หลังจากแต่งงานมาได้สามปี ไม่มีใครรอคอยการมาถึงของเด็กคนนี้มากไปกว่าเธออีกแล้ว ดังนั้นเธอจะต้องปกป้องเขาอย่างดีที่สุด
หลังจากไปเอายาเสร็จ เวินเหลี่ยงก็ออกมาจากคลินิกผู้ป่วยนอก และกลับไปที่รถ
คนขับสตาร์ทรถ และมองดูเธอในกระจกมองหลังพลางถามขึ้นว่า “คุณผู้หญิงครับ เที่ยวบินของคุณผู้ชายจะมาถึงเวลาบ่ายสามโมง ตอนนี้ยังมีเวลาอีกยี่สิบนาที คุณอยากจะไปที่สนามบินเลยไหมครับ?”
“ไปเลยก็ได้”
เมื่อคิดว่าอีกยี่สิบนาทีก็จะได้เจอเขาแล้ว ใบหน้าของเวินเหลี่ยงก็เผยรอยยิ้มอันแสนหวานขึ้นมาทันที เธอแทบจะอดใจรอไม่ไหวอยู่แล้ว
ฟู่เจิ้งเดินทางไปทำธุระนอกพื้นที่มาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว เธอคิดถึงเขามาก
ระหว่างทาง เธออดไม่ได้ที่จะหยิบใบตรวจครรภ์ออกมาจากกระเป๋าขึ้นมาดูอยู่หลายรอบมาก แล้วก็เอามือวางลงบนท้องน้อยเบา ๆ
นี่คือลูกของเธอกับฟู่เจิ้ง อีกแปดเดือน ลูกก็จะคลอดออกมาแล้ว
เธออยากจะบอกข่าวดีเรื่องนี้กับฟู่เจิ้งจนแทบจะทนไม่ไหว
เมื่อไปถึงสนามบิน คนขับก็จอดรถไว้ในที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน แล้วก็พูดว่า “คุณผู้หญิงครับ ทำไมคุณถึงไม่โทรหาคุณผู้ชายล่ะครับ?”
เวินเหลี่ยงเหลือบมองเวลา ตอนนี้ฟู่เจิ้งน่าจะลงจากเครื่องบินมาแล้ว เธอจึงกดโทรออกไป แต่กลับมีเสียงคอลเซ็นเตอร์บอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
“เครื่องบินอาจจะดีเลย์ล่ะมั้ง งั้นก็รอสักพักหนึ่งก่อนก็แล้วกัน” เวินเหลี่ยงกล่าว
หลังจากผ่านไปสักพัก ฟู่เจิ้งก็ยังไม่ออกมาสักที
เวินเหลี่ยงจึงโทรไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้เช่นเดิม
“รอก่อนแล้วกัน”
หากเที่ยวบินจะดีเลย์ก็เป็นเรื่องปกติ บางครั้งดีเลย์ไปหนึ่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเลยก็มี
สองชั่วโมงต่อมา
เวินเหลี่ยงกดโทรออกไปหาฟู่เจิ้งอีกครั้ง ในที่สุดก็ไม่มีเสียงแจ้งเตือนที่เย็นชาดังขึ้นมา ไม่นานปลายสายก็มีคนรับ “อาเจิ้ง คุณลงจากเครื่องบินแล้วรึยัง?”
ปลายสายเงียบไป จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา “ขอโทษทีนะคะ พอดีอาเจิ้งไปเข้าห้องน้ำ ไว้เดี๋ยวถ้าเขากลับมาแล้วจะบอกให้เขาโทรกลับหาคุณอีกทีนะคะ”
ก่อนที่เวินเหลี่ยงจะทันได้พูดอะไร เสียงสายไม่ว่างก็ดังมาจากในโทรศัพท์เสียแล้ว
เธอมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ แล้วก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เธอจำได้ว่า ที่ฟู่เจิ้งไปทำงานครั้งนี้ เขาไม่ได้พาเลขาผู้หญิงไปด้วยหนิ
เวินเหลี่ยงจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ปิดอยู่ เธอกำลังรอให้ฟู่เจิ้งโทรกลับมา
ไม่นาน เวลาก็ผ่านไปสิบนาที
แต่ฟู่เจิ้งก็ยังไม่ได้โทรกลับมาแต่อย่างใด
หลังจากเวินเหลี่ยงรออีกห้านาที เธอก็ทนไม่ไหว โทรกลับไปหาฟู่เจิ้งอีกครั้ง
หลังจากโทรออกไป และรออยู่นาน ตอนที่สายกำลังจะตัดโดยอัตโนมัติแล้ว จู่ ๆ ก็มีคนรับสาย แล้วก็มีเสียงผู้ชายที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากในโทรศัพท์ เสียงของเขามีความเคร่งขรึม และทุ้มมาก “ฮัลโหล เวินเหลี่ยงเหรอ?”
“อาเจิ้ง คุณอยู่ไหนคะ? ฉันกับคนขับรถอยู่ที่ลานจอดรถเขตดีของอาคารผู้โดยสารแล้ว คุณมาที่นี่ได้เลย”
เสียงของอีกฝั่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “ขอโทษทีนะ พอดีลงจากเครื่องบินมาแล้วผมลืมเปิดเครื่องน่ะ ตอนนี้ผมออกจากสนามบินมาแล้วล่ะ”
รอยยิ้มของเวินเหลี่ยงหายไปในทันที
“งั้น ฉันจะกลับบ้านไปรอคุณนะ?” เวินเหลี่ยงกัดริมฝีปาก “ฉันมีเรื่องจะบอกคุณด้วย”
“โอเค ผมก็มีเรื่องจะบอกคุณเหมือนกัน”
“งั้นอาหารเย็น เดี๋ยวฉันให้อาอี๋เตรียมอาหารที่คุณชอบกินเอาไว้...…”
“คุณกินเลย ผมยังมีธุระอีก คงกลับไปช้าหน่อย”
เวินเหลี่ยงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “งั้นก็ได้”
ขณะที่เธอกำลังจะวางสาย ทางฝั่งของฟู่เจิ้งก็มีเสียงผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง “อาเจิ้ง ฉันขอโทษ เมื่อกี้นี้เวินเหลี่ยงโทรมาหาคุณน่ะ ฉันลืมบอกไปเลย.....”
หัวใจของเวินเหลี่ยงจมดิ่งลงไปทันที เธอเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาแล้ว ขณะที่เธอกำลังจะถามฟู่เจิ้งว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร สายก็ตัดไปเสียก่อน
เธอมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ แล้วก็เม้มริมฝีปาก จากนั้นก็พูดกับคนขับว่า “กลับบ้านเถอะ”
คนขับเดาอะไรบางอย่างจากคำพูดได้ แล้วเขาก็ขับออกจากสนามบินไป
สำหรับมื้อเย็น เวินเหลี่ยงไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด แต่เป็นเพราะเห็นแก่เด็กที่อยู่ในท้อง เธอจึงต้องกินอะไรบ้าง
ทีวีในห้องนั่งเล่นถูกเปิดเอาไว้
เธอนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา คอยมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงเธอไม่ได้มีกระจิตกระใจที่จะดูสิ่งที่กำลังถ่ายทอดอยู่ในทีวีเลยสักนิด
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
เวินเหลี่ยงหาว แล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่เธอกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นี้ จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเบา ๆ ราวกับว่ามีใครอุ้มเธอขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
เวินเหลี่ยงที่กำลังสะลึมสะลือ รู้สึกเหมือนจะได้กลิ่นที่คุ้นเคยและกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อน ๆ เธอจึงพึมพำขึ้นมาว่า “อาเจิ้งเหรอ?”