“โอ๋ๆ เจ็บหรอ งั้นทีหลังต้องเป็นเด็กดี ห้ามเถียงรู้มั้ยคะ หืม...” นิรดาสอนเด็กโข่งเสียงอ่อนเสียงหวาน ก่อนจะจับแก้มสากหันไปมาแรงๆ แววตาสะใจสบกับแววตาโกรธแค้นของชายหนุ่มอย่างไม่ยี่หระ ----------------- “ก็หนูชอบว่าพี่โรคจิตหื่นกามไม่ใช่เหรอ พี่ก็อยากลองเป็นแบบที่หนูว่าอยู่เหมือนกัน หนูไม่ชอบคนใจดีนี่ ใช่ไหม” เขาย้อนถาม ---------------- “นุ่มจ๋า...” “อาราย นุ่มง่วงแล้วน้า...” ว่าเสียงยานคาง พร้อมทั้งปัดป่ายมือบางไปมาบนอกแกร่ง “หม่ำๆ ทีสิคะ” “หือ!” นิรดาตาสว่างขึ้นมาทันใด ความงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้ง “ไม่เอา!” “น่านะ นิดเดียว” “ไม่เอา นุ่มขี้เกียจ” หญิงสาวพลิกกายหนีไปอีกด้านอย่างคนงอแง แม้ในใจกำลังลุ้นระทึกตึกๆ อยู่ก็ตาม “นิดเดียวนะ ให้พี่หม่ำหน่อย” “เดี๋ยวก็เป็นตาแก่บ้ากามจริงๆ หรอก” “บ้าก็บ้าสิ หันมานี่สิคะคนดี” ธารนทีพยายามดึงผ้าห่มหนาที่กลายเป็นที่ซ่อนตัวให้คนตัวเล็กออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่ออีกคนงอแงไม่ยอมท่าเดียว “อย่า ตัวหม่ำไปเยอะแล้ว” “ก็วันนี้ยังไม่ได้หม่ำเลยนี่ น่า นิดเดียว เอ้! หนูนุ่มนี่ อย่าดื้อสิคะ” เขาจับเธอพ้นออกมาจนได้ สายตาตรึงบังคับไม่ให้ขยับหนี แล้วพ่อตัวดีก็ค่อยๆ...
เธอทั้งดื้อทั้งซน และเขาก็บอกตัวเองว่า จะกำราบเธอให้อยู่หมัด
------------
ใบหน้าน่ารักที่เชิดขึ้นอย่างเย่อหยิ่งถือดี และไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อคำบอกคำสอนใดๆ นั้น แทบจะทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทะยานเข้าไปฉุดให้ลุกขึ้นยืนและฟาดไม้เรียวลงบนสะโพกงอนๆ งามๆ สักสองสามที เผื่อแม่ตัวดีจะสำนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง ไม่ใช่มีแต่หาเรื่องหาราวให้เขากับภรรยาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าหลายครั้งหลายคราอยู่แบบนี้
นนท์ สิริลดาวงศ์ เป็นคุณพ่อวัยเกือบกลางคนที่ยังคงหนุ่มแน่นของเด็กสาวคนที่กำลังนั่งกอดอกอยู่ตรงหน้า ยัยตัวแสบของเขากลอกตาไปมาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าตีมากๆ
ทั้งที่เขาไม่เคยเลี้ยงดูแบบตามใจอะไรมากเลยสักนิด แต่ทำไมยัยลูกบังเกิดเกล้าคนนี้ถึงได้ดื้อรั้น ไม่ฟังใคร เอาแต่ใจ แถมยังเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่แบบสุดๆ อีกต่างหาก
เชื่อเถอะว่าถ้า นิตยา ภรรยาคนสวยของเขา กลับมาจากข้างนอกแล้วได้รู้เรื่องราวที่ลูกสาวสุดที่รักไปก่อเอาไว้ คงได้เป็นลมล้มพับไปแน่ๆ
“ที่พ่อพูดพ่อบอกไปเนี่ย เราไม่สนใจฟังเลยใช่มั้ยหนูนุ่ม”
ผู้ชายอบอุ่นที่สุดของบ้านเอ่ยถามอย่างระงับอารมณ์ฉุนเฉียว แน่นอนว่าโดยพื้นฐานนิสัย เขาไม่ใช่คนใจเย็นอะไรมากมาย เพราะอย่างนั้นเชื้อใจร้อนและเจ้าอารมณ์จึงถ่ายทอดไปยังสายเลือดคนนี้ได้เต็มที่ เรียกว่าเต็มที่เกินไปด้วยซ้ำ
“นุ่มฟังค่ะ ก็คุณพ่อบังคับให้นุ่มนั่งฟังนิ่งๆ ไม่ให้เถียง ไม่ให้ไปไหน แล้วคุณพ่อจะมาว่านุ่มไม่ตั้งใจฟังทำไมคะ”
หนูนุ่ม หรือ นางสาวนิรดา สิริลดาวงศ์ วัยสิบแปดปี เถียงออกมาในที่สุด หลังจากนั่งฟังพระบิดาเทศนาไปหลายกัณฑ์
“แล้วจะปรับตัวใหม่มั้ย รับปากพ่อก่อนว่าจะไม่ทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อีก”
“นุ่มไม่รับปากอะไรทั้งนั้นค่ะ ถ้าใครกล้ามาหือหรือรังแกนุ่ม นุ่มไม่ปล่อยมันไว้ทั้งนั้น”
สาวน้อยคนงามเริ่มหน้าบูดเป็นตูดเป็ดเมื่อถูกตำหนิซ้ำๆ ซากๆ ในสิ่งที่เธอคิดว่าไม่ได้เป็นความผิดของตนทั้งหมด หรือหากจะผิด เธอก็ไม่ชอบเลยสักนิดที่จะต้องโดนดุ แม้ท่าทีจะยียวนเหมือนไม่ได้เกรงกลัวบทลงโทษของบิดา แต่ทว่าในใจนั้นลุ้นยิ่งกว่าผลสอบโอเน็ต
แอบปรายสายตามองไปยังไม้เรียวที่ถูกเก็บไว้ในซอกหนึ่งของห้องรับแขกเป็นระยะ ภาวนาว่าขอพ่ออย่าได้เดินไปหยิบมันมาวางใกล้เธอเลย
“หนูนุ่ม...พ่อเตือนเราแล้วนะ” เสียงบิดาเย็นยะเยือกจนขนบนผิวกายบางใสลุกซู่
ไอ้กลัวก็กลัวอยู่ แต่จะให้ยอมแพ้แม่สาวน้อยก็คิดหนัก เธอไม่ได้เป็นคนผิดก่อนจริงๆ นี่ ที่ทำไปน่ะมันสมควรแล้ว
“ถ้าคุณพ่อจะตีนุ่ม ก็ตีเลยค่ะ ยังไงนุ่มก็จะไม่สำนึก และไม่มีทางไปขอโทษมันด้วย นุ่มไม่ผิด” ลองเสี่ยงดู จ้างให้พ่อก็ไม่กล้าตีหรอก ไม้เรียวมีไว้แค่ใช้ขู่หรอกน่า แต่ดูท่า…เธอคงคิดผิด
ร่างสูงผุดลุกขึ้น เดินลิ่วๆ ไปฉวยไม้เรียวยาวขนาดใหญ่เท่าสายไฟเตารีดแล้วเดินกลับมาทันที ใบหน้าที่ยังมีเค้าความหล่อเหลาไม่จาง แดงก่ำด้วยถึงซึ่งจุดเดือด เขาไม่คิดเลยว่าลูกสาวสุดที่รักที่ใครต่างมองว่าเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์แสนดีจะร้ายกาจและแย่ถึงเพียงนี้ ทั้งที่มีพ่อและแม่คอยสั่งสอนสิ่งดีๆ เสมอมา
“ลุกขึ้นมา ในเมื่อพูดไม่ฟัง พ่อก็จะไม่ใจดีกับเราอีก”
เสียงประกาศิตที่เอ่ยกร้าวออกมา ทำให้ใบหน้าที่เชิดอยู่ก่อนนั้นหดลงจนเหลือไม่ถึงสองนิ้ว เอาจริงหรือนี่!
“พ่อบอกให้ลุกขึ้น!” นนท์ประกาศกร้าว ความโมโหโกรธาที่เลี้ยงลูกไม่ได้ดั่งใจ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของความเจ็บปวดในหัวอกพ่อ ที่รู้สึกว่าตนเลี้ยงลูกมาได้ไม่ดีพอ นิรดาจึงก่อปัญหาให้ตามแก้ไม่จบไม่สิ้น
ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!
ภาคต่อ ดื้อรัก (เด็กดื้อ) แต่แยกอ่านได้ไม่งงนะคะ * เด็กเอ๋อแถมสติไม่สมประกอบ ที่กำลังก่อกวนให้หัวใจคนไม่เอาถ่านเต้นไม่เป็นจังหวะ * “พี่โจมองอะไรเหรอคะ” “มองคน” “หนูไม่เห็นใครเลย” เพราะนิรตานั้นไม่ได้สนใจอะไร เธอจึงไม่คิดฟังว่าใครพูดถึงใคร ต่างกับเตชัสผู้ถูกพาดพิงที่ได้ยินชัดแจ๋วเต็มสองรูหู “เมื่อกี้มันมีคนบ้าแอบนินทาพี่” “นินทาคืออะไร...” “พูดถึงลับหลังในทางที่ไม่ดี” “ก็เลยโกรธเหรอคะ” “ใช่” “พี่โจต้องไม่โกรธนะคะ โบราณเขาถือว่า โกรธคือโง่ โมโหคือโง้โง่ค่ะ” ----------------- “เอาใหญ่แล้วนะหนูนิ่ม เห็นพี่ยอมหน่อยแล้วไม่เกรงใจ เดี๋ยวเหอะ” “ก็พี่โจ...” นิรตาทำท่าจะเถียง ก่อนจะหน้าหงอยลงเมื่อเขาทำหน้าดุใส่ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ “เดี๋ยวจะโดน ไม่โดนสักทีไม่ดีขึ้นเลย” “โดนอะไรคะ” “ไม่บอก” นิรตาได้ยินเช่นนั้นก็จะลุกขึ้นเพื่อว่าจะกลับบ้าน แต่เตชัสก็คว้าเอวเธอไว้และดึงให้นั่งลงบนตักแกร่งเสียก่อน แม้สาวน้อยจะพยายามดิ้นบิดกายออกห่าง แต่เขาก็กระชับอ้อมแขนกอดรัดแน่นขึ้น “โกรธเหรอ...โกรธคือโง่ โมโหคือโง้โง่นะ” ว่าจบก็หัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อเห็นใบหน้าหวานสวยนั้นงงงวยผสมกับความมุ่ยๆ เหมือนงอนๆ ใบหน้าของนิรตาตอนนี้ทำให้เขาบรรยายไม่ถูก รู้แต่ว่าเห็นแล้วขำอีหลี * ซีรีส์ในชุดยังไงก็รัก 1. ดื้อรัก (เด็กดื้อ) - ตีพิมพ์และวางแผง ต.ค.2560 (ทำมือ) #6 2. เอ๋อรัก (เด็กบ๊อง) - ตีพิมพ์และวางแผง ก.ค.2566 (ทำมือ) #16 3. รักนะคะคนเถื่อนของฉัน - ตีพิมพ์และวางแผง ส.ค.2559 (ทำมือ) #5
ดันรัก (เจ้จ๋า+ไอ้เป๊ก) “ผมชอบแบบนี้ ชอบสาวอวบ” “เค้าอ้วนหรอ” รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าสวยจางลงไป เมื่อได้ยินแบบนั้น ทำให้กังวลขึ้นมาอีกว่าตัวเองอ้วนเผละขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร “เปล่า ไม่ได้อ้วนเลย แต่อวบตรงนี้” เขาขยำมือลงไปตรงจุดที่ว่า อวบตรงนี้ ทำเอาคนโดนกระทำต้องบิดกายหลบน้อยๆ ด้วยความเขินอาย “อวบเป็นส่วนๆ อะ” “คนบ้า ปล่อยเลยนะ” จารุณาพยายามดึงมือเขาออกจากจุดอันตรายช่วงบน แต่ดูเหมือนคนที่เด็กกว่าจะไม่นำพาแรงขัดขืนเท่ามดนั้น -------------------- ดันรัก 2 (พิกเจอร์+ป๊อกจี้) “งั้นสัญญากับพี่ได้ไหมคะ ว่าต่อไปนี้จีจี้จะไม่เอาแต่ใจ แล้วจากนี้และตลอดไปก็จะให้พี่เอาแต่เรา” เปรมยุดายกมือขึ้นปิดปากหยักทันทีเมื่อเขาเอ่ยจบ เกรงว่าจะได้ฟังคำพูดห่ามๆ อย่างอื่นอีก นี่มันคืนแต่งงานบ้านไหนเนี่ย เธอต้องมานอนตัวแดงหน้าแดงฟังเขารำพันอะไรเสี่ยวๆ “อายอะไร พูดความจริง ตอบมา สัญญา” รัตนทัตไม่ยอมให้แม่เมียตัวน้อยปฏิเสธ และระหว่างที่เธอเม้มปากแน่นไม่ยอมเอื้อมเอ่ย มือหนาก็ลูบไล้ไล่สัมผัสไปถึงไหนต่อไป คนที่ตั้งใจว่าจะไม่คุยกับเขาแล้วเพราะกลัวเขาจะพูดทะลึ่งตึงตังเลยจำต้องอ้าปาก “พี่พิก พอแล้วค่ะ” ประท้วงเขาเบาๆ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นตรงข้ามกับคำที่บอกเธอว่าเหนื่อยและไม่มีแรงไปมากโข “พออะไรครับ หืม” ยังจะมาย้อนถามอีกนะคนบ้ากามนี่! ก็รู้ว่าเขามีสิทธิ์ ไม่ได้คิดจะปฏิเสธความต้องการของเขาหรอก แต่เปรมยุดาอยากรู้จริงๆ ว่าผู้ชายเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า หรือเฉพาะพี่พิกเท่านั้น เลยอดถามเขาไม่ได้ว่า “ทำไมพี่พิกถึงได้หมกมุ่นกับเรื่องบนเตียงจังคะ” “งั้นเปลี่ยนไปที่ระเบียงไหมล่ะ”
"จะออกไปไหนน่ะเล่ย์ ข้างนอกอากาศเย็น เล่ย์ไม่สบายอยู่นะ" เธอบอกเสียงอ่อนโยน "เรื่องของเล่ย์ เล่ย์ก็จะไปตามประสาคนโสด" เขาตอบอย่างงอนๆ "เป็นอะไรอีกฮะ อย่ามาเอาแต่ใจกับลินนะ ลินไม่ชอบ" บอกเสียงเข้ม พลางจ้องหน้าเขาเขม็ง "ใครจะไปดีเหมือนไอ้นพล่ะ" "หยุดพูดถึงนพแบบนั้นนะ ทำไมเล่ย์ต้องพาดพิงถึงเค้า" "เล่ย์เป็นเพื่อนลิน เล่ย์ก็ต้องพูดถึงแฟนลินได้สิ ทำไม หรือเพื่อนคนนี้มันไม่มีสิทธิ์ ใช่สิ เล่ย์มันก็แค่เพื่อนนี่ เพื่อนที่ลินไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา" เขาว่าเธอระรัวอย่างที่ไม่เคยทำมานานแล้ว "นี่เล่ย์ไปกันใหญ่แล้วนะ นพเค้าไม่ใช่แฟนลิน นพเค้ามีคนรักอยู่แล้ว ทำไม เป็นเพื่อนลินมันไม่ดีตรงไหน หรืออยากจะเปลี่ยนจากเพื่อนเป็นผัวหรือไง ฮะ" พัฒนะอ้าปากค้าง หน้าขึ้นสีเข้มขึ้นมาทันใด เมื่อเจอคำพูดตรงไปตรงมาแบบนั้น ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นเรียบเฉย เมื่อเข้าใจว่าเธอแค่หวง กลัวเขาจะไปเที่ยวเตร่เดินควงสาวอื่นๆ เหมือนที่แล้วๆ มา ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งมากมายกว่านั้น
“เป็นอะไร” เธอหันไปมองหน้าเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ยังจะกล้ามาถามอีก! “พิมพ์ต่างหากที่ต้องถามคุณว่าคุณเป็นอะไร ทำไมต้องทำกับพิมพ์แบบนี้ พิมพ์ทำอะไรผิด” “ก็แต่งด้วยแล้วก็น่าจะพอใจ ยังจะต้องการอะไรอีก ทำไมแค่นี้ก็ต้องคิดเล็กคิดน้อย” “พิมพ์ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย พิมพ์แค่ไม่เข้าใจ” “แล้วต้องการเข้าใจแบบไหน คิดเองเออเองจบแล้วนี่” เขาสวนกลับรวดเร็วจนเธออ้าปากค้าง ก็จริง เธอไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ไม่เลยจริงๆ ตอนนี้เขาเหมือนคนแปลกหน้า ไม่ใช่คนที่เธอเคยรู้จักมาตลอดอีกแล้ว “งั้นเราก็คงไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีกแล้วค่ะ” เธอว่าก่อนจะลุกเดินหนีเขาเข้าไปในห้องนอน “ฮันนี่ ฟังผมก่อน” เขาตามมากระชากแขนไว้ให้เธอหยุดเดิน แต่เธอก็สะบัดออกและถอยห่างจากเขา “ไม่! พิมพ์จะกลับบ้าน พิมพ์ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วินาทีเดียว ฮือๆ” เธอตะโกนใส่หน้าเขาพร้อมอาการสะอึกสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง หันหลังเตรียมจะเดินไปที่โซนแต่งตัว เพื่อเก็บเสื้อผ้า ของที่เป็นของของเธอจริงๆ ที่ไม่ใช่สิ่งที่เขาซื้อให้ พิมพ์อรตั้งใจว่าจะขนกลับไปที่บ้านให้หมด ให้มันจบๆ กันไป แต่โซนิคที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า เดินมากระชากข้อมืออีกครั้งและตวาดด้วยความฉุนเฉียว “จะไปไหน!” “ปล่อยพิมพ์นะ อย่ามาทำกับพิมพ์เจ็บๆ แบบนี้ คุณไม่มีสิทธิ์” คำพูดของเธอทำให้เขาตาลุกวาว “ไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ ดี! ก็ให้มันรู้ว่าผัวอย่างผมจะแตะต้องคุณไม่ได้” เขาว่าเสียงดุดันพร้อมกับกระชากร่างงามเข้ามาปะทะอกกว้าง แล้วรวบกอดเอาไว้แน่น
“ดีจัง” ซีลีนาผงกหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เขา พร้อมทั้งคำพูดแปลกๆ เหมือนจะเป็นคนละเรื่อง ทำให้คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ “ซินนี่ดีใจจังที่คุณห่วงซินนี่ คราวหลังถ้าซินนี่น้อยใจคุณอีก ซินนี่จะแกล้งกลับบ้านดึกๆ คุณจะได้รอและก็เป็นห่วง” ป้าบ! มือหนาฟาดลงบนสะโพกเด้งๆ นั้นทันทีที่หญิงสาวพูดจบ กวนประสาทจริงๆ ทำให้ชาวบ้านเขาอดหลับอดนอนยังไม่สำนึกอีก “อื้อ เจ็บ อย่าตีสิคะ จับตรงนี้ดีกว่า” มือบางจับมือหนาลงมาวางแหมะลงบนภูเขาก้อนใหญ่ ก่อนที่ฝ่ายสามีจะรีบชักมือออกหนี ไม่ต่างจากเจอของร้อน ตกใจเพื่อ? พิลึกจริงเชียว ก็จับอยู่ทุกวัน “ไปอาบน้ำได้แล้ว ดึกแล้วนะ จะได้นอนซะที” บอกพลางพยายามผลักร่างที่ทำท่าจะยั่วเขากลางดึก แต่ดูท่าทางแม่นางจะพยศขึ้นมาอีก กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าซีลีนาโกรธงอนอะไร “เอ็ดรังเกียจเหรอคะ ซินนี่เข้าใจว่าคุณชอบกลิ่นกายซินนี่เสียอีก ทุกทีซินนี่เห็นคุณหอมไปทุก...” “พอเถอะน่า” เขารีบหยุดคำพูดวาบหวิวที่พาให้ใจวาบหวาม ยามจินตนาการลงลึกไปในรายละเอียดตามคำเย้าที่เธอว่า
“อย่าคิดมาก” “แล้วคิสมั้ย” ขอโทษที่เธอปากไวไปหน่อยนะ จะเขินย้อนหลังก็ไม่ทันแล้วมั้ง “หือ?” “คิสมั้ย” นี่แน่ะ! ย้ำให้มันชัดเจนกันไป ก็แค่พูดเฉยๆ นี่นา ไม่เป็นไรหรอกน่า “แน่ใจนะว่าอยากให้คิส” -------------- “โบนัสพนักงานดีเด่น” คงอยากตอบแทนที่เธอมาทำความสะอาดห้องให้ตลอดช่วงที่เรียนมาด้วยกันสินะ แม้จะดีใจมากแค่ไหนแต่ก็อดแซวเขาไม่ได้ “โบนัสมันก็ต้องเป็นตังค์สิ” “จะเอามั้ยล่ะ อยากได้กี่แสน” “อ่า เยอะไป จ้าวขอแค่ยี่สิบ” พูดจบก็ยื่นมือแบออกไปตรงหน้าเขา ก็เลยโดนฟาดฝ่ามือเบาๆ “ไปอาบน้ำได้นะ” จ้าวจันทร์ทำท่าทางครุ่นคิด พลันหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่หลับคาทีวีแล้วน้ำไม่ได้อาบก็เลยพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องของเขาอย่างว่าง่าย พอเข้ามาถึงก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าที่อ่างล้างหน้ามีผ้าขนหนูและแปรงสีฟันวางทับกันไว้ และมีโพสต์อิตแปะไว้ด้วยว่า “จั่นเจา” แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทำไมถึงทำให้เธอยิ้มกว้างได้มากขนาดนี้นะ โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็แอบชอบเราเหมือนกันแน่ๆ เตรียมของส่วนตัวให้ขนาดนี้ไม่ใช่แฟนจะทำแทนได้อ่อ ไม่ชอบกันตรงไหนเอาปากกามาเคาะหัวเลยดิ ที่ผ่านมาคือมีใจชัวร์ ฟันธง! ---------------- ฝากหมูตุ๋นลูกแม่อวบพ่อคิง น้องชายของหมูน้อยไว้ในอ้อมใจของทุกคนด้วยนะค้า ขอบคุณมากๆ เลยค่า
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"