เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
ในห้องที่มืดสลัว คนสองคนกำลังนัวเนียกันอยู่บนเตียง
รูปถ่ายงานแต่งงานของเจ้าสาวรูปหนึ่งถูกแขวนอยู่บนผนังสีขาวตรงหัวเตียง เธอมองกล้องและยิ้มอย่างอ่อนโยน ดูเปี่ยมไปด้วยความสุข
“นี่ คุณคิดว่า ถ้าเหยาซีเยว่มาเห็นว่าเราสองคนกำลังทำเรื่องอย่างว่ากันบนเตียงในห้องหอแบบนี้ เธอจะโกรธมากจนร้องไห้ออกมาเลยไหม?”
“เหอะ เตียงห้องหออะไรล่ะ แต่งงานกันมาตั้งหลายปีแล้ว ผมยังไม่เคยได้แตะต้องเธอเลย เธอเอาแต่ไปนอนห้องนอนเล็กข้าง ๆ นั่นตลอด”
“พี่หยู พี่ใจดีกับฉันจัง......”
เสียงครวญครางหวาน ๆ ของทั้งสองคนดังขึ้นมาปะปนกับเสียงหอบหายใจ
หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เธอเอามือกุมปากน้ำตาไหลพลากแต่ไม่ส่งเสียงใด ๆ
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม
หลินหยูก็สวมกางเกงขาสั้นเปิดประตูห้องนอน ทันใดนั้นเขาก็เห็นผู้หญิงที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เหยาซีเยว่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอได้ยินอะไรไปบ้าง?
“คุณได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย?”
เขาถามออกไปอย่างไม่แย่แสสนใจ แล้วเข้าไปรินน้ำอุ่นจากในครัวมาแก้วนึง จากนั้นก็เดินไปนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น
รูปร่างผอมเพรียว ผิวพรรณขาวใสของเขา ทว่ากลับมีรอยแดงหวานฉ่ำ เขาดูไม่แยแสกับมัน จิบน้ำสองสามคำอย่างสบายใจ
“ไหน ๆ คุณก็อยู่พอดี เซ็นซะ”
หลินหยูเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะกาแฟ หยิบซองเอกสารออกมาจากด้านใน โยนมันลงบนโต๊ะกาแฟ “คุณก็ได้ยินแล้วนี่ ต่อให้ยื้อกันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เหยาซีเยว่เอื้อมมือไปหยิบเอกสารมา เปิดไปหน้าแรก คำว่า ‘ข้อตกลงการหย่า’ ก็ปรากฎขึ้นในม่านตาของเธออย่างจัง เธอเปิดไปจนถึงหน้าสุดท้าย แล้วก็พบว่าฝ่ายชายได้เซ็นชื่อของเขา——หลินหยู เอาไว้อย่างสละสลวยเรียบร้อยแล้ว
“ลองดูแล้วกันนะ ถ้าคุณมีเงื่อนไขอื่นก็บอกมาได้ แต่หากไม่มีข้อโต้แย้งอะไรก็เซ็นซะ”
ชายคนนั้นเอนหลัง แล้วจุดบุหรี่ ควันลอยขึ้นมาปกคลุมใบหน้าที่เย็นชาของเขา
“ไม่มีทางออกอื่นแล้วจริง ๆ เหรอ?”
เธอก้มหน้าลง เสียงของเธอแหบแห้งจากการร้องไห้เมื่อครู่นี้ ผมหน้าม้าของเธอก็ห้อยลงมาบนกรอบแว่นสีดำ ทำให้เธอดูน่าสงสารเป็นพิเศษ
ตั้งแต่ที่เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูลหลิน เธอก็ทุ่มเทความพยายามกว่าร้อยเปอร์เซนต์ในการดูแลหลินหยู เธอคิดว่า สุดท้ายแล้วเธอกับเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เมื่อนึกถึงเด็กผู้ชายที่ถือร่มให้เธอท่ามกลางสายลมและหิมะ เธอก็เอามือทั้งสองข้างประสานกันแน่น ภวานาขอให้ความหวังอันริบหรี่นั้นเป็นจริงขึ้นมา
“เหยาซีเยว่ อย่าทำตัวน่าสมเพชนักเลย เรื่องของฉันกับเหลียนเหลียน เธอก็ได้ยินได้เห็นมาหมดแล้ว ทำไม เธอคิดจะกอดต่ำแหน่งคุณนายตระกูลหลินไว้ ไม่ละอายใจหรือไง?”
หลินยู่เคาะก้นบุหรี่ลงถ้วยเขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “จะว่าไปการแต่งงานของเธอกับฉัน เราต่างก็ได้ในสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างต้องการกันทั้งนั้น”
หัวใจของเหยาซีเยว่แหลกสลายไปหมดแล้ว เย่เหลียน คือคนที่หลินหยูรักแต่ไม่ได้แต่งงานด้วย
ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เธอก้มหน้าลงอย่างคนพ่ายแพ้ สองมือบิดชายเสื้อจนแน่น ราวกับว่าถ้ามีเย่เหลียนอยู่ สายตาของหลินหยูก็ไม่เคยละไปจากเย่เหลียนเลย
ตอนที่เย่เหลียนไปต่างประเทศ ระหว่างทางที่หลินหยูตามไปสนามบินเขาได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา เดิมทีเหยาซวงซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยาควรจะต้องแต่งงานกับหลินหยู แต่เธอดันไปมีลูกกับคนอื่นซะก่อน ดังนั้นตระกูลเหยาจึงส่งเหยาซีเยว่ไปแต่งงานกับเขาแทน
การแต่งงานแทนนี้ ทำให้เธอได้กลายเป็นภรรยาของหลินหยูไปโดยปริยาย
เธอดูแลหลินหยูอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เพื่อหลินหยู เธอแทบตัดขาดการติดต่อกับชีวิตก่อนแต่งงานของเธอไปเลย
เธอไม่ได้สัมผัสกับงานออกแบบ รถแข่ง มีดผ่าตัด และคอมพิวเตอร์มานานมากแล้ว
ปีที่แล้ว เมื่อหลินหยูฟื้นขึ้นมา เขาค่อย ๆ ฟื้นตัว ซึ่งเธอคือคนที่คอยอยู่ข้าง ๆ เขาวันแล้ววันเล่า คอยไถ่ถามทุกข์สุข คอยดูแลอย่างเต็มที่ แล้วก็ไม่เคยที่จะจากไปไหน แต่เธอสู้กับการกลับมาของคนในใจของเขาไม่ได้ซะอย่างนั้น
หลังจากแต่งงานมาสองปี เธอก็ยังไม่เคยได้รับความรู้สึกอบอุ่นใด ๆ จากเขา
พอหลินหยูไม่ได้รับคำตอบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แล้วก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะกาแฟ
เหยาซีเยว่มีหน้าตาสะสวย แม้ว่าเธอจะมีผมหน้าม้าหนา และแว่นตาขอบดำที่หนาเตอะ แต่ยังมองเห็นได้ถึงความสวยของเธอ ปกติเธอมักจะละเลยเรื่องการแต่งตัว เธอจึงมักจะดูโทรมทั้งวัน
นิสัยของเธอก็น่าเบื่อเกินไป
หลังจากฟื้นขึ้นมา เขากับเธอจะอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่กลับไม่ได้มีความคิดอะไรเป็นอื่นเลย มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจด้วย
การดูแลและเอาใจใส่วันแล้ววันเล่า แต่กลับมีรูปลักษณ์และชีวิตเดิม ๆ ก็เปรียบเสมือนน้ำต้มสุกชามหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร มันจึงน่าเบื่อมาก
เขายอมรับนะว่า สองปีมานี้ที่เหยาซีเยว่อยู่ในตระกูลหลิน เธอเป็นคุณนายหลินได้อย่างเหมาะสม แต่เธอไม่เหมาะที่จะเป็นผู้หญิงของเขา เธอไม่มีคุณสมบัติมากพอ
เมื่อบุหรี่ทั้งมวนไหม้จนถึงก้นแล้ว หลินหยูก็บดบุหรี่ในถ้วยเขี่ยบุหรี่ แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างไม่แยแส “คุณมาอยู่ที่บ้านตระกูลหลิน.....”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง พอเห็นว่าเธอยังคงก้มหน้าอยู่ ความรู้สึกคับข้องใจที่เธอแสดงออกมามันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไปหมด
“ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่คุณอยู่ที่ตระกูลเหยานะ หลังจากที่หย่ากันแล้ว นอกจากผมจะให้วิลล่าสามหลังแล้ว ผมจะให้เงินไปอีกหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน ส่วนรถในโรงรถคุณสามารถเลือกเอาไปได้หนึ่งคัน หากมีของพวกนี้แล้ว การใช้ชีวิตของคุณในภายภาคหน้าจะดีขึ้นมาหน่อย”
เขายังคงจำตอนที่เขานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลได้ เหยาซีเยว่ต้องลำบากลำบนคอยดูแลเขามาเป็นปี หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา เธอก็ยังคอยอยู่กับเขาตอนที่ทำกายภาพบำบัดด้วย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ แต่พฤติกรรมของเธอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงสามารถเอาเงินจากบัญชีส่วนตัวของเขาจ่ายชดเชยให้เธอได้โดยไม่ถือสาอะไร
อันที่จริงช่วงชีวิตของการเป็นวัยรุ่นที่เพอร์เฟคที่สุดของเธอ กลับต้องมาถูกขังอยู่ในตระกูลหลิน
เขาเอาสองมือกอดอก รอยสักเล็ก ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนบนกระดูกไหปลาร้าของเขาบาดตาบาดใจเหยาซีเยว่อย่างมาก
YL ซึ่งก็คือเย่เหลียนนั่นเอง
“เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน ผมจึงจะให้เวลาคุณคิดหนึ่งวัน ถ้าไม่พอใจกับเงื่อนไขคุณก็สามารถเสนอมาได้ แต่อย่าให้มันมากจนเกินไปนักล่ะ...... ผมเป็นคนอารมณ์ไม่ดี คุณก็รู้อยู่แล้วหนิ.....”
“ไม่จำเป็นต้องคิดหรอกคะ”
เหยาซีเยว่หยิบปากกาบนโต๊ะกาแฟขึ้นมา แล้วก็เซ็นชื่อของเธออย่างสง่างามลงไปในตอนท้ายของข้อตกลงการหย่าร้าง
“เดี๋ยวฉันจะย้ายออกไปเอง จะได้ไม่รบกวนพวกคุณสองคน”
หลินหยูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ได้”
ต้องยอมรับเลยว่า เขาชอบนิสัยเชื่อฟังของเหยาซีเยว่มากจริง ๆ ประหนึ่งเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็ไม่ปฏิเสธ
ตัวอย่างเช่นวันนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอสามารถที่จะอาละวาดขึ้นมาได้ แต่เธอก็เลือกที่จะอดทนแทน
ซึ่งมันน่าเบื่อมาก
หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับคนแบบนี้มาเป็นเวลานาน เขาก็กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนแบบนี้ไป
เรื่องของความรู้สึก มันไม่สามารถบังคับกันได้
หลินหยูหยิบสัญญามาตรวจดู ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยพูด เย่เหลียนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวก็เดินออกมาอย่างเงียบ ๆ
เนื่องจากความยาวของเสื้อเชิ้ตถึงแค่ต้นขา อีกทั้งกระดุมก็ติดเพียงแค่สองสามเม็ดเท่านั้น มันจึงเผยให้เห็นเนื้อหนังข้างในของเธอ
ผมของเธอยังเปียกอยู่ ทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอนั้นเปียกเล็กน้อย เผยให้เห็นสิ่งที่น่าเย้ายวนใจที่เล็ดลอดออกมา
พอเหยาซีเยว่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันไปมอง แค่เห็นแวบเดียวเธอก็จำได้แล้วว่านี่คือเสื้อเชิ้ตของหลินหยู แล้วก็เป็นตัวที่เธอเลือกเองกับมือด้วย
ทันใดนั้นดวงตาของพวกเธอสองคนก็สบกัน คิ้วของเย่เหลียนโค้งลง เผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมา นี่เป็นแค่การประกาศศักดาเท่านั้น
ตอนที่สายตาของหลินหยูกวาดมองมา เธอก็ซ่อนรอยยิ้มนั้นกลับไปแล้ว
“น้องซีเยว่ เจอกันครั้งแรกสินะ ฉันชื่อเย่เหลียนนะ”
เธอค่อย ๆ เดินไปนั่งลงข้างหลินหยู แล้วก็อิงซบไปที่ไหล่เขาอย่างอ่อนระทวยประหนึ่งไม่มีกระดูก จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ได้ยินพี่หยูพูดถึงน้องซีเยว่อยู่บ่อย ๆ ในที่สุดก็ได้เจอสักทีนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”
เหยาซีเยว่ลดสายตาลง ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เมื่อเย่เหลียนเห็นเช่นนี้ เธอจึงผลักหลินหยู แล้วก็พูดอย่างออดอ้อนขึ้นมาว่า “เมื่อกี้นี้ฉันได้ยินพี่หยูบอกว่าจะมอบวิลล่าสามหลังให้กับน้องซีเยว่ พี่ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันอยากได้วิลล่าติดทะเลสาบหลังนั้นน่ะ? ทำไมต้องให้หลังนั้นไปด้วยล่ะ พี่ไม่รักฉันแล้วเหรอ?”
หลินหยูมักจะเติมเต็มต่อคำขอของเย่เหลียนเสมอ เขาจึงพูดกับเหยาซีเยว่ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่เหลียนเหลียนว่าแล้วกันนะ เดี๋ยวผมจะเลือกวิลล่าหลังอื่นให้คุณใหม่ก็แล้วกัน”
เหยาซีเยว่เงยหน้าขึ้น ตาใส ๆ ของเธอมองผ่านกรอบแว่นหนา ๆ ไปที่หลินหยู “คุณบอกว่าจะให้ฉันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เย่เหลียนพูดออดอ้อนขึ้นมาว่า “พี่หยู~”
สีหน้าของหลินหยูบ่งบอกว่าหมดความอดทนแล้ว “เหยาซีเยว่ คุณฟังภาษาคนไม่เข้าใจรึไง? ของพวกนี้ผมแค่ให้พิเศษกับคุณ ถ้าคุณไม่อยากได้ งั้นก็ไม้ต้องเอา”
เพราะรักนางจึงยอมทุกอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับมอบความรักให้สตรีอื่น ในเมื่อเดินมาจนถึงสุดทางแล้วนางก็ไม่คิดจะยื้อไว้อีกต่อไป ไปเถิดข้าปล่อยมือท่านแล้ว ส่วนข้าจะเดินจากไปพร้อมกับบุตรในครรภ์
" ถ้าฉันยังไม่เบื่อเธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...นอกจากเธอจะนอนถางขาให้ฉันเอาจนกว่าฉันจะเบื่อไปเอง! "
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ลูหว่านแต่งงานอย่างลับๆ มาสามปีแล้วและไม่เคยเห็นหน้าสามีมาก่อนเลย แต่แล้วสิ่งที่เธอได้รับในที่สุดกลับเป็นข้อตกลงารกย่าและข่าวที่เขาใช้เงินฟุ่มเฟือยเพื่อตามจีบสาวรักในใจของเขา ในที่สุดเธอก็ตื่นขึ้นมาและตัดสินใจหย่าร้าง หลังจากนั้น ลู่หว่านก็มุ่งหน้าที่พัฒนาในตัว โดยมีตัวตนหลายตัวตน เป็นหมอเทวดา สายลับระดับสูง แฮ็กเกอร์ชั้นนำ นักออกแบบชื่อดัง นักแข่งรถ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หลังจากเปิดเผยตัวตนมากมายของลู่หว่าน อดีตสามีของเธอก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ชายคนนั้นร้องขอว่า "หว่านหว่าน ให้โอกาสผมอีกครั้ง ทรัพย์สินทั้งหมดของผมเป็นของคุณ และชีวิตของผมก็มอบให้คุณด้วย"
“เราหย่ากันเถอะ”หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย