/0/15988/coverbig.jpg?v=83ca998a92de9e02da4f778d887b0414)
ว่าที่แพทย์หญิงที่ย้อนกลับไปสู่อดีตในร่างหญิงอวบอ้วนที่สามีและลูกชิงชัง และอยากให้เธอตายอยู่ทุกวัน เธอจะไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายที่ไม่ได้รักเธอเป็นอันขาด นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายไทยโบราณนะคะ แต่ไม่ได้ย้อนยุคไปไกลมาก ชื่อเรื่องอาจจะเหมือนจีนโบราณแต่ความจริงแล้วคือไม่ใช่ค่ะ (อยากเขียนแต่ความสามารถยังไม่มากพอ) ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวนาผู้ยากจนซ้ำสามียังพิการ เป็นเรื่องราวของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หกที่ทะลุมิติไปอยู่ในร่างหญิงอวบอ้วนในปีพุทธศักราช 2495 เธอต้องเลี้ยงลูกสองคนและสามีพิการขาหักทั้งสองข้างอีก แถมพวกเขายังชิงชังหญิงอ้วนใจร้ายอย่างเธอด้วย ภาษาที่ใช้ในเรื่องนักเขียนจินตนาการขึ้นมาเองค่ะไม่ได้อิงประวัติศาสตร์แต่อย่างใด ส่วนประเพณีหรือวัฒนธรรมและความเป็นอยู่บางส่วนไรต์อ้างอิงมาจากเรื่องจริงแต่ส่วนใหญ่เกิดจากจินตนาการอาจมีบางตอนที่ไม่สมเหตุสมผล เนื้อหาค่อนไปทางอีสานนะคะ ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ ใครที่ชอบแนวนี้รอติดตามกันได้เลยนะคะว่าเธอจะไปใช้ชีวิตอยู่ในยุคนั้นให้รอดพ้นได้อย่างไร ถ้าชอบถ้าใช่อย่าลืมกดหัวใจกดติดตามให้ไรต์ด้วยนะค้า
แสงตะวันของวันใหม่เพิ่งจะโผล่พ้นก้อนเมฆออกมาในตอนสายจัด หลังจากฟ้าครึ้มฝนพรำลงมาติดต่อกันจนฟ้าปิดมาหลายวันเหตุเพราะเป็นช่วงพายุฝนฤดูร้อนกำลังเข้ามาเยือน
หญิงร่างอ้วนท้วนจนเกินคำว่าสมบูรณ์ที่นอนนิ่งมานานเกือบสัปดาห์ อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเรือนย้าวหรือจะเรียกว่ากระต๊อบก็ไม่ผิด ปลายนิ้วอ้วนป้อมเริ่มขยับ เปลือกตาค่อย ๆ กะพริบถี่แล้วเปิดกว้างขึ้น ดวงตากลมกลอกมองไปรอบทิศ กลิ่นอายฝนหอมกรุ่นโชยเข้าจมูก แต่กระนั้นเธอก็ยังหายใจลำบากเพราะคนอ้วนนอนราบกับพื้น ดวงตาดำขลับเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นสภาพห้องที่ตัวเองกำลังนอนอยู่
หลังคามุงด้วยหญ้าคาที่สานเป็นตับผนังบ้านกรุด้วยใบตองพลวงสานขัดกับไม้ไผ่ ขณะที่ใจกำลังเต้นโครมครามมือก็ลูบคลำพื้นห้องที่เจ้าตัวนอนไปพลาง ๆ ใต้ร่างของเธอน่าจะเป็นเสื่อ เมื่อมือสัมผัสกับพื้นไม้ไผ่ที่ใช้เป็นพื้นบ้าน สายตาจึงหลุบมองต่ำตามมือ ตรงที่เธอนอนเป็นเสื่อที่ทอด้วยกกผืนเก่าคร่ำคร่า ห้องที่เธอนอนอยู่คงเป็นห้องที่ใช้ทำครัวด้วย มันมีเหมือนชานยื่นออกไปเล็กน้อยมีหวดที่ใช้สำหรับนึ่งข้าวกับหม้อที่ใช้ทำแกงอีกหลายใบ หม้อที่ว่าทั้งสามใบเป็นหม้อดินทั้งหมด
หัวใจเต้นแรงตุบ ๆ ทั้งตื่นเต้นระคนหวาดกลัว เมื่อเธอรู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่โตที่กรุงเทพฯ หรือไม่ก็โรงพยายาลที่เธอเรียนอยู่ปีสุดท้ายที่ควรจะเป็น แล้วเธออยู่ที่ไหนเธอจำได้ว่ากำลังเดินเข้าไปดูเขาแข่งวอลเลย์บอลซึ่งเป็นกีฬาระหว่างมหาวิทยาลัย พอเดินเข้าไปถึงขอบสนามแล้วจู่ ๆ ลูกวอลเลย์บอลจากทีมฝั่งตรงข้ามก็ลอยลิ่วเข้ามากระแทกกับศีรษะของเธอด้วยความเร็วและแรงจนเธอสลบ
ใช่ เธอสลบไป แล้ว?…
ไม่สิ ถ้าแค่สลบเธอจะมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร บัวชมพูยกแขนทั้งสองข้างของตนขึ้นแล้วก็ต้องตะลึงกับความดำและใหญ่ของมันข้อพับตรงท้องแขนมีริ้วของขี้ไคลอยู่ด้วย ไหนจะนิ้วมืออวบอ้วนและเล็บที่ดำมีแต่ดินนั่นอีก มือสองข้างลูบคลำร่างตัวเอง แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง
โอ้ว! พุงใหญ่ที่มีเกินหน้าเกินตาแถมยังหน้าอกที่ใหญ่โตราวกับแตงโมจินตรา ต้นขาที่ใหญ่เกินแม่หมูตอนและสะโพกที่ใหญ่เกินกว่าคำว่าผาย น่าจะใช้คำว่าก้นบานมากกว่าถึงจะถูก น้ำหนักของแม่หญิงผู้นี้น่าจะไม่ต่ำกว่าเก้าสิบกิโลกรัม
ให้ตายเถอะ! แล้วจะลดอย่างไรไหว
เดี๋ยวก่อนเธอต้องตั้งสติก่อน บัวชมพูหายใจเข้าลึกกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เธอต้องการกระจก ไม่อยากเชื่อเลยจากว่าที่แพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกรูปร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้นจะกลายมาเป็นยายช้างน้ำไปได้
บัวชมพูนั่งนิ่งสักพักแววตาเหม่อลอยหวนนึกถึงความทรงจำในร่างเดิม แล้วทุกอย่างก็เด่นชัดขึ้น
อา! เธอมาอยู่ในร่างของหญิงอ้วนที่มีลูกอีกสองคนซ้ำสามีและลูก ๆ ยังรังเกียจ ร้ายกว่านั้นก่อนเธอจะหมดสติไปไม่กี่วัน สามีของเธอยังขาหักทั้งสองข้างเดินไม่ได้และเธอก็เป็นต้นเหตุให้เขาต้องขาหัก มันยิ่งตอกย้ำให้เขาเกลียดเจ้าของร่างนี้มากขึ้น
โอย! ช่างโชคร้ายอะไรขนาดนี้ ถ้าเทวดาจะเล่นตลกทำไมไม่ให้ไปอยู่ในร่างของหญิงงามบ้างหรือไม่ก็ให้ไปอยู่เมืองจีนหรือเกาหลีอะไรทำนองนั้นไม่งั้นก็ประเทศทางฝั่งตะวันตกก็ได้ทำไมต้องเป็น เอ่อ…เป็นที่ไหนล่ะ ที่นี่คือที่ไหน บัวชมพูหันมองซ้ายขวา ก้มหน้ามองตรงฝาผนังที่เปิดรับลมทำให้เธอมองเห็นทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ มันเหมือนจะเป็นเขตนอกเมืองเอามาก ๆ บัวชมพูได้แต่ตัดพ้อในใจ ไม่นานก็นึกขึ้นได้
มันคือหมู่บ้านโนนหนองจานในปีพุทธศักราช 2495
เธอกำลังจะหยัดกายใหญ่ของตัวเองลุกขึ้นก็รู้สึกปวดไปทั่วร่างและลามไปยังศีรษะ ความจำเดิมบอกว่าเธอลื่นเปลือกกล้วยล้มหัวกระแทกพื้นเพราะลูกทั้งสองแอบกินกล้วยสุกที่มีอยู่เพียงสามลูกจนหมดเกลี้ยง เจ้าของร่างเดิมวิ่งเอาแส้ไล่ตีจนเจ้าตัวล้มหัวแตกสลบไปแล้วบัวชมพูก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน
“โอ้ย! ปวดหัว” หญิงอ้วนเอ่ยขึ้นเสียงแหบแห้งรู้สึกลำคอแห้งผาก แต่ก็ทำให้ลูกอีกสองคนและสามีของนางที่อยู่เรือนทางฝั่งตะวันออกได้ยิน
“ท่านพ่อเสียงเหมือนยายอ้วนฟื้นขึ้นมาแล้วขอครับ” ลูกชายคนโตที่อยู่ในวัยเก้าขวบพูดขึ้นและทำหน้าตาตื่น เขยิบกายอันสั่นเทาเข้ามานั่งใกล้พ่อ น้องสาววัยเจ็ดขวบก็ทำเช่นกัน
“ฟื้นได้อย่างไรกัน” ผู้เป็นพ่อที่นั่งเอนกายเหยียดขาทั้งสองข้างที่เข้าเฝือกด้วยไม้ไผ่พิงอยู่กับเสาเรือนพูดขึ้นด้วยแววตาฉงน นางสลบไปเป็นอาทิตย์อยู่ดี ๆ จะฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร เขาเตรียมจะให้ลูก ๆ ไปบอกญาติพี่น้องเพื่อเตรียมนำศพนางไปฝังแล้วเอาดินกลบหน้าเสียแล้ว
โปรย: เธอไปเก็บเห็ดแต่ดันได้สามี ซ้ำเธอยังไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ สำคัญกว่านั้นเขาพิการ ไม่ใช่พิการธรรมดาแต่พิการแบบตะโกน ....................... ฝากนิยายเรื่องใหม่ค่า เรื่องนี้มีความเป็นอีสานนิด ๆ บวกแฟนตาซีหน่อย ๆ ค่ะ มันหอมออกไปเก็บเห็ดบนภูเขาแต่กลับเจอชายหนุ่มที่กำลังวิ่งหนีเสือมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เขาลากเธอวิ่งหนีเสือไปด้วยกันจนตกภูเขา ตื่นขึ้นมาอีกทีเธอก็ไม่ใช่มันหอมคนเดิมแล้ว แต่ต้องแบกผู้ชายคนนั้นกลับบ้านด้วย ใครจะไปรู้ว่าแค่แบกผู้ชายกลับบ้านจะทำให้เธอต้องแต่งงานกับเขา ที่สำคัญตอนนี้เขาขาหัก ตาบอด และความจำเสื่อม เธอจะมีชีวิตรอดอยู่ในร่างนี้ได้อย่างไร เนื้อหาบางส่วน.............. มันหอมเดินจากไปพักผ่อนในห้องแล้ว พ่อเฒ่าขวาน โสม และขุนเดชนั่งปรึกษากันด้วยใบหน้าเคร่งเคร่งขรึม พ่อเฒ่าพูดออกมาด้วยความลำบากใจ “ถึงอย่างไรมันทั้งสองก็ต้องแต่งงานกัน” ขุนเดชสะดุ้งเฮือก “ไม่มีวิธีแก้ทางอื่นแล้วเหรอครับ” ขุนเดชก็หนักใจไม่ต่างกัน เขาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ให้ลูกสาวผู้ดื้อรั้นยอมแต่งงานกับคนต่างถิ่น ถึงหน้าตาไอ้คนนั้นมันจะหล่อเหลาปานใด แต่อย่างไรก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ หรือหากเป็นคนที่พ่อเฒ่าหรือผู้ใหญ่บ้านหามาก็ว่าไปอย่าง อีกทั้งขาข้างซ้ายของมันก็หัก คนอย่างมันหอมจะดูแลมันไหวหรือ “คำว่าผิดผีแก้ด้วยวิธีอื่นไม่ได้นอกจากพวกมันต้องตบแต่งให้แก่กันเท่านั้น” พ่อเฒ่ากล่าวเสียงแข็ง “หญิงชายแนบกายชิดใกล้ในที่ลับตาคน ถึงจะอยู่ในที่โล่งแจ้งก็นับว่าผิดผีป่าผีเรือน หากไม่ทำตามประเพณีดั้งเดิมนั้นแล้ว เกรงว่าหมู่บ้านของเราจะต้องเผชิญกับเหตุร้ายที่คาดไม่ถึง” พ่อเฒ่าเอ่ยถึงประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณด้วยน้ำเสียงจริงจัง
โปรย: มาอยู่ในร่างหญิงปัญญาอ่อน ถูกตราหน้าว่าเป็นลูกโจรที่เคยเข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว ซ้ำร้ายเขายังต้องการล้างแค้นแทนพ่อโดยใช้หัวใจเป็นเดิมพัน ........................ ไรต์มีนิยายพื้นบ้านมาฝากอีกแล้วค่า เน้นการใช้ชีวิตประจำวัน เนื้อเรื่องไม่หวือหวาส่วนใหญ่เกิดจากจินตนาการของไรต์มากกว่าเหตุการณ์ในยุคนั้น ใครชอบแนวนี้ไรต์ฝากกดหัวใจกดติดตามกันด้วยนะคะ หญิงสาวที่ตื่นมาตอนเช้าเพื่อเตรียมตัวไปรับพระราชทานปริญญาบัตร แต่กลับต้องย้อนไปอยู่ในยุค 60 ในร่างหญิงปัญญาอ่อนที่มีความทรงจำอันน้อยนิด มีพ่อเป็นอดีตโจรที่ขาพิการ ครอบครัวยากจน กับค่าแรงวันละเจ็ดบาท แล้วเช่นนี้เธอจะทำให้ครอบครัวกินอยู่อิ่มท้องได้อย่างไร พระเอกนางเอกเรื่องนี้มีการแก้แค้นเอาคืนไม่ได้เป็นคนดีบริสุทธิ์นะคะ ทุกคนโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาบางส่วน.... คำแก้วเดินออกมาถึงทางห้าแยกที่จะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านสี่แจและหมู่บ้านอื่น ๆ ก็เจอกับชายฉกรรจ์สามคนยืนขวางอยู่ตรงหน้า คำแก้วเดินต่ออย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว “เฮ้ย! มีคนเดินมาทางนี้ว่ะ” “ลูกพี่มันแบกหมูป่าตัวเบ้อเร่อมาด้วย” “เอาของมีค่าทั้งหมดมาจากมันให้ได้” “แต่มันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เองนะลูกพี่” “พ่อมึงสอนให้โจรอย่างพวกมึงใจดีกับพวกผู้หญิงเหรอวะ” คนที่เป็นหัวหน้าแก๊งตวาดเสียงดังจนคำแก้วต้องเงยหน้ามอง ดวงตากลมไหวสั่นเล็กน้อย เข้ามาสิจะใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตให้ ปืนก็มี มีดก็มี กลัวอะไรล่ะ หักแขนหักขาคนก็ได้ด้วย “มะ ไม่ได้บอกครับ” คนที่เป็นลูกน้องตอบเสียงสั่น แล้วพวกมันก็ก้าวเท้าไปขวางหน้าคำแก้วไว้ “เอาของมีค่าจากตัวมึงมาให้หมด รวมถึงหมูป่าด้วย” ลูกน้องหนึ่งในสองคนพูดขึ้น แปลกใจที่ในกระบุงมีผลไม้หลายอย่างที่พวกเขาไม่เคยกิน “ไม่มี” คำแก้วตอบเสียงห้วน มองชายทั้งสามด้วยแววตาไม่สะทกสะท้าน เธออยากเห็นโจรตัวเป็น ๆ วันนี้เธอก็ได้เห็นแล้ว พวกมันใช้ผ้าขาวม้าคลุมหน้าไว้ ยุคสมัยนี้ตำรวจคงทำอะไรคนพวกนี้ไม่ได้จริง ๆ “ปากดีซะด้วย กูชอบว่ะ จะมีผู้หญิงสักกี่คนวะที่ไม่กลัวโจรอย่างพวกกู ฮ่า ๆ ๆ” เรืองว่าพลางหัวเราะเสียงลั่น ในมือถือปืนเคาะฝ่ามืออีกข้างเล่นไปพลาง ๆ แล้วสั่งลูกน้องเสียงเหี้ยม “จับตัวมันไว้” ลูกน้องทั้งสองกรูเข้าไปจับตัวคำแก้วไว้ คำแก้วปล่อยหมูและกระบุงลงบนพื้นดิน เรืองก้าวเท้ายาวเข้ามาใกล้ ดึงผ้าขาวม้าออกจากหน้าเธอ สายตาคมกริบมองใบหน้าเรียวเล็กของอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด “นี่มันลูกสาวคนโตของไอ้เสือเข้มนี่หว่า มึงกล้าออกมาป่าคนเดียวได้ยังไงวะ” เขาใช้ปลายกระบอกปืนเชยคางของคำแก้วขึ้น แล้วพิศมองใบหน้าเธอนิ่ง คำแก้วจ้องตามันกลับอย่างไม่ลดละ โจรพวกนี้อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับที่ทำร้ายพ่อของเธอก็เป็นได้ ถึงได้รู้จักเสือเข้ม ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนหลบอยู่ในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลมากนักถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินว่าสาวน้อยคนที่เขาเดินตามออกมาจากป่าเป็นลูกของไอ้เสือเข้ม แต่เขาได้ยินมาว่าลูกสาวคนโตของเสือเข้มเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเข้าป่าไปล่าสัตว์คนเดียวได้อย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวสัตว์ป่า หรือแม้แต่โจรพวกนี้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ที่เดินตามเธอมา คราแรกเขาแค่อยากรู้ว่าเธอเป็นคนของหมู่บ้านไหนกันแน่ เพราะเขาไม่เคยเห็นหน้า และกลัวว่าเธอจะเป็นอันตรายจึงเดินตามมาอย่างเงียบ ๆ ไม่คิดว่าจะเป็นลูกสาวคนที่เขาตามหามานาน
โปรย: ปางก่อนเธอเคยละเลยเขากับลูก เมื่อได้มีโอกาสย้อนกลับไปแก้ไขชะตาอีกครั้งเธอจำต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เขาอภัยให้กับผู้หญิงชั่วร้ายอย่างเธอ .................................... นิยายเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระเอกพิการนะคะ พื้นที่ยังคงเป็นภาคอีสาน เกี่ยวกับวิถีชาวบ้านและความเป็นอยู่ อ่านได้เรื่อย ๆ ค่ะ เป็นเรื่องสั้น ๆ ไม่น่าจะเกินหกหมื่นคำค่ะ กชกรได้ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่เธอเคยทำไม่ดีกับลูกกับสามี โดยเธอต้องทำงานหนักทุกอย่าง เพราะเธอกลับไปคราวนี้พบว่าสามีของเธอพิการและต้องเลี้ยงลูกสองคนเพียงลำพัง ไปติดตามกันค่ะ ว่าเธอจะเอาชนะใจสามีได้หรือไม่ ………………………………. เท้าของเธอหยุดเดินและยืนอยู่บนคันนาเมื่อมาถึงนาของสามีที่ส่วนลุ่มอยู่ติดกับลำน้ำปาว ส่วนนาดอนด้านบนติดกับนาเธอ ใบตองพลวงหลุดจากมือตอนไหนเธอไม่ได้รู้ตัวเลย น้ำตารินไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ สามีกับลูกทั้งสองกำลังช่วยพ่อขุดดินและปักดำต้นกล้าลงไป ลูกชายคนโตกำลังใช้จอบเล็กขุดดินส่วนคนเล็กใช้เสียมขุดบางครั้งก็นั่งลงแช่ในน้ำ เดือนลูกสาวคนเล็กก็ทำตามประสาเด็กคงไม่ได้ช่วยพ่อมากนัก ในแปลงนามีน้ำท่วมถึงตาตุ่ม สามีใช้จอบเล่มใหญ่เขานั่งคุกเข่าด้วยขาข้างซ้ายลากขาอีกข้างตามไปอย่างทุลักทุเล เนื้อตัวพ่อลูกทั้งสามคนเต็มไปด้วยโคลนตม ปีที่แล้วเขาไม่ได้ทำนา ถ้าปีนี้ไม่ได้ทำอีกก็คงไม่มีข้าวให้กินแล้ว เพราะในยุคนี้ผู้คนล้วนขาดแคลนข้าวกันทั้งนั้น ครั้นจะจ้างก็คงไม่มีเงิน อีกอย่างเขาคงอยากทำเอง อุดรฯ ก็แห้งแล้งเหลือเกิน แต่พอถึงฤดูน้ำหลากนาของสามีที่อยู่ติดกับลำน้ำปาวน้ำก็ท่วมขังทุกปี หากจะขอพี่น้องหรือพ่อแม่กิน พวกเขาก็คงไม่มีให้เพราะนาพวกเขาก็ท่วมเหมือนกัน ก่อนหน้าที่เขายังเดินได้ก็ยังพออยู่พอกิน ตอนนั้นเขาเลี้ยงดูลูกเมียได้เป็นอย่างดี เกสรยกมือขึ้นปาดน้ำตาซ้ายขวา วางกระเป๋าย่ามไว้บนคันนาถอดรองเท้าวางไว้ข้างย่ามแล้วเดินลงไปในแปลงนามุ่งหน้าไปหาสามีกับลูก เดือนยืนมองเธออยู่พักใหญ่เมื่อมั่นใจจึงตะโกนเรียกเสียงดัง “แม่!” จ๋อม! จ๋อม! จ๋อม! ดำและลูกชายต่างละสายตาจากดินที่ขุดอยู่แล้วมองไปตามเสียงฝีเท้าที่เดินในน้ำเข้ามาใกล้ “แม่!” ลูกทั้งสองวิ่งเข้าไปกอดแม่ซ้ายขวาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิตที่เห็นแม่กลับมา น้ำตาของเธอก็ยิ่งไหลพรากออกมา ชาติที่แล้วเธอกล้าทิ้งเด็กน้อยหน้าตาน่ารักอย่างนี้ไปได้อย่างไร ถึงแม้ตอนนี้เนื้อตัวจะมอมแมมมากก็ตาม “แม่เกสรสวยขึ้น ขาวขึ้น” ดินบอกแม่ “จริงด้วยค่ะ พ่อบอกว่าแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อส่งเงินมาให้พวกเรา แม่ไปทำงานอะไรหรือคะ ทำไมสวยจัง” สิ้นคำลูกสาวน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาเป็นสายยาว เขาคงไม่เคยบอกลูกในสิ่งที่เธอทำไม่ดีเอาไว้ และคงยังไม่กล้าบอกลูกเรื่องที่เธอเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวาน “แม่…แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับพวกหนู” เธอไม่รู้จะพูดคำไหนกับลูกดี ในใจตอนนี้รู้สึกผิดกับลูกกับสามีจนไม่อยากให้อภัยตัวเอง รู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำตัวเหมือนสองปีที่ผ่านมา เป็นใครก็คงยากจะให้อภัย เห็นแม่สะอื้นหนัก ทั้งสองก็ทำได้เพียงใช้มือที่เปื้อนตมเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มให้แม่ จนหน้าขาวนวลของแม่เลอะไปด้วยดินโคลน เกสรเงยหน้าขึ้น ดวงหน้ายังเต็มไปด้วยน้ำตา ดวงตาพร่ามัวมองหน้าสามีนิ่ง ทั้งสองสบตากัน แววตาของเกสรเต็มไปด้วยคำว่าขอโทษเป็นล้านคำ ส่วนเขานั้นมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ในดวงตาคมเข้มคู่นั้นไม่มีแม้แต่เงาของเธอหลงเหลืออยู่เลย เขาวางหน้านิ่งมาก มากเสียจนไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรที่เห็นเธอกลับมา ใบหน้าเขายังหล่อเข้มเหมือนที่เธอเคยฝันถึง กรอบหน้าล้อมรอบไปด้วยเคราดกดำ ผมยาวมวยไว้ด้านหลังเหมือนคนป่า ผิวสีเข้มเพราะกรำแดดแต่เธอมองว่านั่นคือเสน่ห์ของเขา กล้ามเนื้อส่วนบนถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าฝ้ายแขนสั้นสีซีด กล้ามแขนเขายังดูแข็งแรงและบึกบึน ส่วนท่อนล่างมีกางเกงขายาวสีดำปิดบังไว้ เธอจึงมองไม่เห็นว่าขาของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ขาข้างขวาของเขาจะลีบหรือไม่ เขาคงเกลียดเธอมาก และเธอคงไม่หวังให้เขาอภัยให้เธอในวันนี้ เกสรนั่งคุกเข่าลงในน้ำจนผ้าถุงเปียกชื้นเพื่อให้กอดลูกได้ถนัดขึ้น หอมแก้มลูกซ้ายขวาทั้งสองคน อยากขอบคุณคุณยายคนนั้นเหลือเกินที่ทำให้เธอได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าต่อจากนี้ไปเธอไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แม่ลูกทั้งสามต่างร้องไห้ไปด้วยกัน ดำละสายตาจากสามแม่ลูก ไม่มีเสียงใดหลุดออกจากปากของเขาแม้แต่คำเดียว มือหนาสับจอบลงบนหน้าดินแล้วค่อย ๆ คลานออกจากตรงนั้น ปีนขึ้นคันนาแล้วใช้แรงจากแขนทั้งสองข้างและขาข้างซ้ายส่งตัวเองเคลื่อนตัวไปตามคันนาที่มีแต่หญ้าขึ้นปกคลุม เขาไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร และไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่เพราะเหตุผลอันใดอีก ทั้งที่วันนั้นเขาพูดชัดเจนแล้ว แต่คนอย่างเขาจะไม่มีวันเสียน้ำตาให้ใครเป็นครั้งที่สองอีก
หนุ่มวิศวะผู้หวงความโสดต้องทะลุมิติไปเป็นสามีของหญิงสาวหน้าผีที่มีแต่คนรังเกียจ แต่พ่อกับแม่ของเขาอยากได้หลานแล้วเขาจะทำอย่างไรเมื่อเขาก็ไม่สามารถมีลูกกับคนที่ไม่ได้รักได้เช่นกัน .............................. เรื่องนี้มาแนวแบบอีสานบ้าน ๆ อีกแล้วค่ะ บทสนทนาในเรื่องเป็นภาษาอีสานนะคะ อาจจะอ่านลำบากหน่อยแต่ไรต์มีคำแปลให้ค่ะ มาวินหนุ่มวิศวะย้อนอดีตกลับไปอีสานในปี 2528 และเขาก็พบว่าเขามีภรรยาแล้วและเธอยังมีหน้าตาอัปลักษณ์อีก ไม่พอแค่นั้นเธอยังอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่ากลางเขาที่ทุรกันดารเพราะถูกครอบครัวผลักไสไล่ส่ง แล้วหนุ่มเมืองกรุงอย่างเขาจะอยู่กับเธอได้หรือไม่ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ …………………………………. หลายนาทีต่อมา มาวินนอนเอามือขึ้นมาก่ายหน้าผาก สักพักก็พลิกกายไปมาอยู่หลายครั้ง ร้อนด้วย คิดไม่ตกด้วย “อ้ายนอนบ่อหลับเบาะ” (พี่นอนไม่หลับเหรอ) ถึงเขาจะไม่ได้พลิกกายแรงแต่เธอก็รู้สึกได้ เพราะเรือนก็หลังแค่นี้ “อื้อ” (ครับ) “เป็นหยัง เฮ็ดเวียกเมื่อยเบาะ” (เป็นอะไร ทำงานเหนื่อยเหรอ) เขาเพิ่งทำงานวันแรกอาจจะปวดเมื่อยตามร่างกายจนนอนไม่หลับ “หึ” (ไม่) เขาคิดเรื่องนี้มาทั้งวัน คิดว่าพูดกับเธอดีกว่าเก็บมันไว้ ว่าแล้วก็เอ่ยถามเธอ “นิดอยากเลิกกับอ้ายบ่อ” (นิดอยากเลิกกับพี่ไหม) ทั้งสองแต่งงานกันเพราะพ่อกับแม่ของเขาอยากได้หลานเพราะพี่ชายของเขาเป็นหมันไม่สามารถมีหลานให้พ่อกับแม่ได้ ส่วนพ่อกับแม่ของนิตยาก็เต็มใจให้ลูกแต่งงานกับเขาเพราะอยากได้ค่าสินสอด ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนเอาคนอย่างอำนาจไปเป็นสามี เช่นเดียวกับนิตยาผู้มีหน้าตาอัปลักษณ์ผู้ชายในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีใครเลือกเธอไปเป็นภรรยาเช่นกัน ไม่มีใครอยากคุยกับเธอแม้แต่คนในครอบครัวยังเลือกเชื่อหมอดูมากกว่าเชื่อลูกตัวเอง หาว่าเธอเป็นกาลกินีจนต้องไล่มาอยู่คนเดียวกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ นิตยาครุ่นคิดในใจ ทำไมวันนี้เขาถามแปลก ๆ ปกติอำนาจไม่เคยพูดเรื่องนี้ จากที่เธอสังเกตเขารู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้มาอยู่กับเธอเพราะอยู่กับนิตยาเธอไม่เคยบ่น ไม่เคยด่าเหมือนอยู่กับพ่อแม่ของเขา เขาไม่ทำงานเธอก็ไม่เคยสนใจ ทำหน้าที่ของตนไปมีอะไรให้กินเขาก็กิน เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องเลิกกันหรือแยกกันอยู่ นิตยาไม่ได้ตอบออกไปแต่กลับย้ำสิ่งที่คิดว่าเขาน่าจะลืม “พ่อกับแม่อ้ายเพิ่นอยากได้หลาน” (พ่อกับแม่พี่เขาอยากได้หลาน) ตลอดกว่าหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมาทั้งสองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันในฐานะสามีภรรยาเลยสักครั้ง และนิตยาก็ยินดีที่ทุกอย่างเป็นเช่นนั้น “อ้ายฮู่อยู่ แต่เฮาบ่อได้มักกัน เฮามีลูกนำกันบ่อได้” (พี่รู้ แต่เราไม่ได้รักกัน เรามีลูกด้วยกันไม่ได้) คนไม่รักกันมีลูกด้วยกันนับวันก็ยิ่งหมางเมิน ดีไม่ดีผลกรรมไปตกอยู่ที่ลูก อีกอย่างถึงอยากมีมากแค่ไหนก็คงไม่มีใครบังคับเขาได้ เพราะเขารู้ว่าร่างเดิมนี้นกเขาไม่ขันมาหลายปีแล้ว คงเป็นก่อนที่จะแต่งงานกับนิตยากระมัง อำนาจถึงกล้าแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ เพราะเขาคิดว่าตัวเองมีลูกไม่ได้ และเขาก็คงไม่ได้ชอบเธอเช่นกัน แต่ที่ยอมแต่งงานเพราะตัดรำคาญพ่อกับแม่ที่ชอบบ่นชอบบังคับเขา “อ้ายอยากเลิกบ่อกะสั่น ถ้าอ้ายอยากเลิกกะเลิกกะได้” (พี่อยากเลิกไหมล่ะ ถ้าพี่อยากเลิกก็เลิกได้) ถึงเธอไม่ได้รักอำนาจในแบบสามีแต่เขาก็เป็นเหมือนพี่ชายที่สามารถนอนเป็นเพื่อนเธอได้ทั้งวัน อย่างน้อยก็รู้สึกว่าโลกนี้เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว “อ้ายจั่งได๋กะได้” (พี่ยังไงก็ได้) มาวินแค่ให้อิสระในการตัดสินใจของเธอเท่านั้น เพราะเท่าที่เขารู้เธอไม่มีสิทธิ์ได้เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว “กะซั่นอ้ายกะอยู่เป็นหมู่ข่อยไปนิ่ล่ะ ค่านอยู่มื่อได๋กะจั่งไป” (ถ้าอย่างนั้นพี่ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันไปอย่างนี้แหละ ขี้เกียจอยู่วันไหนก็ค่อยไป) เธอไม่ห้ามหากเขาจะไปเพราะที่ผ่านมาเธอก็อยู่เพียงลำพัง เรื่องลูกก็ให้ไปคุยกับพ่อแม่เขาเอาเอง เพราะเธอก็ไม่สามารถมีอะไรกับคนที่ไม่รักได้เช่นกัน “อื้อ จั่งซั่นกะได้ มื่อได๋ที่นิดมีคนมาอยู่นำ อ้ายจั่งสิไป ตอนนี่เฮากะอยู่นำกันแบบอ้ายน่องไปก่อน” (อือ อย่างนั้นก็ได้ วันไหนที่นิดมีคนมาอยู่ด้วยแล้วพี่ค่อยไป ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันเหมือนพี่น้องไปก่อน)
เธอทะลุมิติไปเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่เขาซื้อมาจากครอบครัวที่เก็บขยะขาย ในยุคปัจจุบันก็ทำงานจนตัวตาย มาอยู่อดีตก็กลายเป็นคนอัตคัดขัดสน ชีวิตจะลำบากซ้ำซ้อนไปถึงไหน ……………………………………………… เช็ดท่อนบนเสร็จเนื้อนวลก็เตรียมถอดชิ้นล่างที่เป็นกางเกงผ้านิ่มขายาว มือเล็กกำลังจับขอบกางเกงเตรียมจะถอดออก หมับ! แต่ก็มีมือใหญ่มายึดไว้อีกครั้ง พร้อมเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา “หย่า!” เด็กอะไรแก่แดดขนาดนี้ ไม่รู้จักอายผีอายสาง กลางวันแสก ๆ ยังจะแก้ผ้าผู้ชาย ถึงปู่กับย่าจะไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยให้รักนวลสงวนตัวแต่เธอก็น่าจะคิดเองเป็นบ้าง หรือเธอเป็นเด็กใจแตกถึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ เช่นเดิมเนื้อนวลไม่ได้สนใจ เพราะกลิ่นตัวของเขาที่โชยเข้าจมูกเธอคิดว่าน่าจะเกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เช็ดตัว เพราะเท่าที่เนื้อนวลเข้ามารับใช้เขาไม่กี่วัน สุรเชษฐ์ก็ไล่เธอท่าเดียว แต่อย่าหวังว่าเนื้อนวลคนนี้จะยอมแพ้ง่าย ๆ “ถ้าอายก็หลับตา” เนื้อนวลพูดเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ มือข้างหนึ่งจับสะโพกเขายกขึ้นมืออีกข้างดึงกางเกงนอกลงมาจนสุดปลายเท้าตามด้วยกางเกงผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เพราะเขาไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายทั้งหนักและเบาของตัวเองได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันระวังตัว เมื่อนั้นแหละสุรเชษฐ์จึงนอนแน่นิ่งปิดเปลือกตาแน่น ร่างใหญ่แข็งทื่อไปทั้งตัว จากที่ไม่รู้สึกแค่ฝั่งขวาตอนนี้เหมือนจะชาไปทุกสัดส่วนบนร่างกาย ให้ตายเถอะ! ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้ยางอายสิ้นดี เกิดมาเขายังไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนเห็นร่างเขาตอนเปลือยเปล่าแบบนี้มาก่อน เว้นเสียแต่ภรรยาของเขาเพียงคนเดียว เธอช่างเป็นผู้หญิงที่…หน้าด้านเหลือทน มีผู้หญิงคนไหนกันที่อยู่กับชายแปลกหน้าที่นอนเปลือยล่อนจ้อนแบบนี้ในห้องสองต่อสองเหมือนเธอบ้าง ถ้าคนอื่นรู้เข้ามีหวังเธอไม่มีทางหาสามีได้แน่ อย่างว่าล่ะนะก็คนไม่ได้เรียนหนังสือก็คงไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร พ่อจ๋า! แม่จ๋า! ช่วยลูกด้วย ผมกำลังโดนแทะโลมทางสายตา สุรเชษฐ์พร่ำบ่นในใจเมื่อคิดว่าสาวใช้คงใช้สายตาจ้องมองเขาไปทั้งตัว
เกิดใหม่มีสามีตาบอด เรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในเขตอีสานเหมือนเดิมนะคะ แต่คราวนี้ไม่มีมิติไม่มีของวิเศษใด ๆ ค่ะ ปมไม่หนักไม่มีดรามาไม่มีการแก้แค้นเอาคืน เนื้อเรื่องย่อยง่าย เป็นแนวบ้าน ๆ ตามเคย อ่านได้เรื่อย ๆ แต่ภาษาที่ใช้จะใช้เป็นภาษากลางทั้งหมดนะคะ หากใครชอบแนวนี้ฝากกดเข้าชั้นกดหัวใจให้ไรต์ด้วยน้า บางบทบางตอนในนิยายอาจไม่สมเหตุสมผล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ลลิลสาวโสดวัยสามสิบปีต้องย้อนกลับไปในอดีต จิตสุดท้ายก่อนจากโลกปัจจุบันไปเธออยากมีสามีหล่อรวยและที่สำคัญเขาต้องรักเธอ แต่ทว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ที่ผอมแห้งแรงน้อยแถมยังขี้โรคแล้วจะมีชายใดมาเมียงมอง และที่แย่ไปกว่านั้นเธอต้องแต่งงานกับชายตาบอดแทนพี่สาวฝาแฝดของเธออีกด้วยที่สำคัญเขาคนนั้น…ไม่ได้ต้องการเธอ ไพลินสวมเสื้อกันหนาวตัวหนาสีครีมเดินออกมาต้อนรับช่างแต่งหน้าที่เป็นหญิงแท้หนึ่งและร่างเป็นชายใจเป็นหญิงอีกหนึ่ง “เชิญทางนี้เลยค่ะ” ช่างแต่งหน้าและผู้ช่วยเดินถือชุดเจ้าสาว และกระเป๋าเครื่องสำอางใบใหญ่ตามหลังไพลินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน ไพลินอดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดพี่สาวของเธอถึงยังไม่ลุกขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัวสักที มือเล็กเคาะประตูหน้าห้องอยู่สักพัก พอไม่มีใครมาเปิดประตูไพลินจึงเปิดเข้าไปอย่างถือวิสาสะ เพียงตาอาจจะนอนขี้เซาเพราะคงเหนื่อยจากการเตรียมงานก็เป็นได้ ร่างบอบบางก้าวเท้าพ้นประตูเข้ามาในห้องก็ต้องตกใจเมื่อพบแค่ความว่างเปล่า ผ้าปูที่นอนยังคงเรียบตึงราวกับว่าพี่สาวของเธอยังไม่ได้นอน สายตาเหลือบมองไปเห็นกระดาษแผ่นเล็กวางอยู่บนเตียงนอนมีปากกาด้ามหนึ่งวางทับอยู่ ไพลินไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปหยิบมาอ่านทันที เธอรู้สึกหน้าชาวาบเมื่อเห็นข้อความในกระดาษ ทำไมพี่สาวเธอถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้ เธอทำราวกับว่าการแต่งงานคือการเล่นขายของอย่างไรอย่างนั้น ไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมวันที่ไปลองชุดเจ้าสาวเพียงตาถึงได้ใจดีกับเธอนัก “มีอะไรเหรอคะ” หัวหน้าช่างแต่งหน้าที่มีร่างเป็นชายใจเป็นหญิงเอ่ยถามขึ้น ไพลินยังไม่ได้ตอบคำถามประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง “แม่คะ ตาหนีไปแล้วค่ะ” ไพลินบอกแม่หน้าตาตื่นพร้อมกับยื่นกระดาษในมือให้ “ฮะ! หนีไปไหน” พาขวัญพูดด้วยน้ำเสียงตกใจแล้วหยิบกระดาษจากมือลูกมาอ่าน ‘แม่คะ พ่อคะ ตาต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่ตาต้องเลือกทำแบบนี้ พ่อกับแม่อย่าบังคับตาเลยค่ะ ตาไม่อาจแต่งงานกับคนที่ตาไม่ได้รัก งานแต่งงานครั้งนี้ตายกให้เป็นหน้าที่ของลินก็แล้วกันค่ะ ที่จริงลินคือพี่สาวของตาต่างหากล่ะคะเพราะยังไงลินก็เกิดก่อนตา เขาทั้งสองคนเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก เจ้าบ่าวตาบอดกับเจ้าสาวความจำเสื่อม ส่วนตาขอไปสานฝันตัวเองก่อนนะคะ อนาคตของตายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก ตาไม่มีวันเอาชีวิตไปทิ้งไว้กับคนตาบอดหรอกค่ะ พ่อกับแม่ไม่ต้องตามหาตานะคะ กว่าพ่อกับแม่จะเห็นจดหมายฉบับนี้ตาคงเกือบจะถึงกรุงเทพฯแล้ว เงินค่าสินสอดสองหมื่นตาขอยืมไปตั้งตัวก่อนนะคะ ถ้าตาได้งานทำแล้วตาจะคืนให้ค่ะ’ รักพ่อกับแม่นะคะ ตา ตามความเชื่อลูกฝาแฝดคนที่คลอดทีหลังจะเป็นแฝดพี่เพราะพี่จะเสียสละให้น้องคลอดก่อน แต่เพียงตาไม่คิดแบบนั้นเธอคลอดทีหลังเธอก็ต้องเป็นน้อง เมื่ออ่านข้อความในกระดาษจบพาขวัญก็แทบลมจับ ร่างเธอเซไปสองสามก้าว เนื้อตัวสั่นเทาเหมือนจะหายใจไม่ทั่วท้อง “แม่!” ไพลินถลาเข้าไปประคองแม่ไว้ทัน แล้วพาแม่ไปนั่งที่เตียงนอน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณแม่” หัวหน้าช่างแต่งหน้าถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เห็นแม่เจ้าสาวใบหน้าเผือดสีก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย “ยายตาหนีเข้ากรุงเทพฯแล้วค่ะ” พาขวัญเอ่ยขึ้นเสียงเบา เธอกำลังช็อกไม่คิดว่าเพียงตาจะทำได้ลงคอ ไม่คิดว่าตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาลูกสาวได้วางแผนไว้หมดทุกอย่างแล้ว ไม่แปลกใจว่าทำไมลูกตอบตกลงแต่งงานง่ายดายนัก
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ