั้งท้องก็ถูกพ่อกับแม่เลี้ยงไล่ออกมาจากตระกูลหนาน เนื่องจากปัญหาสุขภาพทำให้ไม่สามารถเอาเด็กออกได้ ทำได้แค่บากหน้าไปขอพึ่งพิงคุณน้าที่ชนบท
ตอนที่ทำการตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง ตัวเองถึงได้รู้ว่าตั้งท้องแฝดสาม แต่ในวันที่คลอด เนื่องจากว่าคลอดยากทำให้ต้องผ่าคลอด สุดท้ายเด็กสองคนแรกก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ เพิ่งจะคลอดออกมาก็หยุดหายใจไปแล้ว มีเพียงแค่เด็กคนสุดท้ายที่มีชีวิตรอดปลอดภัย
ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังคลอด เธอร้องไห้ฟูมฟายเนื่องจากตัวเองสูญเสียลูกไปตั้งสองคน แต่พอคิดว่าชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ยังมีลูกที่ต้องให้ตัวเองคอยเลี้ยงดูจนเติบโตอยู่อีกหนึ่งคน ดังนั้นเธอจึงเข้มแข็งลุกยืนหยัดใช้ชีวิตต่อไป
สามปีมานี้ เคยลำบาก เคยร้องไห้ เคยเหน็ดเหนื่อย แต่โชคดีที่คุณน้าดูแลเอาใจใส่ลูกชายของตัวเองอย่างมาก ลูกชายก็เป็นเด็กน่ารักเชื่อฟัง ตัวเองรู้สึกปลื้มปีติและปลอบโยน ชีวิตก็ถือว่าพอจะสมดั่งความปรารถนาอยู่บ้าง
ตอนนี้ ตัวเองแค่หวังว่าลูกชายจะเติบโตอย่างแข็งแรงและปลอดภัย เรื่องอื่น ๆ ในชีวิตก็พยายามให้ได้ดั่งใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากที่มาถึงโรงแรมไรน์ หนานจืออินก็ปลุกลูกชาย ทั้งสองคนลงจากรถเตรียมจะเข้าไปในโรงแรม ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของหนานจืออินก็ดังขึ้นมา
พอเห็นว่าตงเจียเว่ยเป็นคนโทรมา หนานจืออินก็รีบพูดกับลูกชายทันที “มู่มู่ หม่ามี๊คุยโทรศัพท์ก่อนนะ อย่าวิ่งเถลไถลไปไหนล่ะ”
“ได้ฮะ ผมจะไปดูดอกไม้ตรงนั้น” มู่มู่ตัวน้อยพูดจบ ก็วิ่งตรงไปยังซุ้มดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล
หนานจืออินมองตัวของลูกชาย อยู่ในสายตาของตัวเอง จึงไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอะไรอีก ก่อนจะรับโทรศัพท์
“อินอิน เธอกับมู่มู่ถึงเมืองเป่ยแล้วเหรอ” ตงเจียเว่ยที่อยู่ในสายพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ถึงแล้ว เว่ยเว่ย พวกเราเพิ่งจะมาถึงโรงแรม อีกเดี๋ยวทำเรื่องเข้าพักเสร็จแล้วฉันจะไปทำธุระที่ซูเฉิง กรุ๊ป” หนานจืออินพูดตอบ
ซูเฉิง กรุ๊ปเป็นบริษัทที่คุณตาทิ้งไว้ให้กับแม่เมื่อตอนนั้น แม่เคยบอกว่ารอตนเองโตแล้วจะให้ตนเองมารับช่วงบริหารต่อ แต่ต่อมาหลังจากที่แม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุพ่อก็มาบริหารบริษัทแทน เป็นแบบนี้มาโดยตลอดหลายปีมานี้
ช่วงนี้ มีข่าวรายงานว่าพ่อจะขายซูเฉิง กรุ๊ปแล้วจดทะเบียนบริษัทใหม่ นิติบุคคลคือแม่เลี้ยง ดังนั้นตนเองจึงจำเป็นต้องมาขัดขวาง
ตนเองจะไม่ยอมให้ทรัพย์สมบัติที่คุณตาเหลือทิ้งไว้ให้ถูกขายทิ้งไปแบบนี้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นเงินก็ยังยกให้กับสวีซิ่วลี่อีกด้วย ไม่มีทางอย่างแน่นอน
“อื้อ ไปเอาของที่เป็นของเธอกลับคืนมาทั้งหมด ฉันสนับสนุนเธอ” ตงเจียเว่ยที่อยู่ในสายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“อื้อ” หนานจืออินยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อ
ทางด้านซุ้มดอกไม้ หลังจากที่มู่มู่ตัวน้อยดูดอกไม้ไปสักพัก ก็เห็นคุณปู่คนหนึ่งที่กำลังขายลูกโป่งตัวการ์ตูนอยู่ เขาอยากที่จะวิ่งไปดูด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
แต่ในขณะที่มู่มู่ตัวน้อยเพิ่งจะวิ่งไปได้สองก้าว ก็เห็นรถจักรยานคันหนึ่งขับตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วจากที่ไม่ไกล จากนั้นก็มีเสียงที่รีบร้อนลนลานดังขึ้นมาที่ข้างหู
“ระวัง”
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀