วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
“ติดต่อไปสิบสามครั้งแล้วครับ แต่...เอ่อ..แต่...แต่ทางนั้นไม่ยอมเจรจาด้วยเลยครับ อะ เอา ตะ แต่ไล่ออกมา”
เสียงรายงานของ ‘คมเดช’ ทนายความส่วนตัวของศศิร์ธาทำให้คิ้วเข้มที่พาดเฉียงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ทนายความคนสนิทของเขาทำไมถึงได้มีความไม่มั่นใจในน้ำเสียงแบบนี้ ทั้งยังมีอาการหวาดระแวงขณะรายงานเรื่องการติดต่อซื้อขายที่แปลงเล็ก ๆ แปลงหนึ่งให้เขาได้รับรู้ข้อมูล
ชายหนุ่มเจ้าของวงหน้ากึ่งไทยกึ่งเสี้ยวยุโรปนิ่งไปพักเดียว
เขาอยู่ในท่าก้มหน้าเล็กน้อยเพื่ออ่านรายงานในแฟ้มลับ สายตาคมเข้มสีดำมองจับอยู่ที่เอกสารแบบนั้นเกือบนาที แต่ไม่ได้อ่านเนื้อหาที่ในหน้านั้นเลย เพราะต้องแบ่งสมองไปคิดเรื่องที่กำลังได้ยินเมื่อครู่นี้
ศศิร์ธาหมุนหน้าเพียงเล็กน้อยเพื่อหันไปมองทางทนายความส่วนตัว แล้วจึงเอ่ยถามกลับไป “ทำไมถึงไม่ยอม”
คมเดชยังคงมีหน้าไม่สู้ดี เมื่อต้องรายงานเรื่องเมื่อกี้นี้อีกครั้ง ทั้งเจ้านาย ทั้งเจ้าของที่ต่างกดดันเขาพอกันทั้งคู่ น่ากลัวชะมัด
“พอผมบอกว่ามาติดต่อขอซื้อที่เท่านั้นแหละครับคุณศิธ เจ้าของที่ก็สั่งให้คนถือไม้มาไล่ตีผม ตะโกนด่าบอกแต่ว่าไม่ขาย ไม่คุยอะไรด้วยทั้งนั้น แล้วยัง...ยังจะ...” นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วคมเดชก็เอาแต่อึกอัก ทำท่าจะอาเจียน รายงานต่อไปไม่ไหว
ศศิร์ธาขมวดคิ้วคมเข้มเข้าหากันจนเป็นร่องเล็ก ๆ ร่องรอยประสบการณ์ชีวิตผุดขึ้นตรงหัวคิ้วจาง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ร่องรอยพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ชายวัยเฉียดสี่สิบปีคนนี้ดูแก่ลงเลย กลับเสริมเสน่ห์ให้เขาดูดีมากกว่าพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันเสียด้วยซ้ำไป
“คุณคมเดชถามเจ้าของที่ไปตรง ๆ แบบนั้นเลยหรือ”
ศศิร์ธาถามกลับ ชายหนุ่มเจ้าของชื่อศศิร์ธาสุภาพแบบนี้เสมอกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนงานในฟาร์ม คนรับใช้ในบ้าน หรือแม้แต่สวน รวมถึงคนสนิทหรือคนขับรถของเขาก็ด้วย
แต่ที่ทำให้ศศิร์ธาดูน่าเกรงขาม ก็ตรงน้ำเสียงสุภาพ ๆ นี่เอง เมื่อมันได้บวกรวมกับแววตาที่เขาใช้มองขณะสนทนาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คู่สนทนาหวาดเกรง และมันทำให้ศศิร์ธาต่างจากเจ้านายคนอื่น ๆ ในตระกูลนี้อย่างชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ทิ้งฝุ่น
“ก็ เอ่อ ก็…ใช่ครับคุณศิธ”
อะไรกันที่ทำให้ทนายความมือหนึ่งของเขาถึงกับเสียอาการได้ขนาดนี้ ทนายของเขาเอาแต่อึก ๆ อัก ๆ ไร้ความเป็นมืออาชีพไปเลย
ศศิร์ธาพยักหน้าทำนองว่ารับรู้แล้ว สายตาดำเข้มคมลึกมองออกไปยังวิวนอกตัวรถด้วยท่าทางคล้ายครุ่นคิด เขาผ่านสงครามธุรกิจมาหลาย ตั้งแต่กลับจากศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เลยพอรู้จักหลากหลายสารพัดทริกที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกขึ้นมาใช้ เขาเจอมาแทบจะทั้งนั้น ล้วนแล้วแต่ใช้วิธีการคล้ายคลึงกันทั้งหมด
ศศิร์ธารู้ข้อมูลมาว่าเจ้าของที่พักอยู่ตรงที่ดินแปลงนั้น พวกเขาปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงผลไม้ท้องถิ่น อยู่กินแบบพอเพียงตามค่านิยมที่ผู้คนบางกลุ่มใช้กันมานาน หรือบางกลุ่มก็เพิ่งจะเริ่มนำมาใช้ดำเนินชีวิตกัน แต่นั่นไม่ใช่ค่านิยมสำหรับศศิร์ธา
มุมปากของศศิร์ธาขยับขึ้นเป็นรูปโค้งขึ้นเพียงนิดเดียว พร้อมกับความคิดในหัวที่ว่า หากเงินไม่มากพอจะซื้อขาย และเจ้าของที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน มักไม่ยินยอมเจรจา นั่นต่างหากปัญหาที่แท้จริง
ศศิร์ธาไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขานั่งเงียบเพื่อพิจารณาเรื่องงาน จนเห็นว่ารถเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นเล็กที่ไม่ได้ลาดด้วยยางมะตอยหรือคอนกรีตแบบที่คุ้นเคย แต่เป็นดินลูกรังตลอดเส้นทาง ก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอีกเล็กน้อย ๆ ปล่อยลำตัวให้เอนไปตามแรงกระแทกซ้ายบ้างขวาบ้างจนถึงจุดหมาย
เมื่อรถจอดลงแล้ว ศศิร์ธามองตรงไปยังเบื้องหน้าที่เป็นผืนดินแปลงที่เขาต้องการนำมาขยายไปพร้อมกับแปลงข้าง ๆ ที่กว้านซื้อไว้แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน
นี่สินะคู่ค้าที่เขาต้องลงมาเจรจาด้วยตัวเอง
ศศิร์ธาเห็นบ้านไม้กึ่งปูนหลังไม่ได้ใหญ่นัก ปลูกสร้างบนพื้นที่รวมแล้วไม่เกินยี่สิบไร่ ภายในนั้นมีสวนผลไม้หลากหลายชนิดแบบที่เก็บกินได้ทั้งปีตามฤดูกาล ลักษณะคล้ายปลูกกินเองในครัวเรือนมากกว่าจะเป็นในเชิงพาณิชย์
ศศิร์ธาเก็บรวบรวมข้อมูลตามที่ตาเห็น เพื่อใช้ต่อรองกับเจ้าของที่ดิน
เขาแตะที่เปิดประตูเตรียมผลักออกไป แล้วยกขาแข็งแรงทั้งสองข้างย้ายลงไปวางบนพื้นดินพร้อมกับยืดตัวตรงเต็มความสูงเมตรแปดสิบเซนต์ ชายหนุ่มมองสำรวจรอบบริเวณอีกทอดหนึ่งแล้วถึงออกเดินเข้าไปยังพื้นที่ด้านใน ไม่มีใครสักคน
เขาเดินลึกเข้าไปอีกตรงหลังบ้าน แว่วเสียงคุยกันที่ตรงด้านหลังของบ้านนั่นเอง สายตาคมเข้มกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วค่อยเดินตรงไปตามเสียงที่ได้ยิน
“เขามาหลายรอบแล้วจ้ะ ครั้งล่าสุดเอาไม้ฟาดเข้าให้ แล้วก็จับอีตาแว่นไว้ได้ ขู่ว่าจะเอาขี้หมายัดปาก เลยหน้าซีดวิ่งกลับไปขึ้นรถแทบไม่ทัน”
ศศิร์ธาฟังนิ่ง ๆ นี่เองที่ทำให้คมเดชหน้าซีดเซียว ทำท่าจะอาเจียนตอนรายงานความคืบหน้าให้เขาฟัง เมื่อตอนอยู่บนรถ คนพวกนี้ไร้อารยะถึงกับจะเอาอุจจาระสุนัขยัดปากทนายความของเขาเลยหรือ ศศิร์ธาส่ายหน้าด้วยอาการเอือมระอา
“นี่ถ้ามันมาอีก บอกตาเลยดีไหม ถ้าตารู้นะ จะต้องเข้าไปเอาปืนมายิงหัวพวกนั้นแน่นอนเลย” เสียงที่ฟังดูมีอายุบอกสำทับอย่างกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์ คงนึกโกรธนั่นเอง
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง”
“แล้วพวกนั้นบอกไหมว่าจะซื้อไปทำอะไร”
“ไม่ได้บอกหรอกแม่” เสียงหวานใสเรียบเอื่อยเสียงนั้นทำให้ศศิร์ธาต้องหยุดฟัง หัวใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้น ศศิร์ธาขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด พยายามมองเข้าไปตรงสวนแต่ไม่เห็นเจ้าของเสียงนั่นที่กระตุกหัวใจของเขา
“บอกแต่ว่าเป็นตัวแทนจากเจ้าของที่ข้าง ๆ เรานี่แหละ นี่เขาได้ที่ไปตั้งเยอะแล้ว ซื้อที่ยายหนั่นไปนั่นก็ตั้งเป็นหลายร้อยไร่ ไม่รู้ว่าจะมาอยากซื้อที่ของเราทำอะไรอีก”
“ใช่พวกธุรกิจสีเทา ๆ ดำ ๆ อะไรนั่นที่ออกข่าวหรือเปล่า”
“น่าจะใช่มั้งแม่”
“หน้าด้าน! ที่ของตัวเองกว้างออกขนาดนั้นยังจะอยากได้ที่ของคนอื่น”
“นั่นสิ แล้วแบบนี้ถ้าเจ้าของตัวจริงเข้ามาคุยเอง พวกเราจะเอายังไงกันดี”
“ก็ไม่เอาไงหรอก บอกเหมือนเดิมไปนั่นแหละว่าไม่ขาย” เสียงเรียบเอื่อยเสียงนั้นบอกขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความมั่นคงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ
ศศิร์ธาขมวดคิ้วสงสัยให้กับเสียงที่กระตุ้นแรงเต้นของหัวใจของเขา จนเผลอยกมือขึ้นแตะลงตรงหน้าอกด้านซ้ายเบา ๆ ทำไมหัวใจของเขาถึงได้กระแทกจังหวะแรงขึ้นแบบนี้
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
กันต์กมลต้องการหย่าจากสามี เมื่อระแคะระคายว่าเขามีคนอื่น แต่เขากลับไม่ยอมหย่าแบบง่าย ๆ เธอจะต้องทำอย่างไรดี
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"