หนานซ่งเป็นภรรยาที่ดีมาสามปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่สามารถทำให้หยูจินเหวินตกหลุมรักเธอได้ และยังต้องการหย่ากับเธอเพื่อผู้หญิงตีสองหน้าเก่งคนหนึ่งด้วยซ้ำ ช่างเถอะ จะหย่าก็หย่าเลย ฉันไม่เล่นด้วยแล้ว เธอลบร่องรอยของตัวเองทั้งหมด หายไปจากโลกของเขาโดยสิ้นเชิง จากนั้นพลิกผันกลับอย่างสง่างามและกลายเป็นคู่หูในฝันของเขา หนานซ่งมองสามีเก่าของเธออย่างเย็นชา "อยากร่วมมือกับฉันเหรอ คุณเป็นใครกัน" มีผู้ชายจะมีประโยชน์อะไร ฉันจะโดดเด่นคนเดียว ต่อมาหยูจินก็ตามจีบภรรยาเก่าของเขาจากนั้นพบว่า - หัวหน้าแฮ็กเกอร์คือเธอ เชฟชื่อดังระดับนานาชาติคือเธอ หมอระดับนานาชาติชื่อดังคือเธอ ปรมาจารย์การแกะสลักหยกคือเธอ... ล้วนเป็นเธอ! เมื่อเห็นว่าเส้นทางตามจีบภรรยาของเขายิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ หยูจินเหวินก็สติแตก! คุณมีตัวตนอีกมากเท่าไรที่ฉันไม่รู้? - - หนานซ่ง: ใจเย็นๆ ฉันเก่งในทุกๆ ด้าน ตามจีบต่อเลย
“หย่ากันเถอะ”
แต่งงานกันมาสามปี ฝ่ายชายยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม คำพูดที่เย็นชาสามคำ ไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลยสักนิด
หนานซ่งยืนอยู่ด้านหลังอวี่จิ้นเหวิน จ้องเงาหลังที่สูงใหญ่ราวกับต้นสนของเขา มองหน้าตาที่เย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกสะท้อนอยู่ในหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน รู้สึกแค่ว่าหัวใจดวงนึงเย็นจี๊ดจนสุดขั้วหัวใจ
สองมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำแน่น สั่นเทาไปหมด
ประโยคที่เธอกลัวที่สุด ในที่สุดก็หลุดออกมา
ฝ่ายชายหันตัวมา เห็นหน้าได้ชัดมากขึ้น ใบหน้าที่เพอร์เฟคใบหน้าหนึ่ง มีขอบมุมความคมหล่อที่ชัดเจน แม้ว่าจะเผชิญมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังคงทำให้เธอใจเต้นอยู่ไม่น้อย
“ไม่หย่า ได้ไหม?”
หนานซ่งเค้นคำพูดนี้ออกมาจากในลำคอด้วยความอย่างยากลำบาก แววตาสั่นกระเส่า แต่กลับยังคงเต็มไปด้วยความหวัง
อวี่จิ้นเหวินกลางคิ้วขมวดเข้าหากัน คิ้วตาที่เย็นชาหยุดชะงักลงบนใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางของฝ่ายหญิง สุดท้ายก็จ้องมองดวงตาที่แดงระเรื่อของเธอ คิ้วขมวดกันแน่น
แม้ว่าจะเป็นหน้าสด หนานซ่งก็ยังคงสวย เธอไม่ใช่สาวสวยที่เห็นโครงหน้าชัดเจน แต่ผิวขาวนวล ใสซื่อไร้เดียงสา เป็นรูปลักษณ์ที่ดูสบายตา
ดวงตากลมโตของเธอจ้องเขาตาใสทั้ง ๆ แบบนี้ แววตาเต็มไปด้วยความวิงวอน ไฝหนึ่งเม็ดใต้หางตาขวา ผมยาวสลวยปล่อยตรงลงบริเวณหู อ่อนโยนไร้ซึ่งความก้าวร้าว
แต่ในสายตาของชายหนุ่ม นี่คือผู้หญิงที่อ่อนโยนแต่ก็เรียบง่ายและน่าเบื่อ
ในฐานะที่เป็นภรรยา เธอไม่มีข้อบกพร่องอะไรเลย แต่เขาแค่ไม่ได้รักเธอเท่านั้น
เมื่อสามปีก่อนเขาประสบอุบัติเหตุ ท่อนบนเป็นอัมพาต หมอบอกว่าเขาอาจจะยืนไม่ได้ตลอดไป และในตอนนั้นเอง ที่เขาถูกบีบบังคับให้เลิกกันกับผู้หญิงอันเป็นที่รัก แม่บังคับให้เขาไปนัดบอด ต้องหาภรรยาที่เป็นหมอมาดูแลเขาไปตลอดชีวิต เขาเลือกพยาบาลคนนึงหนึ่งในคนที่นัดบอด นั่นก็คือลู่หนานซ่ง เธอไม่มีภูมิหลังอะไร และเธอก็เป็นคนเงียบด้วย
“คุณอยู่กับผมมาสามปีแล้ว แล้วก็ดูแลผมมาสามปีแล้ว เงินห้าสิบล้านนี้ถือค่าชดเชยให้กับคุณล่ะกัน”
ตอนที่เขาพูดคำพูดแบบนี้แสงในแววตากลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ยิ่งมองไม่เห็นความรู้สึกรักที่มีต่อเธอเลยแม้แต่น้อย “หรือ คุณต้องการอย่างอื่น...”
“ทำไม?”
หนานซ่งพูดแทรกเขาเป็นครั้งแรก เบ้าตาที่เริ่มแดงเต็มไปด้วยความยึดติด แล้วก็... ไม่อยากจะยอมรับ “ทำไมถึงต้องขอหย่าตอนนี้”
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบแต่งงานสามปีของพวกเขา เธอเตรียมการวางแผนเอาไว้มากมาย ถึงขนาดที่เธอยังคิดอีกด้วยว่า อีกสามปีต่อมา อีกยี่สิบสามปีต่อมา นั่นก็คือตลอดชีวิตแล้ว
“คุณก็รู้ คนที่ผมรักไม่ใช่คุณ”
น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาแฝงไปด้วยความเยือกเย็นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถึงขนาดที่เขาไม่แม้แต่จะให้ความหวังกับเธอเลยแม้แต่น้อย “ซวนซวนกลับมาแล้ว ผมจะแต่งงานกับเธอ”
หนานซ่งราวกับถูกสายฟ้าผ่าเข้ากลางหัว ร่างกายที่ผอมบางไม่สามารถรับความหนักอึ้งขนาดนี้ได้ สั่นเทาขึ้นมาทันที
ชีวิตแต่งงานที่เธอดูแลรักษามันมาตลอดสามปี กลับไม่อาจต้านทานคำพูดประโยคเดียวของอีกฝ่ายได้เลย... “ฉันกลับมาแล้ว”
“คุณผู้ชาย...”
พ่อบ้านตรงเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน “คุณจั๋วอาเจียนอาหารที่เพิ่งจะกินเข้าไปออกมาอีกแล้วครับ แถมยังกระอักเลือดอีกด้วย!”
ใบหน้าที่เงียบขรึมของชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย เขาเดินอ้อมหนานซ่งตรงไปที่ห้องรับแขกทันที ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “เตรียมรถ ไปโรงพยาบาล”
ผ่านไปไม่นาน อวี่จิ้นเหวินก็อุ้มผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องรับแขก ผู้หญิงคนนั้นรูปร่างซูบผอม บนตัวยังคลุมด้วยผ้าห่มปักผืนบาง ซึ่งเป็นผ้าที่หนานซ่งปักด้วยตัวเอง
สีหน้าขอเธอซีดเผือด มองออกว่าอยู่ในอาการป่วย ราวกับจะจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ คนทั้งคนซบพิงอยู่ในอ้อมกอดของอวี่จิ้นเหวิน เสียงเบามาก “พี่จิ้น คุณลู่เธอ...”
อวี่จิ้นเหวินหยุดฝีเท้าลงตรงมุมบันได ก่อนจะหันไปพูดกับหนานซ่ง “รายละเอียดของการหย่าทนายความจะไปเจรจากับคุณเอง เชิญคุณย้ายออกจากบ้านภายในสามวันด้วย”
จากนั้น เขาก็อุ้มผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาในอ้อมแขน อุ้มเธอลงไปข้างล่างอย่างไม่หันกลับมาอีก
หนานซ่งยืนอยู่ตรงทางลงบันได จั๋วซวนนอนอยู่ในอ้อมกอดของอวี่จิ้นเหวิน เงยหน้าขึ้นมามองหนานซ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยแสงแห่งชัยชนะ
ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง ผู้หญิงที่ป่วยคนนี้พูดกับเธออย่างยิ้มแย้ม “ฉันเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างโจ้งแจ้ง เธอคืนเขามาให้ฉันซะ”
จนกระทั่งร่างของพวกเขาหายลับไป หนานซ่งถึงได้ล้มทรุดลงไปราวกับร่างกายไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลอาบหน้าอย่างเงียบ ๆ เธอกอดตัวเองเอาไว้ รู้สึกเพียงว่าร่างกายหนาวจับใจ
สิบปี
นับตั้งแต่วินาทีที่เขาช่วยเธอออกมาจากนรกจนถึงตอนนี้ เธอก็ติดตามเขามาตลอดสิบปี แล้วก็รักเขามาตลอดสิบปีแล้วเหมือนกัน ชีวิตของคนเรามันจะมีสักกี่สิบปีกัน
แต่ไม่รักก็คือไม่รัก ต่อให้จะยอมขนาดไหน เธอก็ไม่สามารถทำให้ผู้ชายคนนี้รู้สึกหวั่นไหวได้ ไม่สามารถทำให้เขารักเธอได้เลยแม้แต่น้อย
“จิ้นเหวิน นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะร้องไห้ให้กับคุณ”
หนานซ่งยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาที่เย็นเฉียบทิ้งไป ก่อนจะลุกขึ้นมาจากพื้น ผู้หญิงที่เดิมทีอ่อนแอ เปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาอย่างถึงที่สุด ในตาสะท้อนความมุ่งมั่นเด็ดเดียว
ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว
หนังสือข้อตกลงการหย่าถูกวางเอาไว้อยู่บนหัวเตียงในห้องนอนใหญ่ มันโดดเด่นสะดุดตามาก
หนานซ่งเปิดไปหน้าสุดท้ายตรง ๆ เห็นลายเซ็นที่คุ้นเคย แววตาของเธอเป็นประกายวิบวับ เธอลูบเบา ๆ ไปยังชื่อ “อวี่จิ้นเหวิน” อย่างระมัดระวัง รู้สึกแน่นจมูกขึ้นมา
เธอสูดจมูก กลั้นน้ำตาที่กำลังจะออกมาให้กลับไป ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อของตัวเองลงไปบนนั้นอย่างไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ ลู่หนานซ่ง
ในเมื่อเริ่มต้นด้วยชื่อนี้ งั้นก็ต้องจบสิ้นด้วยชื่อนี้เช่นกัน
หนานซ่งวางตราประทับอันหนึ่งอยู่บนหัวเตียง ตั้งแต่การคัดเลือกวัสดุจนถึงการซื้อหยกชิ้นนี้ เธอต้องใช้เวลาไปเกือบหนึ่งปี นี่เป็นของขวัญครบรอบสามปีที่เธอตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้กับเขา
อันที่จริงตลอดสามปีมานี้เธอก็เคยมอบของขวัญให้กับเขามากมาย ไม่มีชิ้นไหนที่ไม่ได้เตรียมอย่างไม่ได้ตั้งใจเลยสักชิ้น แต่ปลายทางสุดท้ายกลับถูกทิ้งเอาไว้อยู่ในตู้เสื้อ หรือไม่ก็โยนทิ้งลงไปในถังขยะไปตรง ๆ มันก็เหมือนกับความจริงใจที่เธอมีต่อเขา
ทันทีที่เดินออกมาจากบ้าน รถหรูสีดำคันหนึ่งก็จอดอยู่ริมถนน หนานซ่งขึ้นไปบนรถ ก่อนจะพูดอย่างนิ่ง ๆ “ฉันหย่าแล้ว”
ที่นั่งคนขับ ผู้ชายที่สวมแว่นกันแดดสีชายิ้มออกมาอย่างร้าย ๆ “ยินดีด้วย คุณได้รับอิสระกลับคืนแล้ว”
เขายื่นโน้ตบุ๊คมาให้กับหนานซ่ง “ถึงเวลากลับมาเป็นตัวเองได้แล้ว พวกเราต่างกำลังรอการกลับมาของคุณ”
" ถ้าฉันยังไม่เบื่อเธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...นอกจากเธอจะนอนถางขาให้ฉันเอาจนกว่าฉันจะเบื่อไปเอง! "
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ในการแต่งงานที่ทำข้อตกลงไว้ เจียงหว่านเป็นฝ่ายที่มีใจให้อีกฝ่ายก่อน แต่ตอนที่เธอต้องการเผยเสี้ยนมากที่สุด เขากลับอยู่เคียงข้างคนรักในใจของเขา ในท้ายที่สุด เจียงหว่านก็ตัดสินใจหย่า และเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเผยเสี้ยนรู้สึกตัวขึ้นมา เธอก็จากไปแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่เข้าคิวเพื่อรับป้ายหมายเลข เผยเสี้ยนหยิบเงินร้อยล้านออกมาและพูดว่า "หว่านหว่าน คู่รักก็ต้องเป็นคู่เดิมเราแต่งงานใหม่อีกครั้งได้ไหม"
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน