She said : ฤดูหนาวหรือท้องฟ้าเหรอที่ปืนชอบอะ He said : พริกหวาน She said : ฮะ? He said : ชอบพริกหวาน Reader : Oops . หากใครกำลังมองหานิยายเนื้อเรื่องเข้มข้น เน้นหนักในเรื่องราวที่ลึกลับสลับซับซ้อน ซ่อนปม ซ่อนเงื่อน กลิ่นดราม่าโชยแรงมาแต่ไกลต้อง… ‘T h e o r y ล้ อ ม รั ก ล ะ ล า ย ใ จ’ สายหวาน พาฝัน กุ๊กกิ๊ก ละมุนละไม เบาสมอง ฟีลกู๊ด อ่านง่ายมาก ๆ อ่านแล้วอารมณ์ดี มีแต่รอยยิ้ม ไม่เชื่อลองอ่านดูสิคะ ไม่แน่ว่าอ่านแล้วคุณอาจจะตกหลุมรักปืนสุดหล่อกับพริกหวานสุดน่ารักเข้าโดยไม่รู้ตัว . “วันนี้มีดาวเคียงเดือน” “ดาวเคียงเดือน?” ผมเลิกคิ้ว เห็นท่าทางตื่นเต้นของพริกหวานจากหางตาเลยอดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้ และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถาม ว่าดาวเคียงเดือนที่ว่ามันคือละครหรืออะไร ริมฝีปากอวบอิ่มจิ้มลิ้ม ที่เงียบเสียงไปหลังจากแยกย้ายกับพวกไอ้เข้มที่ลานจอดรถเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้วก็ชิงขยับเพื่อขยายความ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เท้าผมต้องแตะเบรกเพราะข้างหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงพอดี คันแรกที่ติดเลยกู ผมเท้าข้อศอกข้างขวาตรงประตู ตามองจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาหน้ารถถามว่าตอนนี้อารมณ์ขุ่นมัวของผมหายไปหรือยัง คำตอบคือมันยังอยู่ แต่เจือจางลงมากแล้วล่ะ โมโหเองหายเอง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมโมโหแทบตาย เชื่อไหมผมตกอยู่ในอาการนั้นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ตั้งแต่นำพาชีวิตมาคลุกคลีอยู่กับพริกหวานน้อย เธออยู่เฉย ๆ ก็สามารถ ทำผมบ้าได้ “ดาวเคียงเดือน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระจันทร์ยิ้มไง ปืนรู้จักใช่ไหม เมื่อกี้เค้าอ่านเจอในเฟซบุ๊ก บอกว่าค่ำวันนี้จะมี เค้าอยากดูมากกกก” ผมพยักหน้า ร้องอ๋อ แล้วเอนตัวไปข้างหน้ามองดูท้องฟ้าที่เริ่มถูกความมืดกลืนกินด้วยความสนใจ “แล้วเราจะเห็นปรากฏการณ์นั้นได้ตอนกี่โมงอะดื้อ” ดาวเคียงเดือนคือปรากฏการณ์ที่ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์โคจรเข้ามาใกล้กัน โดยดวงจันทร์จะหงายอยู่ด้านล่างของดาวอีกสองดวง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สาเหตุที่เรียกว่าพระจันทร์ยิ้มก็เพราะมีลักษณะคล้ายใบหน้าคนกำลังยิ้ม จำได้เพราะเคยอ่านมา “ตามที่ข่าวบอก เราจะเห็นกันช่วงหัวค่ำ กินเวลาไม่นาน” “งั้นก็ต้องจับตาดูให้ดี” “ใช่ แต่ปืนจ๋า ช่วยพาเค้าไปส่งที่หอเลยได้ไหมอะ เค้าไม่อยากแวะที่ไหนอีกแล้ว” เสียงอ้อนอ่อนหวานเรียกปืนจ๋าของสาวตาใสแจ๋วและปากจู๋ ๆ ของเธอเรียกรอยยิ้มจากผม อดใจไม่ไหวต้องยื่นมือออกไปประคองซีกแก้มเนียนนุ่มไม่ต่างจากผิวเด็กทารกแรกเกิด ผมเกลี่ยคลึงเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ เล่นนุ่มนิ่มซะขนาดนี้จะไม่ให้อยากทะนุถนอมได้ยังไง “แต่ปืนยังไม่อยากแยกกับดื้อเลยทำไงดีล่ะ” ผมพูดเสียงเบา ก้มหน้าลงไล้ปลายจมูกเชิดรั้นอย่างหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็ซึมซับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างบางไปด้วย พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันผมก็เกิดความโลภ อยากยืดเวลาออกไปอีก อยู่กับเพื่อนถึงตอนต้องแยกคือแยก ไม่มีความอาลัยอะไรหรอก แต่กับผู้หญิงคนนี้ผมดันอยากให้เวลา มีมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ต้องพูดคุยอะไรกันก็ได้ ขอแค่นั่งมอง นอนมอง #ดื้อของปืน
“สวัสดี...เราชื่อปืน”
ฉันขมวดคิ้ว ร้องหืมในลำคอแล้วรีบเงยหน้า ละสายตาจากหนังสือที่เปิดกางทิ้งไว้ด้วยความงงงวยถึงขีดสุด คือที่เงยหน้าเนี่ยต้องการจะมองให้แน่ใจว่าตัวเองคือคนที่ถูกใครก็ไม่รู้พูดสวัสดี ใส่พร้อมทั้งบอกชื่อที่เดาว่าคงเป็นชื่อเล่นของเขาคนนั้นจริง ๆ ใช่ไหม ผลปรากฏว่าใช่จริง ๆ นั่นแหละ
เขาพูดกับฉันว่ะ
เพราะตรงนี้นอกจากฉันกับผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อปืนก็ไม่มีใครแล้วล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะร้างผู้คนไปซะทีเดียว เพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ที่มาอาศัยนั่งอ่านตำรา ค้นข้อมูล ประกอบการทำการบ้าน ทำรายงาน ใช้บริการหอสมุด ณ บริเวณโซนชั้นสามเวลานี้ต่างเลือกที่จะนั่งโต๊ะที่อยู่ห่างกันออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น รวมถึงตัวฉันเองด้วยที่ต้องการความสงบในการค้นตำราเปิดหาข้อมูลทำรายงานส่งอาจารย์อิทตย์หน้า ซึ่งถ้าเป็นช่วงตอนพีคอย่างตอนกลางวันน่ะเหรอ แค่มีที่ว่างให้อาศัยนั่งหลบร้อนระหว่างรอเรียนช่วงบ่ายบ้างก็นับว่าดีแล้ว
และคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังลอบสำรวจอยู่เงียบ ๆ คือ
เราเคยรู้จักกันไหมนะ ?
เคยรึเปล่า ?
ฉันมุ่นคิ้วพลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งออร่าฟุ้งกระจาย ละสายตาได้ยากยิ่งตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเค้าโครงใบหน้าแสนเพอร์เฟค ทรงผม คิ้ว ตา จมูก ปาก ขณะเดียวกันก็พยายามนึกย้อนเรื่องราวความทรงจำในอดีตประกอบไปด้วย แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกสักทีว่าคนลักษณะท่าทางแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ฉันเคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือไม่ คือมันไม่มีแวบเข้ามาในหัวทั้งชื่อ ทั้งเค้ารางใด ๆ ดังนั้นฉันขอสรุปไปเลยละกันว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ส่วนคำถามต่อมาก็คือ…
ทำไมเขาหล่อจัง ?
ซึ่งเอิ่ม...ดูเหมือนว่าคำถามนี้ของฉันมันจะไม่ใช่คำถามที่จะหาคำตอบได้ง่ายเท่าไรเนอะ อาจต้องเจาะลึกไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาเขาเลยว่าความหน้าตาดีนี้มีที่มาอย่างไร แต่ช่างคำถามไร้สาระของฉันเถอะ เอาเป็นว่าด้วยความน่าสนใจแบบมึน ๆ ชวนให้เกิดความสับสน และงงงวยชนิดหนักมากของปืนนี่แหละ สองลูกตาของฉันจึงยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเนียนใสเขาคล้ายถูกตอกตรึงเอาไว้ด้วยตะปูแน่นหนา กว่าจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ แก้เก้อเมื่อรู้สึกตัวว่าจ้องจน ‘เกินงาม’ ได้ก็นานพอสมควร
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” คือนอกจากฉันจะเริ่มทำตัวไม่ถูก สีหน้าท่าทางค่อนไปทางเลิ่กลั่กเกินเบอร์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้สึก เขินแบบแปลก ๆ กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอด้วย งงตัวเองอะ เขาเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรในตัวอะไรสักหน่อย ก็แค่ ‘จ้อง’ หน้ากลับคืน ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือว่าต้องการอะไรด้วยนะ ณ จุดนี้
และชั่วอึดใจกับการทนต่อสายตาที่จ้องมองมาคล้ายกำลังรออะไรสักอย่างจากฉัน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่สามารถตีความหมาย หรือนั่งทางนัยหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าที่ปืนจ้องมาเนี่ยต้องการอะไร มันเลยเป็นเหตุให้ฉันมโนเอาเองแบบมั่นหน้า มั่นโหนก และมั่นใจว่าเขาคงรอให้ฉันแนะนำตัวกลับล่ะมั้ง และในจุดนี้แหละความลังเล มันเลยบังเกิด
เอ๊ะนั่น เอ๊ะนี่ คิดว่าจะดีหรือไม่ดี ที่ว่าทักเนี่ยมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงในใจรึเปล่า ถึงจะเป็นคนสถาบันเดียวกันก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคนนะ คือยิ่งคิดเยอะความคิดมันยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ พอลองหลับตาตั้งสติ สงบจิต สงบใจ และบวก ลบ คูณ หารในใจฉบับรวบรัดเสร็จสรรพก็ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิด คงไม่เสียหายอะไรหรอกก็แค่บอกชื่อเล่นเอง ฉันสบตาปืนแวบหนึ่งก่อนจะขยับปากพูดอีกครั้งหลังทิ้งช่วงไปพักใหญ่
“เราชื่อพริกหวานนะ”
“อืม...พริกหวาน”
ปืนทวนชื่อฉันในลำคอพลางพยักหน้าหงึกหงักเชิงรับรู้ ขณะเดียวกันมือเรียวยาวของเขาก็ทำการยกเก้าอี้ตัวที่อยู่เยื้องกับที่ฉันนั่งออกมาจากใต้โต๊ะแทนการลากด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นจึงหย่อนสะโพก ทรุดกายลงนั่ง แล้วก็ล้วงเอาสมาร์ตโฟนเครื่องหรู สีดำรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ดังออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อปสีกรมอัน เป็นเอกลักษณ์ และบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวนั้นเรียนอยู่ที่คณะวิศวฯ คิ้วเข้มเห็นเพียงรำไรขมวดเป็นปมหน่อย ๆ ขณะที่นิ้วเรียวสวยของเขากดนั่นกดนี่ไม่ได้หยุด
รอยยิ้มมิตรภาพประหนึ่งตัวเองเป็นมิสแกรนด์ประจำจังหวัดบ้านเกิด (นครปฐม) ที่ฉันตั้งใจมอบให้เขามีอันต้องหุบฉับลงโดยปริยาย เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาสนใจแต่หน้าจอของเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่าจะเหลือบแลมาทางฉัน ก็คือพอหลังจากนั่งก็ทำการตัดฉันออกจากวงโคจรไปเลย
เหมือนอยู่คนละโลกอะ
คืออะไร ?
งงมากค่ะแม่
ที่คิดว่าเขาอาจจะมีอะไรแอบแฝงฉันคงมโนมากไปหน่อย แม้แต่หางตาเขายังไม่เหลือบแลฉันเลยจ้ะ เอาจริง ๆ ถ้าอยากนั่งโต๊ะนี้ บอกให้ฉันย้ายไปนั่งที่อื่นก็ได้นะ ง่ายดีด้วย ไม่ต้องลงทุนบอกชื่ออะไรกันหรอก แล้วก็คงไม่ต้องเสียเวลายืนกดดันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ตั้งหลายนาทีด้วย
เอ๊ะ!
เดี๋ยวนะ...
หรือเขามีปัญหาเรื่องการใช้รูปประโยคที่ถูกต้อง
ฉันมุ่นคิ้วสงสัยก่อนจะเลิกสนใจแล้วก้มหน้าลงเพื่ออ่านหนังสือที่เปิดกางเอาไว้ตามเดิม คือท่าทางเหมือนจะดีอยู่หรอกฉันเนี่ย แต่ติดตรงที่ตั้งใจอ่านเท่าไรมันก็ไม่เข้าหัวแล้วนี่สิ ทั้งที่เพื่อนร่วมแชร์โต๊ะก็ไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนสมาธิอะไรเลยนะ ออกจะนิ่งสงบเสมือนไร้ตัวตนในสายตาฉันด้วยซ้ำ จะโทษเขาเต็มร้อยก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าเป็นที่ตัวฉันเองนี่แหละที่สมาธิมีไม่มากพอ ทำยังไงก็ไม่สามารถจมอยู่กับตัวเองต่อไปได้เหมือนก่อนหน้าที่เขาจะปรากฏตัว
จะว่าความหล่อพาใจไม่นิ่งก็...
มีนิดหนึ่งแหละ
ยอมรับ
นี่ถ้ายัยแจนกับยัยเบลไม่ชิ่งหนีฉันกลับบ้านไปก่อนล่ะก็ กล้าฟันธงและคอนเฟิร์มเลยว่ายัยสองคนนั้นจะต้องออกอาการดี๊ด๊า ชนิดเก็บอาการยังไงก็ไม่เนียน เพราะโดยปกติก็ชอบส่องชอบเหล่หนุ่ม ๆ คณะวิศวฯ เป็นงานอดิเรกแก้เครียดกันอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าฉันได้นั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มหล่อคณะนี้ล่ะก็ คงได้ยินเสียงคนร้องโอดครวญแบบแพ็คคู่เพราะความเสียดายพันเปอร์เซ็นต์ และฉันก็ไม่คิดจะปิดปากเงียบด้วย ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าคืนนี้จะแชตไลน์ไปเม้าท์ให้เบลกับแจนได้ดีดดิ้นเล่น
และพอคิดถึงเพื่อนขึ้นมาก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่รู้ว่าปืนอยู่ชั้นปีอะไร ถ้ารู้จะได้บอกข้อมูลยัยสองคนนั้นได้ถูกต้องถ้าโดนซักไซ้ในประเด็นนี้ขึ้นมา แต่ครั้นจะถามให้รู้เรื่องมันก็ดูยังไงอยู่ เพราะเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าอยากคุยกับฉันเท่าไรด้วย
ไม่สิ
เรียกได้ว่าไม่อยากเสวนาด้วยน่าจะใช้คำได้ถูกต้องมากกว่า จะให้ฉันเริ่มต้นชวนคุยก่อนมันก็ไม่ใช่นิสัยอีกแหละ ดีไม่ดีเดี๋ยวจะหาว่าฉันอ่อยเอาอีก พื้นฐานเป็นคนนิสัยหลงตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าฉันเก็บความสงสัยส่วนตัวเอาไว้ในใจจะดีกว่า ถามว่าโอกาสที่จะเจอกันอีกมีไหม ก็คงมีนั่นแหละ แต่เขาจะจำฉันได้ไหมในหลังจากนี้มันก็อีกเรื่อง สรุปว่าไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ตัวเองภายหลังเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
และในเมื่ออ่านหนังสือหาข้อมูลเพื่อประกอบการทำรายงานส่งอาจารย์วิชุดาอาทิตย์หน้าต่อไปไม่รู้เรื่องฉันจึงปิดมันลงในที่สุด เพราะรู้ว่าหากฝืนอ่านต่อไปก็สูญเสียเวลาเปล่า เพราะสมาธิที่เสีย ไปแล้วเรียกกลับคืนมาได้ยากแค่ไหนฉันรู้ดี และด้วยเหตุนี้ฉันเลยเริ่มลงมือเก็บชีทเรียน สมุดจดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเรียน ปากกาหลากสี ใส่กระเป๋าผ้าปักลายด้วยมือเพื่อเตรียมตัวกลับหอพักที่อยู่ห่างออกไปจากมหาวิทยาลัย
หลุบสายตาลงดูเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือก็พบว่า ณ ตอนนี้เกือบจะหกโมงครึ่งแล้ว สามชั่วโมงกว่าที่นั่งอยู่ในหอสมุด คือมาอาศัยตากแอร์อยู่ที่นี่ตั้งแต่เรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึง ได้รู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ ที่แท้ก็ได้เวลาหาอะไรใส่ปากใส่ท้องแล้วนี่เอง ซึ่งเมนูในใจก็มีมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ
นั่นก็คือ...
ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นหน้าปากซอยเข้าหอ
จริง ๆ อยากกินมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ แต่เผอิญว่าช่วงเวลาที่อยากมันดึกเกินกว่าจะออกไปเดินต๊อก ๆ เพื่อซื้ออะไรกินแล้วไง เลยอาศัยทำมาม่าเกาหลีแบบเผ็ดคูณสองใส่ไส้กรอกเซเว่นที่ซื้อติดตู้เย็นแก้ความอยากหมูตุ๋นแสนอร่อยแทน และแค่นึกถึงความหอมของน้ำซุปน้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงานหนักขึ้นมาอีกแล้ว
กลับดีกว่า
ไม่รออะไรแล้ว
แต่ก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะแล้วหันหลังให้ใครอีกคนฉันก็แอบเหล่สายตามองแวบหนึ่งนะ เผื่อเขามองมาฉันก็จะพูดอะไรสักคำสองคำ ซึ่งฉันคงหวังมากไปเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไร อีกอย่างก็เห็นว่าเขากำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมในมือถือมาก ขืนทะเล่อทะล่าไปขัดจังหวะเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวฉันสักเท่าไร ใครบ้างจะไม่รู้ว่าพวกผู้ชายเวลาเล่นเกมนี่จริงจังยิ่งกว่าจริงจังซะอีก สังเกตดูได้จากสีหน้าที่ ค่อนไปทางเคร่งเครียดนั่นสิ สงสัยกำลังอยู่ในช่วงพีคจัด โบกมือลากันตรงนี้ไปเลยละกัน
หลังทำเรื่องยืมหนังสือที่ต้องใช้ค้นหาข้อมูลประกอบการทำรายงานกับเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์คนสวยมาสองเล่มเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอกตึกหอสมุด ท้องฟ้าที่เคยมีแสงแดดเจิดจ้าก็ถูกความมืดกลืนกินไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เสาไฟทุกต้นมีไฟ สีส้มส่องสว่างตลอดทาง
ฉันชอบนะ บรรยากาศตอนย่างก้าวเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแม้ว่าหน้าหนาวบ้านเราอากาศเย็นจะมาเร็วไปไวกว่าทุกประเทศก็เถอะ แต่จะว่าไปอากาศ ณ ตอนนี้ ในเวลาเกือบ ๆ จะหนึ่งทุ่มของวันที่ยี่สิบปลาย ๆ ของเดือนตุลาคม ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้มันก็เย็นใช้ได้เหมือนกันแฮะ และเหมือนว่าอากาศมันจะเย็นกว่าทุกวันด้วยแฮะนับตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าประเทศไทยของเราได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนด้วย ลมเย็น ๆ ที่พัดโชยผ่านหน้าไปเมื่อกี้ให้ความรู้สึกดีจนอยากยื้อเอาไว้นาน ๆ
“เป็นไปได้ขอหนาวกว่านี้อีกเยอะ ๆ เลยนะ”
ถึงฤดูนี้มันจะทำให้ดูเหงา ทำให้คนอยู่ไกลบ้านคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาปกติ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็แฝงด้วยความสุข ฉาบด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ
และฉันก็เชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าแทบทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะนับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองอย่างคริสต์มาส และ ปีใหม่ ซึ่งก็เดือนหน้านี้แล้วที่เทศกาลเหล่านั้นจะวนกลับมามอบความสุข สนุกสนานอีกครั้ง
ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วคลี่ยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป กลับถึงห้องแล้วต้องโทรคุยกับแม่ให้หายคิดถึงหน่อย เวลานี้ต่อให้อยากยืนหลับตา ชูแขนซึมซับอากาศดี ๆ ที่หาได้ค่อนข้างยากในกรุงเทพฯ แค่ไหนก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไร เพื่อนร่วมเดินทางเท้าไปด้านหน้ามหาวิทยาลัย ณ ตอนนี้ไม่ได้เยอะเหมือนตอนช่วง ที่พระอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่เหนือหัว รถบริการคันยาวคอยรับส่งอาจารย์ บุคลากร รวมทั้งนักศึกษาที่ต้องการไปกลับหน้ามอก็หยุดวิ่งไปตั้งแต่ห้าโมงแล้ว เวลานี้คือรีบได้ต้องรีบถ้าไม่อยากเดินออกไป คนเดียว
“พริกหวาน!”
พริกหวาน ?
มีใครตะโกนเรียกฉันงั้นเหรอ ?
ฉันย่นคิ้วแล้วเหลียวหลังกลับไปมองที่ต้นเหตุแห่งความสงสัย เห็นปืนวิ่งมาด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกฉันก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่จะตามมาต่อว่าที่ไปไม่ร่ำลาอะไรแบบนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างที่คิดก็ดูไร้สาระไปหน่อยไหมอะ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ถ้าบังเอิญเจอกันตามถนนหนทางเขาอาจจำฉันไม่ได้แล้วก็ได้
“เธอ...”
“หืม”
“…” เรียกแล้วเขาก็เงียบไป
“มีอะไรรึเปล่า ถ้าไม่มีเรา...”
“จะออกมาทำไมไม่บอก” เขาโพล่งขึ้นมาในขณะที่ฉันยังพูดไม่ทันจบ ซึ่งทำให้ฉันจำต้องกลืนส่วนที่เหลือลงคอไปแบบงง ๆ ปืนมองหน้าฉันนิ่งมาก คือคงไม่ได้คิดจะต่อว่าฉันจริง ๆ ใช่ไหม และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปไกลปืนก็ทำฉันอึ้งเป็นรอบที่สอง “มันมืดแล้วเห็นไหม” คือทำเสียงดุไม่พอ ยังทำหน้าดุหน้าเข้มใส่ฉันอีก นี่เขากำลังข่มขวัญฉันอยู่กลาย ๆ รึเปล่า หรือเห็นฉันเป็นเด็กเล็กเหรอ แล้วถ้าเกิดฉันบ้าจี้ตอบไปว่ามืดแล้วมันยังไง ไม่บอกแล้วเธอจะทำไม เขาจะเหวี่ยงขายาว ๆ มาเตะก้นฉันไหม เอาเป็นว่าไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยดีกว่าเนอะ
“ขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้บอกปืนก่อนว่าเราจะกลับแล้ว” ฉันพูดเสียงอุบอิบ ยิ้มจาง ๆ แบบเก้อเขิน ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดที่กำลังตีกันจนสับสนวุ่นวาย และพยายามที่จะไม่คิดอะไรมากกับประโยคที่ว่ามันมืดแล้วเห็นไหมของเขาด้วย “อีกอย่างคือเราก็ไม่กล้าเรียกด้วยไง เห็นว่าปืนกำลังใช้สมาธิเลยไม่อยากรบกวน” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมายืนอธิบายเหตุผลอะไรกับคนที่เพิ่งเจอด้วย ก่อนหน้านี้นอกจากแนะนำตัวเองแบบสั้น ๆ เขาก็ดูไม่ได้สนใจไยดีอะไรฉันขนาดนั้น
และเหมือนปืนจะพูดอะไรสักอย่างฉันแอบจับสังเกตเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำได้แต่เดินหน้านิ่งขึ้นมาตีคู่ ฉันเลยทึกทักเอาเองว่าเขาคงจะเดินไปหน้ามอเหมือนกัน และยิ่งแน่ใจเมื่อฉันก้าวเท้า เขาก็ก้าวไปพร้อมกับฉัน ก้าวไปในจังหวะเดียวกัน
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเราสองคนก็เดินมาถึงหน้ามอ บริเวณจุดรอรถประจำทาง หรือป้ายรถเมล์นั่นแหละ โดยตลอดเส้นทางที่ฉันกับคนแปลกหน้าที่หน้าไม่แปลกเดินออกมาด้วยกันไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเราเลย คำเดียวก็ไม่มี ฉันเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยยังไง ปากหุบ ๆ อ้า ๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป ก็อย่างที่บอกเริ่มต้นไม่ถูก ตัวเขาเองก็ดูไม่ได้ต้องการจะคุย เลยเลือกที่จะเงียบ จมอยู่กับความคิดไร้สาระของตัวเอง
ฝ่ายปืนหลับตาใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าเขาพูดไม่เก่ง เมื่อต่าง คนต่างเป็นแบบนี้บรรยากาศรอบกายจึงดูอึมครึมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นโชคดีของฉันเลยแหละที่ไม่ต้องยืนรอรถนาน ไม่ต้องทนกับบรรยากาศแปลก ๆ รอบตัวนานเกินไป มาหยุดยืนที่ หน้าป้ายได้ไม่ถึงห้านาทีรถสีเหลืองคันยาวบรรจุคนได้เยอะ และจอดมันทุกป้ายก็แล่นมาให้เห็นแล้ว
ไม่ต้องคอยชะเง้อคอ ยื่นหน้าดูว่าสายไหนจะพากลับที่พักเหมือนหลาย ๆ คนเลยแหละ เพราะอะพาร์ตเมนต์ที่ฉันใช้เป็นแหล่งพักพิงมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั่งรถเมล์ไปแค่สามป้ายเท่านั้นเอง ดังนั้นรถเมล์สายไหนที่จอดตรงหน้ามอฉันสามารถขึ้นได้หมด อีกหน่อยรถไฟฟ้าหน้ามอสร้างเสร็จสมบูรณ์วันนั้นฉันคงสบายกว่านี้ สายมียาวเลย หอเลยมอไปถึงสถานที่สำคัญหลายที่เลย ไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้ใช้ บางสถานีมีเปิดทดลองให้ใช้บริการแล้ว
“เรากลับก่อนนะ แล้วก็...ยินดีที่ได้รู้จักนะปืน” ฉันยิ้มกว้างให้ปืนด้วยความจริงใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าออกไปข้างหน้าเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถโดยสารที่กำลังแล่นมาตามถนน และจะจอดเทียบป้ายในอีกไม่ช้า
ฉันไม่รู้ว่าปืนใช้สายตาแบบไหนมองมาที่ฉัน เขาจะยิ้มหรือไม่ยิ้มเรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้อีกเพราะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เอาเป็นว่าเรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจแล้วล่ะเพราะฉันจะถือว่าอย่างน้อย ๆ วันนี้ก็ได้รู้จักคนเพิ่มอีกหนึ่งคน
ใช้ชีวิตโสดมาตั้งกี่ปี พอมาเจอเธอ หัวใจที่แกร่งดุจหินผาก็อ่อนยวบ อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของหัวใจเธอ
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
เพราะแอบรักกล้าตะวันมากนาน หวันยิหวาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครองรักกับเขา โดยมีมารดาของเขาเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่สำหรับกล้าตะวันแล้ว หวันยิหวาคือนางมารร้ายที่ทำให้เขากับคนรักต้องเลิกรากัน ดังนั้นทุกวินาทีหลังจากงานวิวาห์นี้จบลง หวันยิหวาจะต้องได้รู้จักกับนรกอเวจีปอยเปตอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว “อา... อ๊า...อา...” ลำคอระหงถูกซุกไซ้และดูดเม้ม เสื้อผ้าถูกดึงทึ้งออกไปจากร่างกาย จนในที่สุดก็เปลือยเปล่า กล้าตะวันเลียลงมาที่ไหปลาร้า และมาซบหน้าคลุกเคล้ากับร่องอกอวบ เขาดอมดมกลิ่นสาปสาวอย่างหิวกระหาย ขณะที่ฝ่ามือหนาวางทาบลงกับเต้านมอวบอัดข้างซ้ายของหล่อน “อา... อ๊า... ซี๊ดดดด” หล่อนเผยอปากครางลั่น เมื่อปทุมถันถูกฟอนเฟ้นบีบเคล้าหนักหน่วง ปลายนิ้วแข็งแรงถูไถเม็ดเต่งอย่างเมามัน หล่อนดิ้นเร่าๆ หยัดหน้าอกขึ้นหาสัมผัสจากฝ่ามืออบอุ่นด้วยความกระตือรือร้น
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"