เพราะพ่อของเธอคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมจับเขาให้แต่งงานกับลูกสาวของตัวเอง เขาจึงแก้แค้นคืนกลับไปอย่างสาสม ผู้หญิงที่เขาหลงรักกลับเป็นคนที่เขาเคยเกลียดและทำลายเขาควรทำเช่นไรให้ได้นางฟ้าอย่างเธอและลูกกลับคืนมา
เพราะพ่อของเธอคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมจับเขาให้แต่งงานกับลูกสาวของตัวเอง เขาจึงแก้แค้นคืนกลับไปอย่างสาสม ผู้หญิงที่เขาหลงรักกลับเป็นคนที่เขาเคยเกลียดและทำลายเขาควรทำเช่นไรให้ได้นางฟ้าอย่างเธอและลูกกลับคืนมา
ณ กรุงเทพมหานคร
ตึกสูงสามสิบชั้นใจกลางเมืองของกรุงเทพ บริษัทนพดลการค้า จำกัด บริษัทด้านการส่งออกสินค้าอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ชั้นบนสุดของอาคารห้องท่านประธานบริษัทตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และโกรธเคืองที่ลูกน้องทำงานไม่สำเร็จ
"ขอโทษครับนาย คุณชาร์ลปฎิเสธที่จะร่วมหุ้นกับเราครับ" สิงห์มือขวาและเลขาส่วนตัวของนพดลกล่าวด้วยใบหน้าสำนึกผิด
"ฉันไม่คิดเลย ว่ามันจะหยิ่งขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นถึงอภิมหาเศรษฐีและนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ฉันคงไม่ง้อมันมาถึงขนาดนี้หรอก"
นพดลกล่าวด้วยความไม่พอใจปนผิดหวังตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามที่จะเชิญชวน ชาร์ล เวลล็อค มาร่วมหุ้นด้วยตลอดแต่ก็ต้องผิดหวัง
"นายไม่ลองชวนนักธุรกิจคนอื่นดูล่ะครับ" สิงห์กล่าวแนะด้วยใบหน้าที่เกรงกลัวนิด ๆ เผื่อนายท่านจะเปลี่ยนใจ
"แกคิดว่าดีแล้วหรือถึงกล้าแนะนำฉันแบบนี้ แกก็รู้ว่าฐานะการเงินของบริษัทเป็นยังไง ถ้าฉันได้ร่วมหุ้นกับไอ้หนุ่มนั่นชื่อเสียงและเงินร่วมหุ้นของมันก็จะทำให้บริษัทมั่นคงขึ้น นักธุรกิจคนอื่นก็ล้วนแล้วอยากจะร่วมหุ้นกับมัน เพราะมันจับต้องอะไรก็ประสบความสำเร็จหมด อีกอย่างฉันอยากให้ยัยหนูมีคนเก่ง ๆ แบบนี้เคียงข้างในวันข้างหน้าด้วย" นพดลกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มย่องและเจ้าเล่ห์
"นายท่านคงไม่ได้คิดที่จะจับคู่ให้คุณหนูด้วยหรอกนะครับ" สิงห์กล่าวด้วยใบหน้าอยากรู้และตกใจ
"ฮึ ฮึ ฮึ แกคิดว่าฉันพยายามขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ ยัยอันอ่อนเกินไปคงสานต่อธุรกิจของฉันไม่ได้แน่ ว่างจากเรียนสนใจแต่ทำอาหารและขนมอย่างเดียว แล้วแบบนี้สิ่งที่ฉันสร้างมากับมือจะให้พังลงไปง่าย ๆ งั้นเหรอ"
"แต่คุณหนูอายุห่างจากคุณชาร์ลเป็นรอบเลยนะครับ อีกอย่างคุณหนูก็อ้วนมากด้วย ผู้หญิงที่รายล้อมรอบคุณชาร์ลก็ล้วนแล้วแต่สวยๆทั้งนั้น คุณชาร์ลจะสนใจและยอมให้จับง่าย ๆ เหรอครับ" สิงห์กล่าวด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล
"ถ้าพูดถึงความสวยฉันคิดว่า ถ้ายัยอันผอมขึ้นมาก็ต้องสวยไม่แพ้ใครแน่นอน " นพดลกล่าวถึงบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ
คฤหาสน์อมรพิพัฒน์รัตนกุล
"คุณหนูยังไม่กลับมาอีกเหรอคุณนมสาย" นพดลถามด้วยความสงสัย
"คุณหนูกลับมาแล้วค่ะ สงสัยคงอาบน้ำอยู่ค่ะคุณท่าน เดี๋ยวนมให้มะลิไปตามให้ค่ะ" แม่นมสายตอบด้วยความนอบน้อม
"ไม่ต้องไปตามหนูอันหรอกค่ะ หนูอันมาแล้วคิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ” สาวน้อยทรงอวบอ้วนตอบบิดาและวิ่งเข้ามากอดด้วยใบหน้าที่มีความสุข
เมื่อสิบห้าปีก่อน
สาวน้อยต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่เพราะโรคหัวใจ ทำให้นมสายสาวใช้คนสนิทของคุณญาดาผู้เป็นภรรยาของคุณนพดล ต้องผันตัวเองมาเป็นคนเลี้ยงคุณหนูอันในวัยสามขวบแทน นมสายเก่งด้านทำอาหารกับขนมมาก ดังนั้นคุณหนูอันจึงติดนิสัยชอบเข้าครัวทำอาหารและชอบชิมชอบทานไปด้วย จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณหนูอันอวบอ้วนอย่างทุกวันนี้
"ปีนี้หนูอายุสิบแปดแล้วนะหนูอัน ตอนนี้หนูน้ำหนักเท่าไรแล้ว พ่อว่าปิดเทอมนี้หนูควรเข้าคอร์สลดน้ำหนักอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซะที ไม่งั้นพ่อคงอดได้ลูกเขยกับคนอื่นเค้าแน่"นพดลกล่าวด้วยสีหน้าล้อเลียนลูกสาว
"โถ...คุณพ่อขาไม่อยากเลี้ยงหนูอันแล้วหรือคะ หนูอันยังเรียนไม่จบเลยนะคะ แถมอายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยไม่มีผู้ชายมาจีบหนูอันก็ดีแล้วนี่คะหนูอันจะได้อยู่กับคุณพ่อไปนาน ๆ ไงคะ หรือคุณพ่อเบื่อหนูอันแล้วคะถึงอยากให้หนูอันไปอยู่กับคนอื่นค่ะ" สาวน้อยแต่ร่างอวบอ้วนกล่าวด้วยใบหน้าแสนงอนบิดานิด ๆ
"ไม่ใช่ยังงั้น หนูก็รู้นี่ว่าพ่อรักหนูแค่ไหนแถมพ่อก็มีโรคประจำตัวอีกไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน พ่อก็แค่อยากให้หนูและธุรกิจของเรามีคนดูแลต่อจากพ่อ ถ้าพ่อเป็นอะไรไปและพ่อเชื่อว่าถ้าหนูผอมได้หนูต้องสวยมากแน่เพราะทุกวันนี้ถึงจะอวบอ้วนแต่ผิวพรรณขาวเนียนราวผิวเด็กทารก และโครงหน้ากลับสวยหวานอ่อนโยน ดวงตากลมโตแพขนตายาวงอนเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใส่ขนตาปลอมเลยทีเดียว" นายนพดลพยายามพูดให้กำลังใจบุตรสาว
"คุณพ่ออย่าพูดอย่างงี้สิคะ หนูอันเชื่อว่าคุณพ่อต้องได้อยู่กับหนูอันอีกนานค่ะ รอปิดเทอมแล้วหนูอันจะไปเข้าคอร์สอย่างที่คุณพ่อบอกก็ได้ค่ะ ตอนนี้หนูอันก็ลดเรื่องกินไปเยอะแล้วนะคะ แต่ไม่รู้ทำไมไม่ผอมลงสักทีค่ะ เฮ่อ..." อันนาดากล่าวและถอนหายใจอย่างเริ่มปลง
เพื่อนที่มหาลัยของเธอแต่ละคนก็หุ่นดี ๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่อยากได้หุ่นที่ดีผอมบางหุ่นเพรียว ที่ผ่านมาทั้งออกกำลังกายลดอาหารแต่สุดท้ายก็ลงแค่นิดเดียวเอง จนบางครั้งเธอยังรู้สึกว่าตัวเองพยายามน้อยเกินไปหรือเปล่า
"พ่อว่าเราไปทานอาหารเย็นกันเถอะ"
"ค่ะคุณพ่อ"
หนึ่งเดือนต่อมา
ก๊อก... เสียงเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าห้องหน้าห้องท่านประธานบริษัท
"เข้ามา"
"นายครับ ผมได้ข่าวมาว่าคุณชาร์ลมาที่เมืองไทยได้สามวันแล้วครับ"
"แล้วทำไมแกพึ่งมาบอกฉันตอนนี้ห้ะ" นพดลพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนหงุดหงิดเล็กน้อย
"ขอโทษครับนาย" สิงห์ตอบอย่างสำนึกผิด
ณ กรุงเทพมหานคร
ตึกสูงสามสิบชั้นใจกลางเมืองของกรุงเทพ บริษัทนพดลการค้า จำกัด บริษัทด้านการส่งออกสินค้าอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ชั้นบนสุดของอาคารห้องท่านประธานบริษัทตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และโกรธเคืองที่ลูกน้องทำงานไม่สำเร็จ
"ขอโทษครับนาย คุณชาร์ลปฎิเสธที่จะร่วมหุ้นกับเราครับ" สิงห์มือขวาและเลขาส่วนตัวของนพดลกล่าวด้วยใบหน้าสำนึกผิด
"ฉันไม่คิดเลย ว่ามันจะหยิ่งขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นถึงอภิมหาเศรษฐีและนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ฉันคงไม่ง้อมันมาถึงขนาดนี้หรอก"
นพดลกล่าวด้วยความไม่พอใจปนผิดหวังตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามที่จะเชิญชวน ชาร์ล เวลล็อค มาร่วมหุ้นด้วยตลอดแต่ก็ต้องผิดหวัง
"นายไม่ลองชวนนักธุรกิจคนอื่นดูล่ะครับ" สิงห์กล่าวแนะด้วยใบหน้าที่เกรงกลัวนิด ๆ เผื่อนายท่านจะเปลี่ยนใจ
"แกคิดว่าดีแล้วหรือถึงกล้าแนะนำฉันแบบนี้ แกก็รู้ว่าฐานะการเงินของบริษัทเป็นยังไง ถ้าฉันได้ร่วมหุ้นกับไอ้หนุ่มนั่นชื่อเสียงและเงินร่วมหุ้นของมันก็จะทำให้บริษัทมั่นคงขึ้น นักธุรกิจคนอื่นก็ล้วนแล้วอยากจะร่วมหุ้นกับมัน เพราะมันจับต้องอะไรก็ประสบความสำเร็จหมด อีกอย่างฉันอยากให้ยัยหนูมีคนเก่ง ๆ แบบนี้เคียงข้างในวันข้างหน้าด้วย" นพดลกล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มย่องและเจ้าเล่ห์
"นายท่านคงไม่ได้คิดที่จะจับคู่ให้คุณหนูด้วยหรอกนะครับ" สิงห์กล่าวด้วยใบหน้าอยากรู้และตกใจ
"ฮึ ฮึ ฮึ แกคิดว่าฉันพยายามขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ ยัยอันอ่อนเกินไปคงสานต่อธุรกิจของฉันไม่ได้แน่ ว่างจากเรียนสนใจแต่ทำอาหารและขนมอย่างเดียว แล้วแบบนี้สิ่งที่ฉันสร้างมากับมือจะให้พังลงไปง่าย ๆ งั้นเหรอ"
"แต่คุณหนูอายุห่างจากคุณชาร์ลเป็นรอบเลยนะครับ อีกอย่างคุณหนูก็อ้วนมากด้วย ผู้หญิงที่รายล้อมรอบคุณชาร์ลก็ล้วนแล้วแต่สวยๆทั้งนั้น คุณชาร์ลจะสนใจและยอมให้จับง่าย ๆ เหรอครับ" สิงห์กล่าวด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล
"ถ้าพูดถึงความสวยฉันคิดว่า ถ้ายัยอันผอมขึ้นมาก็ต้องสวยไม่แพ้ใครแน่นอน " นพดลกล่าวถึงบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจ
คฤหาสน์อมรพิพัฒน์รัตนกุล
"คุณหนูยังไม่กลับมาอีกเหรอคุณนมสาย" นพดลถามด้วยความสงสัย
"คุณหนูกลับมาแล้วค่ะ สงสัยคงอาบน้ำอยู่ค่ะคุณท่าน เดี๋ยวนมให้มะลิไปตามให้ค่ะ" แม่นมสายตอบด้วยความนอบน้อม
"ไม่ต้องไปตามหนูอันหรอกค่ะ หนูอันมาแล้วคิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ” สาวน้อยทรงอวบอ้วนตอบบิดาและวิ่งเข้ามากอดด้วยใบหน้าที่มีความสุข
เมื่อสิบห้าปีก่อน
สาวน้อยต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าแม่เพราะโรคหัวใจ ทำให้นมสายสาวใช้คนสนิทของคุณญาดาผู้เป็นภรรยาของคุณนพดล ต้องผันตัวเองมาเป็นคนเลี้ยงคุณหนูอันในวัยสามขวบแทน นมสายเก่งด้านทำอาหารกับขนมมาก ดังนั้นคุณหนูอันจึงติดนิสัยชอบเข้าครัวทำอาหารและชอบชิมชอบทานไปด้วย จึงเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณหนูอันอวบอ้วนอย่างทุกวันนี้
"ปีนี้หนูอายุสิบแปดแล้วนะหนูอัน ตอนนี้หนูน้ำหนักเท่าไรแล้ว พ่อว่าปิดเทอมนี้หนูควรเข้าคอร์สลดน้ำหนักอย่างจริง ๆ จัง ๆ ซะที ไม่งั้นพ่อคงอดได้ลูกเขยกับคนอื่นเค้าแน่"นพดลกล่าวด้วยสีหน้าล้อเลียนลูกสาว
"โถ...คุณพ่อขาไม่อยากเลี้ยงหนูอันแล้วหรือคะ หนูอันยังเรียนไม่จบเลยนะคะ แถมอายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยไม่มีผู้ชายมาจีบหนูอันก็ดีแล้วนี่คะหนูอันจะได้อยู่กับคุณพ่อไปนาน ๆ ไงคะ หรือคุณพ่อเบื่อหนูอันแล้วคะถึงอยากให้หนูอันไปอยู่กับคนอื่นค่ะ" สาวน้อยแต่ร่างอวบอ้วนกล่าวด้วยใบหน้าแสนงอนบิดานิด ๆ
"ไม่ใช่ยังงั้น หนูก็รู้นี่ว่าพ่อรักหนูแค่ไหนแถมพ่อก็มีโรคประจำตัวอีกไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน พ่อก็แค่อยากให้หนูและธุรกิจของเรามีคนดูแลต่อจากพ่อ ถ้าพ่อเป็นอะไรไปและพ่อเชื่อว่าถ้าหนูผอมได้หนูต้องสวยมากแน่เพราะทุกวันนี้ถึงจะอวบอ้วนแต่ผิวพรรณขาวเนียนราวผิวเด็กทารก และโครงหน้ากลับสวยหวานอ่อนโยน ดวงตากลมโตแพขนตายาวงอนเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใส่ขนตาปลอมเลยทีเดียว" นายนพดลพยายามพูดให้กำลังใจบุตรสาว
"คุณพ่ออย่าพูดอย่างงี้สิคะ หนูอันเชื่อว่าคุณพ่อต้องได้อยู่กับหนูอันอีกนานค่ะ รอปิดเทอมแล้วหนูอันจะไปเข้าคอร์สอย่างที่คุณพ่อบอกก็ได้ค่ะ ตอนนี้หนูอันก็ลดเรื่องกินไปเยอะแล้วนะคะ แต่ไม่รู้ทำไมไม่ผอมลงสักทีค่ะ เฮ่อ..." อันนาดากล่าวและถอนหายใจอย่างเริ่มปลง
เพื่อนที่มหาลัยของเธอแต่ละคนก็หุ่นดี ๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่อยากได้หุ่นที่ดีผอมบางหุ่นเพรียว ที่ผ่านมาทั้งออกกำลังกายลดอาหารแต่สุดท้ายก็ลงแค่นิดเดียวเอง จนบางครั้งเธอยังรู้สึกว่าตัวเองพยายามน้อยเกินไปหรือเปล่า
"พ่อว่าเราไปทานอาหารเย็นกันเถอะ"
"ค่ะคุณพ่อ"
หนึ่งเดือนต่อมา
ก๊อก... เสียงเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าห้องหน้าห้องท่านประธานบริษัท
"เข้ามา"
"นายครับ ผมได้ข่าวมาว่าคุณชาร์ลมาที่เมืองไทยได้สามวันแล้วครับ"
"แล้วทำไมแกพึ่งมาบอกฉันตอนนี้ห้ะ" นพดลพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนหงุดหงิดเล็กน้อย
"ขอโทษครับนาย" สิงห์ตอบอย่างสำนึกผิด
"แด๊ดดี้ตกเครื่องบินตายไปแล้วล่ะ อย่าถามถึงอีกเลยนะคะเด็กดี" "ถ้าแด๊ดดี้ตายไปแล้ว แด๊ดดี้นิสัยดีหรือเปล่าคะคุณครูบอกว่านิสัยดีได้ขึ้นสวรรค์ นิสัยไม่ดีตกนรกค่ะ สรุปแล้วแด๊ดดี้หนูอยู่สวรรค์หรือนรกคะ"
อยากแต่งงานกับฉันเธอต้องทนทุกอย่างได้แพรลตา ต่อให้เธอทำงานจนล้มตายไปต่อหน้าฉันก็จะไม่สน เพราะเธอก็เหมือนต้นหญ้าเล็กๆคอยรองเท้าเวลาที่ฉันเหยียบย่ำเท่านั้น
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
" ผมใหญ่ครับ " " ใหญ่นี่ ชื่อหรือสรรพคุณคะ " " ก็... ทั้งสองอย่างครับ " +++++++++++++++++++++++++++ " ผมอยากเอาคุณเป็นบ้าเลย " ดวงตาของมิถุนาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะพูดมันออกมาตรง ๆ อย่างไม่ให้เกียรติเธอแม้แต่นิด " ไอ้โรคจิต หยาบคาย ! " เธอผรุสวาทออกมาทั้งยังพยายามดิ้นรนผลักไสให้ตัวเองหลุดพ้นพันธนาการอันเป็นอ้อมแขนเหนียวแน่นนั้น และแน่นอนว่านอกจากไม่หลุดแล้วเขายังรัดเธอแน่นเข้าไปอีก " ปล่อยฉันนะ ! " " ก็คุณบอกให้ผมพูดเอง " " ใครจะไปรู้ว่าความคิดคุณจะทุเรศลามกขนาดนั้น " " มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ธรรมชาติสร้างให้สัตว์เพศผู้เพศเมียสมสู่กันเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ ความต้องการทางเพศมันเป็นเรื่องปกติ หรือว่าคุณไม่เคยมีมัน " " ฉันมีคู่หมั้นแล้วและไม่ได้อยากดำรงเผ่าพันธุ์อะไรกับคนแบบคุณ ! " เขาหัวเราะเบา ๆ ต่างกับเธอที่ตาเขียวปั้ด อยากจะยกมือขึ้นตะกายหน้าหล่อ ๆ นั่นแทบบ้า ไอ้คนไร้มารยาท ! " เราไม่ต้องดำรงเผ่าพันธุ์อะไรทั้งนั้น " เขาเริ่มบทสนทนาต่อก่อนโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูเธอเบา ๆ " แค่เอากันก็พอ " ++++++++++++++++++++++++++++++++++++ " ...แค่อยากจะมาทักทายคนคุ้นเคยเป็นการส่วนตัว " " ฉันไม่ใช่คนคุ้นเคยของนาย " " งั้นคุณเป็นคนคุ้นเคยของผมฝ่ายเดียวก็ได้ " " อย่ามากวนนะ ระวังจะโดนเอาคืน " " ก็เอาสิ จะเอาคืน เอาวัน หรือเอาทั้งวันทั้งคืนเลยก็ได้นะ ผมไม่ติด "
พวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง พวกเขามองฉันและเห็นฉันเป็นเด็กผู้ชาย เป็นเจ้าชาย คนนหึ่ง พวกเขาซื้อมนุษย์อย่างฉันเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ และเมื่อพวกเขาบุกเข้ามาในอาณาจักรของเราเพื่อซื้อพี่สาวของฉัน เพื่อปกป้องเธอ ฉันหมดหนทาง จึงต้องเข้าไปขอร้องให้พวกเขาพาฉันไปด้วย แผนของฉันคือหาโอกาส จะพาพี่สาวหนีไป แต่ฉันไม่คาดคิดว่าคุกของเราจะเป็นสถานที่ที่มีการป้องกันมากที่สุดในอาณาจักรของพวกเขา แต่เดิมฉันเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นคนที่พวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่เคยคิดจะซื้อ เลย แต่แล้ว ราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ความปรานี บุคคลที่มีอำนาจที่สุดในดินแดนป่าเถื่อนของพวกเขากลับสนใจใน "เจ้าชายน้อยผู้น่ารัก" เราจะเอาชีวิตรอดในอาณาจักรที่อันตรายนี้ได้อย่างไร และเผชิญหน้ากับผู้คนที่ไม่เป็นมิตรกับเรายังไง และคนที่มีความลับอย่างฉันจะกลายเป็นทาสแห่งความต้องการทางเพศได้อย่างไร . หมายเหตุของผู้เขียน นี่คือนิยายรักแนวดาร์ก เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เรตติ้งสูง 18+ เตรียมพบกับเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์และเข้มข้นได้เลย หากคุณเป็นนักอ่านตัวยงของแนวนี้ที่กำลังมองหาอะไรที่แตกต่าง พร้อมที่จะอ่านแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ก็อยากรู้เพิ่มเติมอยู่ดีล่ะก็ รีบอ่านเลย! . จากผู้เขียนหนังสือขายดีระดับนานาชาติเรื่อง "ทาสผู้เกลียดชังของราชาอัลฟ่า"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด