ยัยเด็กขาดสารอาหารคนนี้หรอ คือลูกสาวคนใหม่ของแม่.. เด็กอะไร ขวางหูขวางตาชะมัด เจอหน้ากันเอาแต่ก้มหน้าหลบตา แต่ทำไมยัยเด็กนี่ถึงสวยวันสวยคืน..ถ้าเขาจะแอบกินเด็กของแม่..จะผิดไหม
ยัยเด็กขาดสารอาหารคนนี้หรอ คือลูกสาวคนใหม่ของแม่.. เด็กอะไร ขวางหูขวางตาชะมัด เจอหน้ากันเอาแต่ก้มหน้าหลบตา แต่ทำไมยัยเด็กนี่ถึงสวยวันสวยคืน..ถ้าเขาจะแอบกินเด็กของแม่..จะผิดไหม
สาวน้อยร่างบางผิวขาวจัดดวงตาบวมช้ำแดงก่ำนั่งมองรูปหน้าศพที่ตั้งคู่กันสองรูปนิ่งๆ ไม่ขยับตัวไปไหนมาหลายชั่วโมง เป็นที่น่าสลดใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
“พั้นช์ หักอกหักใจซะเถอะลูก หนูเป็นแบบนี้พ่อกับแม่จะยิ่งเป็นห่วงนะ เชื่อป้านะลูก”
พิมพ์มาดา เพื่อนที่สนิทที่สุดของผู้หญิงที่นอนอยู่ใน
โลงศพ ตรงเข้าสวมกอดและเอ่ยปลอบใจสาวน้อยตรงหน้าที่ตัวเองรักเหมือนลูกที่มีชะตาชีวิตที่น่าสงสาร เพราะต้องเสียพ่อและแม่ซึ่งเป็นที่พักพิงสุดท้ายไปพร้อมๆกันจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหัน
“ป้าพิมพ์”
สาวน้อยกอดเพื่อนรักของแม่แน่นอย่างต้องการที่พักพิง สาวน้อยวัยสิบแปดปีอย่างเธอ โลกทั้งใบมันถล่มไปตรงหน้าแล้วกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
“ป้าเสียใจด้วยนะลูก แต่พั้นช์ต้องเข้มแข็ง พ่อกับแม่จะได้ไม่ห่วง”
พิมพ์มาดากอดสาวน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียน
จะขาดใจแน่นขึ้น ไม่รู้ว่าทั้งคืนที่ผ่านมาจนถึงบ่ายวันนี้ หลานสาวของเธอได้หลับได้นอนหรือได้กินอะไรบ้างหรือยัง เพราะเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียพร้อมกัน
แบบนี้ คงยากที่จะรับไหว
แม้เธอเองพอรู้ข่าว ก็ส่งเลขาและผู้ช่วยมาจัดการเรื่องรับศพและจัดงานศพให้เรียบร้อย แล้วรีบหาตั๋วเที่ยวที่เร็วที่สุด
บินจากอเมริกาแล้วตรงดิ่งมาที่นี่ทันที แต่ก็ยังช้าไปเป็นวัน
“พั้นช์ไม่เหลือใครแล้ว พ่อกับแม่ทิ้งพั้นช์ไปแล้วค่ะ”
“พั้นช์ยังเหลือป้า ป้าจะไม่มีวันทิ้งพั้นช์ไปไหน ไปอยู่
กับป้านะลูก ต่อจากนี้ป้าจะดูแลพั้นช์แทนแม่เอง ไปเป็นลูกสาวของป้าอีกคน แม่ก็จะได้หมดห่วงด้วย โอเคไหม”
“ได้หรอคะ แล้วครอบครัวของป้าพิมพ์จะไม่ว่าอะไร
หรอคะ”
“ได้ลูก ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ป้าอยู่คนเดียว ส่วนใหญ่ลุงเขาก็อยู่อเมริกา ส่วนพี่ๆ ตอนนี้ก็เรียนกันอยู่ที่อเมริกากันหมด ยังไม่มีใครกลับมาเลย ต่อให้กลับมาก็ไม่มีปัญหาเพราะบ้านเราใหญ่โตขนาดนั้น มีพั้นช์มาอยู่เป็นเพื่อนป้าก็ดีจะตาย ทุกวันนี้
ก็เหงาจะแย่ เดี๋ยวป้าจะให้คนไปจัดการเรื่องของใช้และเสื้อผ้า
ให้ไปขนเข้าบ้านป้าเลย ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวเราค่อยทยอยๆจัดการนะลูก”
“ขอบคุณมากค่ะ ป้าพิมพ์”
พาขวัญ หรือ พั้นช์ สาวน้อยผิวขาวจัด วัยสิบแปดปี
ยืนกอดภาพหน้าศพมองควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากปล่องควันไฟด้วยใบหน้าแสนเศร้า ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มนวล
ไม่ขาดสาย พ่อกับแม่จากเธอไปในวันที่เธอได้รับข่าวดีเรื่องผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ยังไม่ทันที่พ่อกับแม่จะได้รับรู้และร่วมแสดงความยินดีกับข่าวดีนี้ของเธอเลย ท่านก็มาด่วนจากไปเสียก่อนแล้ว
“พ่อกับแม่ได้ต้องเป็นห่วงพั้นช์นะคะ พั้นช์จะไปอยู่กับป้าพิมพ์ พั้นช์จะตั้งใจเรียน ไม่ทำให้ป้าพิมพ์หนักใจค่ะ ขอให้พ่อกับแม่ไปอยู่บนสวรรค์ให้สบายใจ แล้ววันนึง เราค่อยกลับมาเจอกันใหม่นะคะ”
เธอยืนกอดรูปถ่ายพร้อมกับร้องไห้อีกครั้ง
“กลับบ้านเรากันนะลูก ที่เหลือทางนี้เดี๋ยวคนของป้าจัดการต่อเอง”
“ค่ะ ป้าพิมพ์”
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เธอเองก็ได้มานอนที่นี่หนึ่งคืนแล้ว แต่เพราะความเศร้าเสียใจ ทำให้เธอไม่ทันจะสังเกตว่าที่นี่มัน
โอ่อ่าและหรูหราขนาดไหน แม้กระทั่งห้องนอนของเธอที่ใช้ซุก
หัวนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เธอเองก็ยังไม่ทันจะได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ
พิมพ์มาดาพาเธอนำรูปถ่ายของพ่อกับแม่เธอไปไว้ที่ห้องพระในส่วนที่จัดไว้เฉพาะสำหรับตั้งวางรูปและโกศอัฐิของบรรพบุรุษ
“พร เธอกับคุณพร้อมไม่ต้องเป็นห่วงพั้นช์นะ ฉันจะดูแลให้เอง จะส่งเสียให้เรียนสูงสุดตามแต่เขาจะต้องการ จะดูแลเหมือนพั้นช์เป็นลูกคนหนึ่งของฉัน เธอก็รู้นะ ว่าฉันก็รักพั้นช์
ไม่ต่างจากลูกแท้ๆ เพราะฉะนั้น เธอสองคนสบายใจได้และหลับให้สบาย”
“พั้นช์จะเป็นเด็กดีของป้าพิมพ์ค่ะ อะไรที่พั้นช์จะตอบแทนบุญคุณนี้ของป้าพิมพ์ได้ พั้นช์ยินดีทำทุกอย่างค่ะ”
“ขอบใจมากลูก แค่พั้นช์อยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและ
มีความสุข ป้าก็พอใจแล้ว”
“พั้นช์จะเข้มแข็งค่ะ”
“ดีมาก ไปอาบน้ำก่อนเถอะลูก เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมง
เราลงไปเจอกันที่โต๊ะอาหารนะ”
พาขวัญเข้ามาในห้องนอนที่ตัวเองต้องอาศัยอยู่นับจากนี้ เธอมองไปรอบๆห้องที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงสีขาวล้วนสไตล์เจ้าหญิง ผ้าปูที่นอนและผ้าม่านเป็นโทน
สีชมพูหวาน ห้องแต่งตัวของเธอที่แยกโซนออกมาประกอบด้วยตู้เสื้อผ้าบิ้วท์อินยาวเต็มผนัง ลำพังตัวเธอเองก็เกิดในครอบครัวที่มีฐานะ สะดวกสบายมาตั้งแต่เกิด อยู่บ้านหลังโตโอ่อ่า แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับบ้านหลังนี้
พ่อแม่ของเธอไม่ได้จากไปเปล่าๆ พวกเขาทิ้งสมบัติไว้ให้เธอพอสมควร ทั้งบ้านหลังที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด ที่ดินในกรุงเทพ บ้านและที่ดินสวนที่จังหวัดนนทบุรี เงินสดในบัญชีธนาคารหลักสิบล้าน และกองทุนประกันชีวิตก้อนโตที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ ต่อให้ไม่มีพิมพ์มาดา เธอก็ใช้เงินทองเหล่านี้เลี้ยงดูตัวเองต่อไปได้จนเรียนจบ
แต่ที่เธอเลือกมาอาศัยอยู่กับพิมพ์มาดา เพื่อนรักที่สุดของแม่ เพราะเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะจำเป็นต้องมีผู้ปกครองดูแล และเรื่องของสภาพจิตใจที่เธอต้องสูญเสียคนที่รักที่สุดไปพร้อมกันถึงสองคน ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของเด็กผู้หญิงที่ต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียวอีก การมาอยู่กับผู้ใหญ่ที่เธอรักและไว้ใจจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
บนโต๊ะอาหารของบ้านหลังใหญ่วันนี้ มีอาหารมากกว่าปกติ เพราะเจ้าของบ้านไม่ต้องทานข้าวเพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ที่จริงสมาชิกของบ้านหลังนี้มีด้วยกันถึงห้าคน แต่เพราะลูกชายและลูกสาวทั้งสามต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกา แถมสามีของเธอยังมีธุรกิจโรงแรมและกาสิโนอยู่ที่นั่น ถึงเทียวไปเทียวมาระหว่างประเทศไทยและอเมริกามาตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้
“พั้นช์อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกาไหม พี่ๆ เรียนอยู่ที่โน่นกันหมด แถมลุงพอลยังเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ ถ้าพั้นช์ไปเรียนที่โน่นก็มีคนดูแล ป้าก็สบายใจแต่ถ้าไปประเทศอื่นป้าไม่อยากให้ไปเลย”
“พั้นช์เรียนที่ไทยดีกว่าค่ะ”
“เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง ป้าจัดการเอง”
พาขวัญพนมมือไหว้ป้าพิมพ์ของเธออย่างนอบน้อม
ในความโชคร้ายที่กลายเป็นเด็กกำพร้าก็ยังมีความโชคดี ที่มีคนที่ยังรักเธอขนาดนี้อยู่บนโลก
“ขอบคุณมากค่ะป้าพิมพ์ แต่พั้นช์ว่าพั้นช์เรียนที่ไทย
ก็พอแล้วค่ะ ตอนนี้พั้นช์สอบได้คณะบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์
ได้เรียนเป็นภาษาอังกฤษ แถมยังไม่ต้องไปไกลบ้านด้วย อีกอย่างให้พั้นช์อยู่เป็นเพื่อนป้าพิมพ์ดีกว่าค่ะ อยู่บ้านคนเดียวเหงาแย่เลย ไว้ถ้าพี่ๆเรียนจบกลับมา หรือพั้นช์เรียนจบตรีแล้ว จะไปต่อโทที่นั่นค่อยว่ากันอีกรอบนะคะ”
“เอางั้นก็ได้ลูก ตั้งใจเรียนนะ เรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างป้าจัดการเอง”
เธอพนมมือไหว้แม่คนที่สองของเธออีกครั้งในความกรุณา
“ขอบคุณมากค่ะ แต่แม่กับพ่อทิ้งเงินไว้ให้พั้นช์เยอะเลย ใช้เงินนี้เรียนก็ได้ค่ะ แค่มาอยู่กับป้าพิมพ์ก็สิ้นเปลืองแย่แล้ว”
“เงินของพั้นช์ ป้าจะให้พั้นช์เก็บเอาไว้เป็นทุนชีวิต
ไว้สร้างอนาคตตัวเอง ตอนนี้พั้นช์เป็นลูกสาวคนเล็กของป้าแล้วนะ เรื่องเรียน และการดูแลพั้นช์ให้เป็นหน้าที่ป้านะ อย่าเกรงใจและอย่าขัดใจคนแก่ รู้ไหม”
“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะป้าพิมพ์ พั้นช์จะตั้งใจเรียน
จะไม่ทำตัวให้ป้าพิมพ์ผิดหวังในตัวพั้นช์เลยค่ะ”
“จ้ะ ทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยววันนี้พักผ่อนกันเร็วหน่อย นอนหลับให้เต็มที่ พั้นช์หน้าตาอิดโรยมาก พรุ่งนี้ป้าจะพาชมรอบๆ บ้านเอง”
จำเอาไว้ว่าผัวของเธอชื่อ “เหนือเมฆ” หลังจากนี้ ถ้าเธอไปอ่อยผู้ชายหน้าไหนอีก..ฉันเอาเธอตายแน่
เขาตั้งใจกักขังเธอเอาไว้..ด้วยคำว่าบุญคุณ ที่ตอบแทนทั้งชีวิต..ก็ไม่มีวันหมด
เธอ..เป็นของต้องห้ามสำหรับเขา..คุณหนูผู้เอาแต่ใจ ลูกสาวเจ้านายผู้มีพระคุณ เขา..เป็นของร้อนสำหรับเธอ อยู่ใกล้แล้วมันร้อนรุ่ม บอดี้การ์ดหน้าโหดที่ขัดใจเธอไปเสียทุกอย่าง และแม้ว่าบอดี้การ์ดอย่างเขา จะอยากขย้ำเธอให้จมเขี้ยวสักเท่าไร แต่ก็ทำได้เพียงอดทน..จนกว่าจะถึงวันที่เขา..คู่ควร
ความเข้าใจผิดทำให้เขามีค่ำคืนอันเร่าร้อนกับเธอ..เขาจะถือว่าเธอเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจก็ตาม และของที่เป็นของเขา จะไม่มีวันปล่อยให้ใครหน้าไหนได้เชยชมทั้งนั้น อย่าฝันจะเป็นอิสระ
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ไอ้เพื่อนหื่นมันล่อทั้งเมียและแม่ยายเพื่อนสนิทอย่างรุนแรงดุเดือดเลือดพล่าน
"อ๊ะ..ที่ไหนนี่มืดจัง อึดอัดจังเลย โอ้ย !!ใครถีบหัววะ" "ฮูหยินคลอดแล้วเป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ยังมีอีกคนเจ้าค่ะ เบ่งอีกเจ้าคะ " "อุ๊แว" "เป็นคุณหนูเจ้าค่ะฮูหยิน"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY