Secretly Love..."แอบ" "ความลับ และ ความรัก” ในอดีต ที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้เขาทั้งสองต้องถอยห่างจากกัน อีกคนบินลัดฟ้าไปเรียนไกลถึงต่างประเทศ แต่อีกคนกลับต้องนั่งจมฝังอยู่กับคำถามที่ยากจะหาคำตอบ กระทั่งวันนี้ เมื่อทั้งคู่ได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เปลวไฟที่เคยมอดดับกลับลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะอันที่จริงแล้ว เขาทั้งคู่ไม่เคยหมดรักกันเลย เพียงแต่ว่ารักระหว่างชายหนุ่มรุ่นพี่ กับ หนุ่มน้อยหน้าหวานรุ่นน้อง มันคงเป็นได้แค่การ “แอบ” รัก เท่านั้น
......“พี่เอกครับ”......
เสียงนุ่มละมุนคุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ เอกภัทร์ ที่กำลังก้มๆ เงยๆ วุ่นวายอยู่กับการจัดเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน ต้องหยุดชะงัก และเงยหน้าขึ้นมา หันซ้ายแลขวา เพื่อมองหาที่มาของเสียงอันคุ้นเคยนั้น
ใครกัน! มาเรียกหาในเวลาที่กำลังวุ่นวายกับการจัดการเอกสารแบบนี้ - เอกคิด
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น หนุ่มน้อยหุ่นบางร่างเล็กกะทัดรัด แต่สมส่วนไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นช่วงคอที่ระหง เลื้อยลงไปจนถึงบ่าที่ผึ่งผายไม่ห่อเหี่ยว ส่วนแขนขารึก็เรียวยาวดุจต้นเทียนพรรษา ความสูงไม่น่าจะเกิน 175 เซนติเมตร ผิวพรรณผุดผ่องขาวออร่า แม้จะอยู่ในชุดยูนิฟอร์มของบริษัทที่สีออกจะหม่นๆ เทาๆ กำลังยืนจ้องมองมายังเขาด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นปนดีใจ เห็นได้ชัดเจนจากรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาไม่ขาดสาย
ใบหน้าละมุนหวาน มีพวงแก้มเนียนนุ่มน่าสัมผัส ปากกระจับที่ฉีกยิ้มอยู่นั้น เรียวได้รูปอมชมพูนิดๆ จนอยากจะเอาปากประกบจุมพิตและโลมเลียเสียให้ทั่ว ส่วนจมูกที่โด่งเป็นคมสัน บวกกับดวงตากลมโตสีฟ้าครามคู่งาม ที่เปล่งประกายอยู่ใต้หว่างคิ้วเรียงเส้นดังใยไหมคู่นั้น ยิ่งจ้องมองลึกเข้าไปยิ่งเห็นถึงความใสซื่อ แต่แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นอย่างน่าค้นหา
ปลายเส้นผมที่หยักโรลโดยธรรมชาติ ประหนึ่งเหมือนผ่านการโรลผม พัดเกลี่ยคลอเคลียไปมาบนหน้าผาก เมื่อโดนลมจากช่องแอร์พัดเป่าเบาๆ ยิ่งส่งให้ใบหน้ารูปไข่นั้นแลดูละมุนมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองต่างจ้องตากันและกัน เอก ที่กำลังตะลึงงันกับหนุ่มน้อยเจ้าของเสียงที่อยู่ตรงหน้า ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเผลอยิ้มตอบรับอย่างประหลาดใจ
แว๊บแรก! ใครกันนะ มายืนยิ้มให้กับเรา ทั้งที่ก็ไม่เคยรู้จักกัน...แต่เสียงที่ร้องเรียกนั้น ทำไมฟังแล้วนุ่มรื่น ดูคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน - เอก พยายามครุ่นคิดและนึกคิด หากแต่สายตาก็ยังคงจ้องมองไปยังหนุ่มน้อยหน้าหวานอย่างไม่กระพริบ กระทั่ง ร่างนั้นค่อยๆ เคลื่อนกายเยื่องย้ายเข้ามาหาอย่างช้าๆ และเนิบๆ
...ตึ๊ก!...ตึ๊ก!...ตึ๊ก!...
เสียงหัวใจของเขาเต้นรัวๆ ราวจะหลุดออกมาข้างนอก เลือดหนุ่มใหญ่ภายในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง เอก ไม่เคยรู้สึกร้อนวูบวาบแบบนี้ แม้แต่ตอนที่อยู่ใกล้ชิดกับ พิมระดา คู่หมั้นสาวของตนเอง เขาก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน
ต่างจากหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้ ทั้งที่เพิ่งเคยได้พบปะหน้าตากันครั้งแรก กลับทำให้ความเป็นชายในตัวเขา ลุกโชนชูชันขึ้นมาจนคับแน่นไปทั่วเป้ากางเกง ความกระหื่นกระหายที่วิ่งผ่านเส้นเลือดและเส้นเอ็นแต่ละเส้น พร้อมที่จะดันทะลักล้นความรู้สึกนั้นออกมาเป็นความสุข เพียงแค่ได้มองหน้าละมุนหวานดวงนี้เท่านั้น
นี่เราไม่ได้เพี้ยนไปใช่ไหม - เอกเฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ สายตาก็ยังคงจ้องมองไปที่ดวงหน้าละมุนนั้น เสียง ตึ๊ก!...ตึ๊ก!...ตึ๊ก!... ของหัวใจก็ยังคงเต้นรัวๆ ส่วนเจ้าน้องชายตัวดีก็ยังคงพองโตคับแน่นจนปวดร้าวไปหมดแล้วตอนนี้...
ควรทำอย่างไรดี ? ร่างนั้นก็ไม่คิดที่จะหยุดก้าวเดินเข้ามาหาเสียที
++++++
“เอกคะ...เอก...เอกคะ...ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ”
ก่อนที่ความคิดและจิตนาการของเขาจะเตลิดเปิดเปิงไปไกลมากเกินกว่านี้ พิมระดา คู่หมั้นสาว ก็รีบเดินปรี่เข้ามาจับที่ต้นแขนของเขาเบาๆ
“อะ...อ้าว!! พิมพ์ เอ่อ...ทะ...เที่ยงแล้วหรือครับ”
เอก ตกใจตื่นจากภวังค์ ละล่ำละลัก เมื่อได้ยินเสียง พิมพ์ ร้องเรียก ก่อนที่จะหันมายิ้มให้เธอด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเปรยหางตาไปมองตามหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนั้น ซึ่งกำลังเดินลับหายเข้าไปในลิฟท์อย่างช้าๆ
“นั่นใครหรือคะ”
พิมพ์ เปรยตาไปมองหนุ่มน้อยคนนั้นบ้าง ก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าเอก หนุ่มคู่หมั้นด้วยความสงสัย
“เอ่อ...คงเป็นพนักงานใหม่ละมั้ง ไปกันเถอะ ผมหิวแล้ว...วันนี้คุณอยากทานอะไร เดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือเอง”
เอก รีบตัดบททันที ก่อนที่จะยื่นมือออกไปกุมมือคู่หมั้นสาว แล้วพากันเดินออกจากห้องทำงาน และก้าวเข้าไปในลิฟท์อีกตัวที่จอดค้างรออยู่ตรงหน้า
......เช้าวันถัดมา......
......ตึ๊ก!!!......
“อุ้ย!! ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมช่วยเก็บครับ”
ด้วยความรีบร้อนของ พิมพ์ ทำให้เธอเดินชนเข้าอย่างจังกับใครบางคน จนเอกสารที่ถืออยู่ในมือหล่นกระจัดกระจายไปทั่ว เธอกุลีกุจอก้มลงไปตามเก็บเอกสารเหล่านั้น ก่อนที่สายลมจะพัดปลิวไปตกลงบ่น้ำพุที่พวยพุ่งเป็นสายอยู่ข้างๆ อาจทำให้เอกสารสำคัญสำหรับการประชุมวันนี้ต้องเสียหายได้
“อ้าว!!...”
พิมพ์ ร้องทัก
“น้องคือพนักงานใหม่ที่ยืนคุยกับ เอก เมื่อวานนี้ใช่ไหม ?”
พิมพ์ ถามอย่างสงสัย
“พี่พิมพ์นะคะ เป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่นี่ และก็เป็นคู่หมั้นของ เอก ด้วยค่ะ”
พิมพ์ กล่าวคำทักทาย พร้อมกับแนะนำตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปนความประหลาดใจ ที่ได้เจอกับหนุ่มน้อยโดยบังเอิญที่หน้าสำนักงานออฟฟิศ ที่เธอทำงานและมีคุณพ่อเป็นหุ้นส่วนใหญ่อยู่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปรับเอกสารที่เขาช่วยเก็บขึ้นจากพื้น ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ
“แล้วน้องชื่ออะไรหรือคะ”
พิมพ์ เอ่ยถาม พลางจัดเก็บเอกสารเข้ากระเป๋าแฟ้มให้เป็นระเบียบ กันการตกหล่นอีกครั้ง หากต้องเดินขึ้นบันไดหน้าสำนักงานออฟฟิศ ซึ่งนับดูแล้วก็น่าจะราวๆ 10 กว่าขั้นได้ และสาวสวยหัวสมัยใหม่ ดีกรีเด็กนักเรียนนอกอย่างเธอ มีหรือที่จะไม่จัดเต็มกับเครื่องแต่งกาย ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม กระเป๋าสะพายหนังแท้แบรนด์หรูระดับพรีเมียม รวมถึงรองเท้าส้นเข็มที่สูงปรี๊ดอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่นางแบบมืออาชีพ หรือใครที่ไม่เคยสวมใส่มาก่อนจนชิน คงเดินขึ้นบันไดได้ลำบากน่าดูทีเดียวเชียว
“ผมชื่อ พีท ครับ เพิ่งเข้ามาทำงานในส่วนของ Marketing Online วันนี้เป็นวันแรกครับ”
พีท แนะนำตัวสั้นๆ
“อ้อ...ดีจังเลย เอาไว้ว่างๆ เราค่อยคุยกันนะพีท พี่พิมพ์รีบ...ไปล่ะ”
พิมพ์ รีบตัดบท พร้อมส่งยิ้มหวานให้ด้วยความเป็นมิตร ก่อนที่จะผละจากไปอย่างรีบเร่ง
“ครับ...สวัสดีครับ”
ส่วน พีท ก็หันหลังกลับอย่างไว เร่งจ้ำอ้าวเดินไปยังลานจอดรถยนต์ชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานออฟฟิศ เพราะดันลืมกระเป๋าโน้ตบุ๊คเอาไว้ที่ท้ายรถยนต์ของตัวเอง
“เพิ่งมาทำงานวันแรกแท้ๆ เดี๋ยวก็เข้างานสายหรอก เจ้าพีทเอ้ย!!...”
เขาบ่นพึมพำกับความขี้หลงขี้ลืมของตัวเอง
++++++
......ตึ๊ก!!!......
“อุ้ย!! ขอโทษครับ”
พีท รีบยกมือไหว้ขอโทษใครสักคน ที่เขาหันกลับมาชนเข้าอย่างจังแบบไม่ได้ตั้งใจ หลังจากก้มหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คที่เบาะหลังท้ายรถยนต์เสร็จเรียบร้อย และเตรียมที่จะเอื้อมมือไปปิดประตู
...แต่....
“ไง...เด็กดื้อ”
ประตูรถยนต์ยังไม่ทันได้ถูกปิดเลยเสียด้วยซ้ำ พีท ก็ถูกผลักให้ล้มลงไปนอนหงายอยู่เบาะหลังท้ายรถยนต์ของตนเอง พร้อมกับมีร่างชายผิวเข้ม สูงใหญ่ราว 180-190 เซนติเมตร หุ่นหนากำยำล่ำสัน มวลกล้ามเนื้อแน่นตั้งแต่น่อง เรื่อยมายังต้นขา ไปจนถึงหน้าอกที่ผึ่งผาย และหัวไหล่ยกตึงจากการเข้ายิมออกกำลังกายไม่เคยขาด แม้ปีนี้จะอายุเลยเลข 4 ไปแล้วก็ตาม เขาก็ยังคงดูแข็งแรงสุขภาพดีอยู่
เขายืนเอาแขนข้างหนึ่งพาดผิงกับประตูรถยนต์ และค่อยๆ โน้มตัวก้มลงมามอง พีท ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แลดูมีความสุข และเป็นมิตร ถึงแม้จะมีผิวที่คมเข้ม แต่กลับเรียบเนียนไร้ซึ่งริ้วรอยตีนกาใดๆ กรามหน้าชัดรับกับจมูกที่โด่งเป็นสัน คิ้วหนาดกดำเรียงเส้นดุจใยไหม ปากหนาแต่เรียวเป็นกระจับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายแวววับคู่นั้น ดูหวานหยาดเยิ้มและซ่อนเร้นอย่างน่าค้นหา
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กและสูทสีเทาเข้ม ดูตึงๆ รั้งๆ เมื่อร่างสูงใหญ่นั้น ค่อยๆ ล้มทับสวมกอดลงมาบนตัว พีท แบบไม่ทันตั้งตัว
ปลายของเนคไทสีน้ำเงินเข้ม ปักตัวอักษรเล็กๆ ด้วยไหมสีขาว คำว่า “PA” พาดคลอเคลียบริเวณใบหน้า ทำให้ พีท ถึงกับเบิกตาโพง พร้อมกับเอามือผลักร่างนั้นออกด้วยความตกใจ
“พี่หมีเอก...?”
พีท ยังไม่ทันที่จะเอ่ยคำต่อไปออกมา ปากหนานุ่มของ เอก ก็ประกบมาที่ปากเรียวกระจับของเขาทันที หนวดเคราทิ่มแทงบริเวณพวงแก้มและริมฝีปากเบาๆ ถึงแม้จะไม่ทำให้รู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บ เพราะมันถูกโกนจนเตี่ยนเลี่ยนให้สะอาดอยู่ตลอดเวลาแบบหนุ่มนักธุรกิจไฮโซนักเรียกนอก ที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางกรุงเทพ แต่ก็ชวนให้รู้สึกเร่าร้อนและสั่นสะท้านไปทั้งกายได้ไม่ยาก
เสียงลมหายใจ เสียงกระซิบกระซาบ และรสชาติที่ครั้งหนึ่งเคยได้ดูดดื่ม ถูกล่วงล้ำผ่านริมฝีปากของเขาเข้ามาอีกครั้ง มันไม่ยอมหยุดนิ่งที่จะเร่งตวัดรัดพันจนเหนียวแน่น อาจจะด้วยเวลาที่มีอย่างจำกัด หรือเพราะมันไม่เคยได้ดูดดื่มกับความหอมหวานมาอย่างยาวนาน มันจึงเร่งรีบและเร่งเร้าดื่มด่ำไม่หยุดนิ่งเลย ตั้งแต่ปากของเขาทั้งสองประกบกัน
ไออุ่นจากโอบกอดของกล้ามแขนและแผงอกที่ใหญ่แน่นหนาแข็งปึ๊กนั่น ช่างแสนอบอุ่นเสียเหลือเกิน กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นชิน ผนวกกับกลิ่นสาปเบาๆ ของเขา ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของหนุ่มน้อยให้ลุกโชนดั่งเปลวไฟ ที่ประหนึ่งถูกสุมด้วยไม้ฟืนดุ้นโตอย่างต่อเนื่องแบบไม่ขาดช่วงพัก
ทั้งสองแทบไม่อยากผละและคลายตัวเองออกจากอ้อมกอดของกันและกัน เพราะมันทำให้หวนรำลึกถึงวันเก่าๆ ที่เขาสองคนเคยผ่านกันมา จนไม่สนใจว่าภายในลานจอดรถยนต์แห่งนี้จะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่กี่ตัว หรือว่าจะมีใครเผลอเดินผ่านไปผ่านมาพบเห็นเข้า
พีท ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มานานนับ 10 ปี ตั้งแต่ที่ เอก บินไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา และกลับมาเปิดบริษัททำธุรกิจเป็นของตนเอง บวกกับเข้าไปช่วยบริหารจัดการห้างสรรสินค้าแทนอาป๊าของเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
นับตั้งแต่วันเข้ารับปริญญาบัตรที่หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย เขาทั้งสองก็แยกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีการติดต่อใดๆ ทั้งสิ้นจากพี่หมีเอกของน้องดื้อพีท อีกเลย ไม่ว่าจะเป็น จดหมาย โทรศัพท์ ไลน์ เฟสบุ๊ค หรือแม้แต่ช่องทางต่างๆ ในโลกออนไลน์ พีท ก็ไม่เคยค้นหาตัวตนของ เอก เจอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถึงแม้ พีท จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ พี่หมีเอก ทิ้งไปโดยไม่มีการติดต่อ แต่เขากลับไม่เคยลืมเลยว่า ครั้งหนึ่ง ผู้ชายคนนี้เคยทำให้ชีวิตของเขามีความสุข และมีคุณค่ามากแค่ไหน ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้
“พี่หมีเอกครับ”
พีท เผลอครางชื่อของ เอก ออกมาในลำคอเบาๆ
“หืม!!...อืม...”
เอก คำรามตอบรับเสียงเรียกนั้นด้วยความเอ็นดู
“พี่หมีเอก พอเถอะนะครับ”
ก่อนที่ทุกอย่างจะเตลิดเปิดเปิงมากไปกว่านี้ พีท พยายามดึงสติตัวเองกลับคืนมา แล้วจึงตัดสินใจผลักร่างกายกำยำของ เอก ออกจากตัวเขาอย่างแรง
“เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอกครับ พี่หมีเอก”
พูดแล้ว พีท ก็เอื้อมปลายนิ้วชี้ขวาไปดันปลายจมูก เอก เบาๆ เพื่อดึงสติของเขาให้กลับคืนมาโดยไว
“ใครเห็นก็ช่างเขาสิ”
พูดจบ เอก ก็ก้มลงไปจูบปาก พีท ต่อ โดยไม่สนคำค้านใดๆ ทั้งสิ้น
“พอแล้วครับพี่หมีเอก เดี๋ยวพี่พิมพ์ก็มาเห็นหรอก”
ด้วยประโยคทัดทานนี้ ทำให้ เอก ต้องผละตัวเองออกมา แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นนั่งที่เบาะท้ายหลังของรถยนต์
...ฟืด...ฟืด...ฟืด!!!...
ความเงียบเข้าครอบงำ ได้ยินแม้กระทั้งเสียงลมหายใจเพียงแผ่วเบาของทั้งสอง
พีท พยายามข่มความรู้สึกและความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ กลัวเขาจะสัมผัสได้ถึงความประหม่าและความดีใจลึกๆ ที่เผอิญได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะห่างหายจากกันไปเป็นสิบๆ ปี แต่เขาก็ไม่เคยลืมสัมผัสแรกที่ทั้งคู่ได้เคยมอบให้แก่กันและกัน ในคืนวันรับน้องใหม่ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งคู่ได้เจอกันเมื่อคราที่พีทเพิ่งก้าวเข้ามาเป็นน้องเฟรชชี่ปี 1 ใหม่ๆ
“แล้วมาทำงานที่นี่ได้ยังไง”
เอก กล่าวถาม
“ก็...อยากอยู่ใกล้พี่ละมั้ง”
พีท พูดแล้วก็ยักไหล่นิดหนึ่ง
“นี่แน่!!”
เอก เอื้อมมือไปบีบจมูก พีท เบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“โอ้ยย!! เจ็บนะ ลงไปได้แล้ว จะรีบไปทำงาน เดี๋ยวสาย เพิ่งมาทำงานวันแรกก็จะโดนไล่ออกเสียแล้ว”
พีท รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ไม่มีใครกล้าไล่เด็กดื้อของพี่หมีออกหรอก ถ้าพี่หมีไม่ได้สั่ง”
เอก มองหน้า พีท แล้วก็ยิ้มที่มุมปากเบาๆ
“แบบนี้ก็ได้ด้วยหรอครับ”
พีท ถามกลับ
“เดี๋ยวตอนเย็นพี่โทรไปหานะ ยังใช้เบอร์เดิมอยู่ใช่ไหม”
เอก ถาม
“อืม!! ถ้าโทรติด ก็แสดงว่าใช่ครับ”
พีท มองหน้า แล้วก็ยิ้มด้วยความยียวน
“งั้น...เอาไว้เจอกันครับ”
ก่อนลงจากรถ เอก ก้มลงไปจูบเบาๆ ที่ปากของ พีท อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า
“คิดถึงนะครับเด็กดื้อของพี่หมี”
แล้ว เอก ก็ก้าวลงจากรถ และเดินลับหายไป ปล่อยให้ พีท นั่งยิ้มกริ่ม เขินอายหน้าแดง อยู่เบาะหลังท้ายรถยนต์เพียงลำพัง
หล่ออะ!!...รวยอะ!!...เท่อะ!!...ทำไงได้...ถ้าจะมีใครอยากจูบไม่เว้นแต่ละวัน ก็คนมันป๊อปปูลาร์ เดินไปไหนมาไหน สาว ๆ ก็รุมกรี๊ดรุมทึ้ง ทั้งของขวัญ ของฝาก ทั้งขนม น้ำดื่ม จะเอาอะไรก็มีแต่คนประเคนให้...แต่!!...เพราะความหล่อเป็นเหตุ เทสที่สร้างกับร่างที่เป็น จึงแตกต่างกันคนละขั้ว ภายในใจลึก ๆ แล้ว เคนโซ ออกจะเบื่อหน่ายกับความป๊อปปูลาร์ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ เขาไร้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง อยากแคะขี้ฟันต่อหน้าคนเยอะ ๆ ก็ทำไม่ได้ อยากตดเสียงดัง ๆ ก็ทำไม่ได้ อยากใส่เสื้อผ้าธรรมาด๊าธรรมดาก็ใส่ไม่ได้ อยากกินข้าวข้างทางก็กินไม่ได้ และทุกคนที่เข้ามาก็ล้วนหาความจริงใจไม่ได้เช่นเดียวกัน...เบื่อเน๊อะว่ามะ!! ที่ต้องดูดีและตีสองหน้าตลอดเวลา... แต่!!...ใครจะไปคิดล่ะว่า เอวาน หนุ่มน้อยหน้าละอ่อนจะช้อนหัวใจรุ่นพี่ปีสี่อย่าง เคนโซ ไปได้...ถ้าเทสเราไม่ตรงกันมันจะไปด้วยกันได้อย่างไร...ถ้าจะคบกัน ต้องนั่งรถเมล์ได้ กินต้มอึ่งไชโยได้ ใส่เสื้อผ้าร่วมกันได้ นอนเตียงเดียวกันได้ อาบน้ำด้วยกันได้ ตดใส่หน้ากันได้ เรอใส่หน้ากันได้ และสำคัญที่สุด...นายกล้าจูบเราต่อหน้าคนเยอะ ๆ มั๊ยล่ะ!!...ถ้ากล้า เราก็พร้อมจะบ้าไปกับนายนะ...หึหึ...ได้สิ!! เพราะจูบนี้จะเป็นจูบสุดท้ายที่พี่จะเอาจริง...รักแหละ ดูออก...เขินมั๊ย เอาดี ๆ
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
อวิ๋นเจินอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋นมาเป็นเวลา 20 ปี กลับพบว่าเธอเป็นลูกสาวปลอม พ่อแม่บุญธรรมของเธอวางยาเธอเพื่ออยากจะได้เงินมาลงทุน หลังจากที่อวิ๋นเจินรู้เรื่องนี้ เธอก็ถูกไล่กลับไปที่ชนบท จากนั้นเธอก็ค้นพบว่าตัวเองคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลเฉียวและมีชีวิตที่หรูหราสุด ๆ หลังจากกลับมา เธอได้รับความรักจากครอบครัวและมีชื่อเสียงโด่งดัง น้องสาวจอมปลอมใส่ร้ายอวิ๋นเจิน แต่เธอไม่คาดคิดว่าอวิ๋นเจินจะมีความสามารถต่างๆ เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุ เธอได้แสดงความสามารถและทักษะต่างๆ มากมายเพื่อจัดการผู้รังแก มีข่าวลือกันว่าอวิ๋นเจินยังคงโสด และชายหนุ่มชื่อดังแห่งเมืองงก็ผลักเธอไปเข้ากำแพง "คุณนายกู้ ถึงตามราเปิดเผยตัวตนได้แล้วนะ"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว