รุกหนักเพราะรักจริง
รุกหนักเพราะรักจริง
“นายหัวเนี่ย ! เล่นอะไรก็ไม่รู้” เสียงฉอเลาะของหญิงสาวเอ่ยกับชายหนุ่มที่กำลังซุกซนกับเรือนร่างอวบอัดของเธอ
“เล่นที่ไหน ผมเอาจริงต่างหาก” หนุ่มใหญ่พูดไปก็แก้ผ้าคนใต้ร่างไปพลาง
“ดะ…เดี๋ยวสิคะยอด ริสายังไม่พร้อมเลย” เธออิดออดเพราะอยากอาบน้ำให้สบายตัวก่อน
“เวลาคุณเรียกนายหัวทีไรผมขึ้นทุกที ไม่ต้องกลัวหรอกเดี๋ยวผมทำให้คุณพร้อมเอง” เมื่อสิ้นคำ ใบหน้าคมสันก็มุ่งหน้าไปที่เนินเนื้ออวบอูม กายสาวดิ้นเร่าๆ เหมือนจะขาดใจเมื่อลิ้นหนาตวัดเลียไปทั่วส่วนบอบบาง
“คุณพร้อมแล้ว เห็นไหมล่ะ” เมื่อเธอสั่นเทิ้ม ชายหนุ่มก็ยิ้มกริ่มเพราะภาคภูมิใจกับเพลงลิ้นของตัวเองที่พาคู่ขาไปวิ่งเล่นบนสวรรค์ภายในไม่กี่นาที
“ยอดเนี่ย ! ริสาหมายความว่า อยากอาบน้ำก่อน”
“ไม่เห็นต้องอาบเลยริสา คุณหอมขนาดนี้” ชายหนุ่มผลักเบาๆ ให้เธอนอนลงแล้วแทรกร่างแกร่งเข้าไปที่หว่างขา แกนเนื้อขนาดพอๆ กับแขนเด็ก ค่อยๆ สอดใส่เข้าไปเพื่อทำความคุ้นเคย
เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจังหวะรักก็เร่งเร้าขึ้น คนข้างบนส่งเข้ารุนแรงคนด้านล่างเด้งกลับแรงกว่า เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงครางครวญของหญิงสาวดังระงมไปทั่วห้องนอนที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่สองร่างบนฟูกนิ่มกลับเหงื่อแตกพลั่ก
โรงแรมทรายงามน้ำใส
“อรุณสวัสดิ์ค่ะนายหัว” พนักงานฝ่ายต้อนรับกล่าวทักทายผู้บริหารที่เดินแจกยิ้มมาแต่ไกล
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณช่อเอื้อง ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยดีค่ะนายหัว วันนี้บ่ายสองนักศึกษาฝึกงานจะมาถึงนะคะ”
“จริงสิ ! วันนี้แล้วใช่ไหม ผมเกือบลืมไปเลย ขอบคุณมากที่เตือน งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะ” ชายหนุ่มแกล้งทำท่าประหลาดใจเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย
“สวัสดีค่ะนายหัว” หญิงสาวไหว้อย่างชดช้อยและมองตามร่างล่ำสันไปจนสุดสายตา
“มองขนาดนี้ก็ตามไปเลยเถอะ !” คนที่ยืนข้างๆ บอกด้วยความหมั่นไส้
“ได้เหรอ ! งั้นไปนะ”
“ฉันประชด ! น้อยๆ หน่อยเถอะ คนเขาจะว่าไม่เจียมกะลาหัว” ชไมพรเตือนเพื่อน
“แหม ! อยากจะแหมให้ยาวไปถึงดาวอังคารมีใครในโรงแรมทรายงามน้ำใสไม่มองนายหัวตาละห้อยบ้าง ไปเอาชื่อมาสิยัยพร ก็นายหัวหล่อ รวย สุภาพแถมตัวหอมขนาดนั้นใครไม่มองก็บ้าแล้ว ฉันก็แค่ชื่นชมนายหัวเหมือนที่แกบ้าอปป้าดาราเกาหลีนั่นแหละ”
“เออๆ ก็แกมองเหมือนหมาหิวกระดูกก็เลยเตือนเฉยๆ”
“ฉันไม่หิวกระดูกหรอกแต่หิวเลือดจะกินเลือดจากหัวแกเนี่ย ! ได้ข่าวว่าล่าสุดเปย์บัตรคอนไปเกือบหมื่น ควรจะเตือนตัวเองมากกว่าไหมคะเห็นบ่นไม่มีเงิน แหมๆ ฉันก็แค่มองนายหัวขอชื่นชมอยู่ห่างๆ ไม่ได้เสียสะตุ้งสตางค์สักบาท”
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนน้า” เมื่อโดนต้อนจนไม่มีมุมหนี ชไมพรจึงขอไปตั้งหลักก่อน
สนามบินสุวรรณภูมิ
“ยาหยี จะไปจริงๆ เหรอลูก” มารดายังไม่วายจะทัดทานบุตรสาวแม้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะต้องขึ้นเครื่องบินแล้วก็ตาม
“โอ๊ย ! คุณ มาขนาดนี้แล้วยังจะรั้งลูกไว้อีก ลูกไปฝึกงานแค่สามเดือนเดี๋ยวก็กลับ ไม่ใช่อยู่ตลอดไปสักหน่อย”
“คุณไม่เป็นแม่ !!! คุณไม่เข้าใจหรอก” หญิงสาวหันมาขึ้นเสียงใส่สามี
“เอ้าคุณ ! ผมก็เป็นพ่อยาหยีนะ คุณลืมเหรอ คนเป็นพ่อก็ห่วงลูกไม่น้อยกว่าคนเป็นแม่หรอก คุณห่วงคน…”
“พอค่ะ พอเลย พอทั้งคู่” ยาหยีสาวน้อยวัยยี่สิบปีห้ามทัพร่วมสายเลือดที่ชักจะดุเดือดขึ้นทุกที
“แม่คะ หนูสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด จะไม่ไปทำป้ำๆ เป๋อๆ ให้ตัวเองเดือดร้อนหรือให้อายใครยังไงหนูก็ต้องไปค่ะแม่ ไม่งั้นเรียนไม่จบนะคะ”
“เห็นไหม คุณไม่เชื่อใจลูกเลย”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ฉันเป็นห่วงนี่คุณ ลูกเราทั้งคนนะ”
“ก็ลูกผมเหมือนกันแหละคุณ ไม่เอาน่า ! เราอย่าทะเลาะกันเลย ต้องอยู่ด้วยกันสองคนตั้งสามเดือน” สามีจับมือภรรยามากุมแล้วลูบหลังเบาๆ ผมเองก็ห่วงลูกสาวคนเดียวแทบขาดใจแต่เพื่ออนาคตเพื่อประสบการณ์ของลูก คนเป็นพ่อก็ต้องตัดใจ
“ก็ได้…ยาหยี หนูต้องโทรมาหาแม่ทุกวันนะ สัญญานะ”
“สัญญาค่ะแม่ หนูไปนะคะ” สาวน้อยให้คำมั่นกับมารดาจากนั้นจึงกอดลาทั้งคู่แล้วออกเดินทาง
♡ แรกๆ ก็เอ็นดู หลังๆ ก็อยากให้ดูเอ็น ♡ บางส่วนจากนิยาย: กิตตินอนมองเอมิลี่แต่งตัวอย่างเพลิดเพลินแล้วความคิดซุกซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เธอใส่เสื้อผ้าเลยให้ตายสิ อยากถอดเสื้อจัง อยากถอดกางเกงด้วย ชุดชั้นในก็ไม่ต้องใส่หรอกบดบังของสวยๆ ทำไม “แล้วพี่โก้ไม่แต่งตัวเหรอคะ” “แต่ง … แต่งครับ รอเดี๋ยวเดียวนะ” กิตติต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านลงก่อน “พี่โก้ไม่อยากไปใช่ไหมคะ” เอมิลี่เดินกลับไปหาคนที่ยังไม่ลงจากเตียง “อยากครับ ไปสิไปกันเลย พี่แต่งตัวอึดใจเดียวก็เสร็จแล้ว” “ไม่จริงหรอกค่ะ ทำอยู่ตั้งนานกว่าพี่โก้จะเสร็จ” คำเตือน: มีการสูญเสีย มีเหตุการณ์สะเทือนใจ
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ขวัญรดาไม่รู้ว่าเช้าวันแรกของชีวิตแต่งงานสำหรับผู้หญิงคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร แต่สำหรับเธอ มันมีแต่ความหวาดหวั่นและไม่มั่นใจเอาเสียเลย... --------- ‘เอามาปั๊มลูกเฉยๆ ไม่ได้แต่งมาเป็นเมียเชิดหน้าชูตา เรื่องนี้คนวงในเขารู้ เขาอยากให้มีทายาทรุ่นสามหลายคน เธอสังเกตหรือเปล่าว่าที่ผ่านมาพวกเขามีลูกชายแค่คนเดียว ส่วนลูกสาวก็ไม่มีสักคน เหมือนพวกเขามีกรรม เธอลองไปค้นข่าวเก่าๆ ดู ท่านประธานแต่งงานกับแม่ของคุณติณณ์ไม่กี่ปีก็หย่า มีลูกคือคุณติณณ์คนเดียว พอแต่งงานใหม่ก็กลายเป็นว่าภรรยาใหม่มีลูกไม่ได้ เพราะมดลูกไม่แข็งแรง’ คนที่ถูกยัดเยียดให้กลายเป็นผู้ลอบฟังเกือบหลุดเสียงอุทาน... คนอะไรรู้ถึงมดลูกของคนอื่น บ้ากันหรือเปล่า ------- ‘หนูอยู่ในนี้ใช่ไหม แม่ยังไม่บอกเรื่องของหนูให้ใครรู้ แต่อีกไม่นานหรอก แม่จะพาหนูไปรู้จักกับคุณตาคุณยาย พวกท่านจะต้องดีใจที่หนูมาแล้ว อ้อ! หนูยังมีคุณป้าคนสวยด้วยนะ’ มือบางวางทาบบนหน้าท้องที่ยังแบนราบ เธอทักทายลูกน้อยด้วยการไล้วนรอบๆ ท้องอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน ขวัญรดาเชื่อว่าชีวิตน้อยๆ ที่ก่อเกิดขึ้นมาสามารถรับรู้สิ่งที่เธอสื่อไปถึง เธอพูดคุยและสัมผัสลูกทุกวันตั้งแต่รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ในท้องของเธอ ‘ส่วนพ่อของหนู...’ ก้อนบางอย่างถูกกลืนลงในลำคอ ขวัญรดาส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ‘พ่ออยู่กับเรา พ่ออยู่ใกล้ๆ เราทุกวัน แต่แม่ยังไม่บอกพ่อว่าแม่มีหนูแล้ว... แม่โกหกพ่อว่าแม่คุมกำเนิด แม่ไม่รู้ว่าถ้าพ่อรู้ความจริง เขาจะโกรธแม่ที่ปิดบังเขาหรือเปล่า’
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
ฉันจะเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเอง จากเดิมที่ต้องตายในตอนจบ โอฟีเลียคนนี้จะร่ำรวยที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ให้ดู..ว่าแต่ท่านแม่คะ นั่นท่านพาตัวร้ายเข้ามาในบ้านของเราทำไมกัน?
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
© 2018-now MeghaBook
บนสุด