หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
ณ เจียงเฉิง ในคืนฤดูร้อนอันเงียบสงบ
ซูเวยนั่งอยู่บนโซฟาพลางเลื่อนดูข่าวในโทรศัพท์ของเธอ
“ฟู่เหยียนอัน ประธานฟู่ชื่อ กรุ๊ปเข้าร่วมงานอย่างเป็นทางการกับหลิวยิน ศิลปินหญิงยอดนิยม ทั้งคู่ค้างคืนที่โรงแรมด้วยกัน มีนักข่าวถ่ายภาพใกล้ชิดของพวกเขาเอาไว้ได้...”
ข่าวนี้ติดเทรนการค้นหายอดนิยมและดังไปทั่วอินเทอร์เน็ต
ซูเวยดันกรอบแว่นตาสีดำบนใบหน้าของเธอขึ้นแล้วมองภาพในข่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
ภาพที่ถ่ายมานั้นเบลอมาก แต่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ามันคือภาพผู้ชายกับผู้หญิงจูบกันที่ริมหน้าต่าง
พระเอกนั้นไม่ใช่ใครอื่น ซึ่งก็คือฟู่เหยียนอัน สามีของเธอซึ่งเป็นทายาทของตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเจียงเฉิง
เป็นคนสูงส่งที่กุมเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเจียงเฉิง
พูดแล้วก็ตลกจริง ๆ
พวกเขาแต่งงานกันมาสองปีแล้ว แต่ฟู่เหยียนอันนั้นไม่เคยกลับมาเลย
แม้แต่ตอนจดทะเบียนสมรสนั้นเขาก็ไม่มาปรากฏตัวด้วยซ้ำ
แต่เขาส่งทนายมาจัดการเอกสารของกันและกันและจดทะเบียนสมรสแทน
เธอรู้ว่าฟู่เหยียนอันนั้นต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้มาโดยตลอด
การที่แต่งงานกับเธอนั้นเป็นเพราะคุณนายใหญ่ฟู่
เนื่องจากปู่ของเธอเคยช่วยชีวิตคุณนายใหญ่ฟู่ไว้ เขาเลยขอให้ตระกูลฟู่สู่ขอเธอและอยากให้เธอมีชีวิตที่สุขสบาย
เดิมทีเธอนั้นมีความคาดหวังเกี่ยวกับการแต่งงานของทั้งคู่อยู่เล็กน้อย
น่าเสียดายที่สองปีมานี้ ฟู่เหยียนอันนั้นมีข่าวอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนมาโดยตลอด...
ซูเวยเม้มริมฝีปาก หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและหาเบอร์ของฟู่เหยียนอัน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอโทรหาฟู่เหยียนอันในรอบสองปี
ไม่นานก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหล ฉันซูเวย”
“ซูเวยงั้นเหรอ ซูเวยไหนกัน?”
เสียงผู้ชายคนนั้นทุ้มต่ำแต่มีเสน่ห์ แม้ว่าน้ำเสียงจะเย็นชาแต่กลับน่าฟัง
ซูเวยยิ้มและจับโทรศัพท์ไว้แน่น
เป็นไปตามที่คิดจริง ๆ เขาจำชื่อภรรยาตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ฉันเป็นคนในทะเบียนสมรสของคุณ”
“เธอเองเหรอ มีอะไรรึป่าว?”
น้ำเสียงของผู้ชายคนนั้นยิ่งเย็นชาขึ้นกว่าเก่า
ซูเวยดันกรอบแว่นขึ้นแล้วพูดว่า “เราหย่ากันเถอะ”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้นฟู่เหยียนอันก็ถามขึ้นมาว่า “เธอคิดดีแล้วเหรอ?”
“แน่นอน”
“มีเงื่อนไขอะไรก็ว่ามาได้เลย”
“ไม่จำเป็นค่ะ! คุณฟู่ ฉันไม่สนใจเงินของคุณหรอกค่ะ และฉันก็ไม่ต้องการใช้ผู้ชายร่วมกับคนอื่นด้วย ฉันเซ็นใบหย่าแล้ว ฉันจะไปตัวเปล่าค่ะ”
ซูเวยพูดรวดเดียวจบและวายสายไปทันที
นอกจากทะเบียนสมรสแล้ว เธอกับเขานั้นเหมือนเป็นคนแปลกหน้าสองคนมากกว่า
จากนี้ไปพวกเขานั้นก็ทางใครทางมันและจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว!
ซูเวยขึ้นไปชั้นบนแล้วถอดแว่นตาขอบดำออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงาม
เธอเอาใบหย่าที่เตรียมไว้นานแล้วมาวางไว้บนโต๊ะกาแฟ และลากกระเป๋าเดินทางที่เก็บไว้เรียบร้อยแล้วก่อนจะจากไปอย่างสง่างาม
ณ ฟู่ชื่อ กรุ๊ป
แสงสีเหลืองอันอบอุ่นส่องสว่างไปทั่วห้องทำงานประธาน
ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บริหารนั้นสวมเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสีดำที่เรียบง่าย แต่มันไม่สามารถซ่อนความสูงส่งโดยกำเนิดของเขาเอาไว้ได้
ฟู่เหยียนอันมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา ริมฝีปากบางที่สวยงามนั้นหลุดหัวเราะเยาะออกมา
ในที่สุดภรรยาในนามของเขาก็ทนเหงาไม่ไหวและขอหย่าแล้ว!
มีเสียงเคาะประตู ผู้ช่วยเกาฝานก็เดินเข้ามา
“คุณฟู่ครับ ใกล้จะถึงเวลาที่นัดกับคุณหวังแล้วครับ”
ฟู่เหยียนอันตอบว่าอืมขึ้นมาเรียบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้นและหยิบเสื้อคลุมที่พาดไว้บนหลังเก้าอี้ขึ้นมา
“เกาฝาน ลบเทรนการค้นหายอดนิยมของวันนี้ออกซะ แล้วก็ให้ทนายไปจัดการเรื่องหย่าให้ฉันด้วย”
เกาฝาน “...”
ท่านประธานของเขานั้นบริสุทธิ์ แต่กลับสร้างเรื่องอื้อฉาวพวกนั้นเป็นบ่อยครั้งขึ้นมาก็เพื่อที่จะรอวันนี้แหละ!
ซูเวยเรียกแท็กซี่และตรงไปยังอพาร์ตเมนต์ที่เธอซื้อไว้ทันที
อพาร์ตเมนต์นี้ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง มีห้องนอนสามห้อง ห้องนั่งเล่นและห้องครัว
ในที่ดินราคาแพง สิ่งอำนวยความสะดวกในชุมชนนั้นค่อนข้างครบครัน
หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ซูเวยก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างสูง มองวิวยามค่ำคืนอันสดใสนอกหน้าต่าง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเพื่อนสนิทของเธอ
“หนวนหน่วน ฉันหย่าแล้ว”
“ว่าไงนะ? เวยเวยในที่สุดเธอก็หย่าแล้วสักที! ดีมากเลย! ออกมาฉลองที่กลับมาเป็นโสดกันเถอะ!”
“โอเค”
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด