เจียงเหว่ยยี่ และ กู้เหยียนอันเป็นคู่รักในวัยเด็กมา 12 ปีแล้ว และคบกันมา 3 ปีแล้ว การแต่งงานระหว่างตระกูลเจียง และตระกูลกู้นั้นยิ่งใหญ่มากจนผู้หญิงทุกคนในเมืองเอต่างก็อิจฉา ในวันแต่งงาน สถานที่จัดงานเลี้ยงเต็มไปด้วยแขกและเพื่อนต่างๆ แต่แล้วเมื่อมีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาทำให้กู้เหยียนอันละทิ้งเจียงเหว่ยยี่ ซึ่งแต่งตัวอย่างหรูหราสวยงามแล้ว การหลบหนีจากงานแต่งงานของกู้เหยียนอันทำให้เจียงเหว่ยยี่ดลายเป็นตัวตลกของเมืองเอ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่คนในเมืองเหล่านั้นได้หัวเราะเยาะเท่าไร ก็เห็นเจียงเหว่ยยี่โพสต์ใบทะเบียนสมรสระหว่างเธอกับเสิ่นจินโจว: "แต่งงานแล้ว" จากนั้นไม่นาน เสิ่นจินโจวที่ไม่ได้โพสต์ข้อความมาหลายปีก็โพสต์ว่า "อ่านแล้ว" บางคนบอกว่าครั้งนี้เจียงเหว่ยยี่โชคเข้าข้าง และสูญเสียของเล็กน้อยไป แต่กลับได้ของมีค่ามากกลับมา เพราะกู้เหยียนอันเทียบไม่ติดเสิ่นจินโจวแม้แต่นิดเลย เมื่อเผชิญกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาเหล่านี้ เจียงเหว่ยยี่ก็ตอบเห็นด้วยทุกครั้งอย่างตรงไปตรงมา จนกระทั่งวันหนึ่ง นักข่าวการเงินตัวกล้าถามเสิ่นจินโจวว่าเขาคิดอย่างไรกับการแต่งงานของเขา เมื่อทุกคนคิดว่าเสิ่นจินโจวจะเยาะเย้ยเจียงเหว่ยยี่อย่างหยิ่งผยอง แต่เขากลับพูดอย่างใจเย็นว่า: "ผมสมหวังแล้ว"
วันนี้เป็นการแต่งงานของตระกูลเจียงและตระกูลกู้แห่งเมืองเอ งานถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ห้องจัดเลี้ยงที่มีพื้นที่กว่าพันตารางเมตรได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราและชวนฝันมาก
พิธีกรบนเวทีกำลังกล่าวเชิญเจ้าบ่าว “ขอเชิญคุณกู้อี้อัน เจ้าบ่าวสุดหล่อของเราขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ!”
พอพิธีกรพูดจบ ผู้ชมก็ปรบมือดังกึกก้อง
แต่หลังจากที่พิธีกรกล่าวเชิญจบไปแล้วหลายวินาที ก็ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าบ่าวที่ควรจะปรากฏตัวขึ้นจากด้านข้างของเวทีเลย
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเริ่มซุบซิบกันขึ้นมา พิธีกรบนเวทียิ้มอย่างสงบเพื่อชดเชย “เรื่องไม่คาดคิด” นี้ หลังจากสงบไปได้ครึ่งนาที พิธีกรก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติเลยหยุดพูดไป บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเลยเงียบขึ้นมาทันที
ในขณะนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงตบหน้าดังมาจากหลังเวที ญาติและเพื่อนที่อยู่ใกล้เวทีนั้นต่างก็มองเห็นภาพหลังเวทีได้อย่างชัดเจน
และก็เห็นว่ากู้อี้อันที่เป็นเจ้าบ่าวนั้นโดนแม่ของเขาตบหน้าเข้าอย่างแรงหนึ่งที กู้อี้อันกระชากเข็มกลัด “เจ้าบ่าว” ที่หน้าอกซ้ายของเขาออก ก่อนจะหันหลังกลับไปพลางก้าวเท้ายาว ๆ แล้ววิ่งออกไปทันที
ในขณะเดียวกัน เจียงเหวยอี้นั้นกำลังกอดแขนเจียงเฉาเชิงอยู่ สองพ่อลูกนั้นกำลังรอประตูด้านหลังเปิด จากนั้นก็จะเดินขึ้นไปบนเวที
“ตื่นเต้นเหรอ อี้อี้?”
เจียงเฉาเชิงตบแขนลูกสาวของเขาด้วยความรัก เจียงเหวยอี้ก็เหลือบมองพ่อของเธออย่างอาย ๆ
และตอนที่เธอกำลังจะพูดนั้น จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงคุณนายกู้ดังมาจากด้านหลังเธอ “กู้อี้อัน กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
พอได้ยินเสียงคุณนายกู้ เจียงเหวยอี้ก็หันกลับไปมองทันที
พอเธอหันกลับไป เธอก็เห็นกู้อี้อันวิ่งผ่านเธอไปอย่างรีบร้อน
พอเห็นเธอ สายตาของกู้อี้อันก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “อี้อี้ ผมขอโทษนะ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเสี่ยวเหยียนน่ะ เลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อนสองสามวันละกัน!”
ตอนที่พูดนั้น เท้าของเขาไม่ได้หยุดเลย
พอเจียงเหวยอี้ได้ยินที่เขาพูดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกว่าความสุขที่มีนั้นเหมือนโดนเขาเอาน้ำเย็นราดซะจนไม่เหลืออะไรแล้ว
เมื่อกี้เจียงเฉาเชิงถามเธอว่าตื่นเต้นรึป่าว ใช่ เธอรู้สึกตื่นเต้นนัก แต่เธอไม่ได้ตื่นเต้นเพราะที่จะได้แต่งงานกับกู้อี้อัน เธอตื่นเต้นกับเรื่องที่ว่างานแต่งงานคืนนี้จะไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่จ้าวชือเหยียนบอกในข้อความเมื่อคืนหรือไม่ต่างหากล่ะ!
สีหน้าของเจียงเฉาเชิงที่อยู่ข้าง ๆ ยิ่งดูไม่สู้ดีเข้าไปใหญ่ งานแต่งงานกำลังจะเริ่มแล้ว ในงานนั้นก็เต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย แต่กู้อี้อันนั้นกลับจากไปตอนสำคัญแบบนี้ซะได้!
เจียงเหวยอี้ยืนอยู่ที่นั่นพลางมองร่างของกู้อี้อันที่วิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ตัวของเธอนั้นแข็งและเย็นไปหมด
ไม่!
เธอจะปล่อยให้กู้อี้อันจากไปไม่ได้!
เจียงเหวยอี้กลับมาได้สติก่อนจะยกกระโปรงแต่งงานแล้ววิ่งตามไปทันที “กู้อี้อัน!”
เธอสวมรองเท้าส้นสูงซึ่งทำให้เท้าของเธอเจ็บ ทุกก้าวที่เธอวิ่ง ส้นเท้าของเธอนั้นรู้สึกเหมือนมีคนใช้มีดคม ๆ หั่นเนื้อของเธอไม่มีผิด
แต่เจียงเหวยอี้ก็ไม่ได้หยุดวิ่งสักที เธอกัดฟันและพยายามไล่ตามกู้อี้อันไปให้ทัน
งานแต่งงานจัดขึ้นบนชั้นสอง กู้อี้อันวิ่งไปที่บันได พอได้ยินเสียงเจียงเหวยอี้ก็ชะงักไป
แต่ก็หยุดไปแค่ครู่เดียว จากนั้นเขาก็รีบเดินออกไปจากโรงแรมอย่างรวดเร็วทันที
ตอนที่เจียงเหวยอี้วิ่งออกมาจากโรงแรมนั้น กู้อี้อันนั้นก็เดินไปถึงถนนฝั่งตรงข้ามซะแล้ว
เจียงเหวยอี้นั้นรีบตามเข้าไปอย่างไม่ได้คิดอะไรทันที
กู้อี้อันกำลังจะขึ้นรถ แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเบรกกะทันหัน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของแม่ของเขา “อี้อี้!”
เจียงเหวยอี้ที่สวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์นั้นถูกรถเก๋งสีดำชนเข้า ความปวดที่น่องนั้นแผ่ขยายขึ้นมาทันที
เจียงเหวยอี้โดนชนจนล้มลงกับพื้น ชุดแต่งงานสีขาวของเธอมีเลือดไหลออกมาทันที แขนของเธอถลอกไปหมด คุณเจียงที่สวยและสง่างามเมื่อครู่นั้นตอนนี้กลับอยู่ในสภาพแย่และน่าสงสาร
เจียงเหวยอี้เอามือเท้ากับพื้นและบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง กัดริมฝีปากเอาไว้และจ้องมองไปที่กู้อี้อันที่ยืนอยู่ข้างรถอย่างไม่ละสายตา
เธอไม่ได้พูดอะไร แต่น้ำตาคลอเบ้านั้นเต็มไปด้วยคำขอร้อง
อยู่ต่อได้ไหม?
เลือกเธอสักครั้งได้ไหม?
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
สังคมภายนอกต่างรับรู้กันว่า ดุจตะวันหรือหมอซันเป็นนายแพทย์ เป็นเจ้าของโรงพยาบาล เป็นหนุ่มหล่อ ผู้ดิบผู้ดี ท่าทีสุขุมนุ่มลึก แต่แท้จริงแล้วเขามีด้านมืดซุกซ่อนอยู่ในภายใน เขามี ‘ ห้องขาว ’ อยู่ติดห้องนอน ใช่ เขาชอบสีขาว ชอบทุกอย่างที่ขาวสะอาดรวมไปถึงผู้หญิงด้วย... บ่อยครั้งที่เขาจะซื้อผู้หญิงบริสุทธิ์สะอาดมาไว้รองรับความใคร่ของตัวเองด้วยราคาแพงลิบลิ่ว แน่นอนว่าพวกเธอต้องยินยอมพร้อมใจ ไม่ได้เกิดจากการบังคับแต่อย่างใด การมอบพรหมจรรย์ให้กับผู้ชายที่ทั้งหล่อและหุ่นดีสูสีดารานายแบบ แลกกับเงินทองและความสะดวกสบายนั้น มันช่วยให้ทำใจได้ง่ายขึ้นเยอะ แค่ต้องเป็นนางบำเรอให้จนกว่าเขาจะเบื่อ สิ่งเดียวที่ต้องบังคับตัวเองให้ไม่ทำนอกเหนือไปจากหน้าที่ คืออย่าเผลอไปตกหลุมรักเขาเด็ดขาด เพราะคนอย่างดุจตะวันไม่มีหัวใจ... ตัวอย่างความคลั่งไคล้ของคูมหมอ : “ ดีไหม ” จู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นเล่นเอาเธอตกใจ “ อะไรคะ ” “ เอากับฉัน ดีไหม ” ใบหน้าของเธอร้อนวูบ พวงแก้มซับสีเลือดแดงระเรื่อ เธอกัดริมฝีปากอย่างเขิน ๆ แต่กิริยานั้นทำให้เขาเกิดอารมณ์ ริมฝีปากจิ้มลิ้มน้อย ๆ นั่นน่าแทงของใหญ่เข้าไปชะมัด ! *** “ เจ็บมากหรือเปล่า ” ห่วงหนูด้วยเหรอคะ ตอนขอให้เบาไม่เคยเบา ! เด็กสาวแอบคิดในใจ แต่ก็ตอบออกไปสั้น ๆ อย่างสุภาพ “ ค่ะ ” “ ขย่มฉัน ” เธอเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจ ถามอย่างไม่เชื่อหู “ อะไรนะคะ ” “ ฉันอยากให้เธอขย่มฉันในน้ำ ” แล้วจะถามทำไมว่าเจ็บหรือเปล่า ?!
คู่หมั้นของเธอนอกใจแม่เลี้ยงของเธอ และทั้งสองก็ร่วมมือกันวางแผนหลอกลวงทรัพย์สินของครอบครัวเธอ และวางกับดักให้เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เพื่อที่จะแก้แค้น เหวินหญ่าจึงตัดสินใจหาผู้ชายคนหนึ่งมาก่อเรื่องที่ที่งานหมั้นและฉีกหน้าพวกเขาทั้งคู่ โดยไม่คาดคิดหลังจาก "ประกาศหาแฟนโดยจ่ายค่าตอบแทนสูง"แล้ว เธอก็ได้หนุ่มสุดหล่อมาจริงๆ! เหวินหญ่าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กยากจนที่เพื่อเงินเท่านั้น แต่หลังจากอยู่กับเขา โชคของเธอก็ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก เดินนเล่นในห้างสรรพสินค้าใดก็ได้รับคูปองสำหรับแบรนด์หรูที่ซื้อฟรีและได้ชุดมูลค่านับแสนฟรี! ในงานหมั้น เขาออกงานอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ทุกคนนั้นตกตะลึงและประกาศอย่างเปิดเผยว่าเธอคือผู้หญิงของเขา! เดิมทีคิดว่าพวกเขาจะแยกทางกันหลังจากเรื่องนี้จบลง แต่เขากลับติดตัวเธอไม่ยอมไปไหนอีก "เราเพิ่งหมั้นกัน ตอนนี้ผมเป็นคู่หมั้นของคุณแล้ว" เหวินหญ่าหัวเราะเบา ๆ "คุณหมิ่น คุณคงไม่ใช่คิดว่าฉันรวยก็เลยไม่ยอมปล่อยฉันมั้ง?" หมิ่นซือหางยิ้ม เขาเป็นหลานชายของตระกูลใหญ่ ตระกูลหมิ่น เป็นซีอีโอของฮั้วเชง กรุ๊ป และเป็นถึงเจ้านายเบื้องหลังที่ควบคุมเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจของเมืองไฮทั้งหมด เขาต้องมาสนใจเงินเล็กน้อยของเธอเหรอ? ต่อมาเหวินหญ่ารู้ว่าเขาคือคนที่เอาครั้งแรกของเธอไปในคืนนั้น!
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น