ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในนิยาย แต่นางกลับได้รับบทเป็นตัวประกอบที่มีบทเพียงฉากเดียว ใครสน!! ในเมื่อฉันรู้อนาคต!! ข้าวยากหมากแพงหรือ? ฉันรู้ล่วงหน้าจ้ะ! กู้ลี่ถิงผู้นี้จะเขียนบทใหม่ของชีวิตด้วยตัวเอง!!
ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในนิยาย แต่นางกลับได้รับบทเป็นตัวประกอบที่มีบทเพียงฉากเดียว ใครสน!! ในเมื่อฉันรู้อนาคต!! ข้าวยากหมากแพงหรือ? ฉันรู้ล่วงหน้าจ้ะ! กู้ลี่ถิงผู้นี้จะเขียนบทใหม่ของชีวิตด้วยตัวเอง!!
“จบแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย" หญิงสาวร่างเล็กรำพันออกมาเป็นคำพูดเบาๆ ก่อนจะปิดหนังสือนิยายที่เพิ่งอ่านจบเมื่อครู่วางไว้บนตัก
ยังไม่ทันไรเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอยู่ข้างๆ
“ค่อยยังชั่วหรือ? แปลว่ายังไม่พอใจกับตอนจบล่ะสินะ"
“อุ้ย!! ขอโทษค่ะคุณตา หนูไม่ทันเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย รบกวนคุณตาหรือเปล่าคะ” กู้ลี่ถิงรีบออกตัวขอโทษขอโพยเมื่อเห็นว่าในมือของอีกฝ่ายก็ถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่งเช่นกัน
สวนสาธารณะที่เธอนั่งอยู่ เป็นแหล่งชุมนุมของนักอ่านตัวยงที่หลีกหนีมลพิษทางเสียงและความวุ่นวายของผู้คนในเมือง เลือกมานั่งพักผ่อนกันเป็นประจำ บรรยากาศโดยรอบในสวนสาธารณะจึงเงียบสงบไร้เสียงพูดคุยกันราวกับเป็นห้องสมุดแบบเปิดโล่งไม่มีผิด
แต่สำหรับกู้ลี่ถิงเธอไม่ได้เป็นคนช่างอ่านขนาดนั้น บุตรสาวเพียงคนเดียวที่บิดามารดาเสียชีวิตไปหมดแล้วเหงาเหลือเกินหากต้องอุดอู้อยู่ในห้องพักเพียงลำพังในวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอคว้าเอานิยายเก่าๆ ของแม่ที่มีอยู่มากมายบนชั้นหนังสือมานั่งอ่านเล่นฆ่าเวลาที่สวนสาธารณะ อย่างน้อยเมื่อพักสายตาขึ้นมาจากหนังสือเธอก็ยังได้เห็นว่ามีผู้คนอยู่รอบกายบ้าง ไม่คิดว่าเธอจะเพลิดเพลินกับการอ่านจนไม่รู้สึกตัวว่ามีคนมานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเก้าอี้ที่ตนนั่งอยู่ด้วยซ้ำ
ชายชราโบกมือเบาๆ ทำท่าว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ว่าอย่างไรเล่า สรุปแล้วนิยายจบดีหรือไม่ดีกันแน่” ชายชรายิ้มถามคำถามเดิม
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าตัวเองควรไปโฟกัสตรงไหน ทุกเรื่องที่อ่านมาพระเอกนางเอกก็สมหวังกันดีหมดแหล่ะค่ะ แต่เผอิญว่าเรื่องที่หนูเพิ่งอ่านจบ ตัวร้ายมันมีจุดจบที่สมควรก็เลยรู้สึกดีหน่อย หากปล่อยให้ตัวร้ายลอยนวลไปเฉยๆ นี่มันเจ็บใจนะคะ”
ชายชรายกมือขึ้นขยับแว่น สายตามองไปที่หน้าปกหนังสือนิยายที่กู้ลี่ถิงย้ายเอามาวางไว้บนเก้าอี้ข้างตัว
“นิยายรักไม่ใช่หรือ? แต่หนูกลับไปโฟกัสเรื่องตัวร้าย ฮ่าๆๆ แปลกจริงๆ นั่นล่ะ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สี่ที่หนูอ่านวันนี้แล้วค่ะคุณตา สามเรื่องที่ผ่านมาเป็นนิยายรักดราม่า กว่าจะสมหวังกันได้ก็มีฉากเศร้าสลดจนหนูดิ่งไปเลย เรื่องสุดท้ายนี่ค่อยยังชั่วหน่อยตัวเอกเค้าช่วยกันประคับประคองกันบรรลุเป้าหมาย ตัวร้ายก็ได้ผลคืนสนองเป็นที่น่าพอใจ”
“อ้อ แปลว่าเป็นนักอ่านสายสุขนิยมสินะ”
“ก็ไม่เชิงค่ะ อันที่จริงหนูก็ไม่ใช่นักอ่านแล้วยังอ่านข้ามไปเยอะเลย มันเอียนมาจากสามเรื่องแรกน่ะค่ะ คู่รักราบรื่นมากก็น่าเบื่อไปอีก"
กู้ลี่ถิงพูดมาถึงตรงนี้เธอก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะ คุณตาท่าทางใจดีตรงหน้าพูดอะไรต่อไปอยู่อีกหลายคำเธอก็ไม่ได้ยินเพราะหูอี้อตาลาย ลมหายใจเริ่มขาดหายติดขัดเป็นช่วงๆ
“ยัยหนู เป็นอะไรไป!” ชายชรารับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขารีบขยับร่างกายอย่างยากเย็นส่งเสียงร้องให้คนช่วย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่พูดเป็นต่อยหอยอยู่เมื่อครู่ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาบนใบหน้าเล็กในระยะเวลาอันรวดเร็ว
กู้ลี่ถิงหอบหายใจถี่กระชั้น เอื้อมมือไปควานหาขวดยาเล็กๆ มาไว้ในมือ
“ฟืด!! ฟืด!!”
หญิงสาวตาเหลือกค้างหัวใจไหววูบจนแทบเสียสติ เธอหยิบขวดยาพ่นสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มาผิดขวด!! ขวดนี้เป็นยาที่หมดไปแล้วแต่เธอลืมวางมันทิ้งไว้ใกล้มือ แล้วหยิบมันใส่กระเป๋ามาอย่างไม่ระวัง
เธอรีบเขย่าขวดยาและพ่นมันเข้าปากซ้ำอีกครั้ง หวังว่าจะมีตัวยาหลงเหลือสักหยด พอให้เธอได้หายใจสะดวกขึ้นอีกนิด
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลให้ที ผู้หญิงคนนี้เป็นภูมิแพ้ ยาเธอหมด!”
กู้ลี่ถิงได้ยินเสียงของคุณตาใจดีตะโกนขอความช่วยเหลือดังลั่น ในมือของเขาก็มีโทรศัพท์แต่ดูเหมือนสถานการณ์ของเธอจะทำให้ชายชราตกใจจนค้นหาเบอร์โทรศัพท์ไม่ถูก
สายตาของหญิงสาวมองไปรอบๆ ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ยาขวดเล็กในมือหลุดร่วงลงกับพื้นหญ้าในสวนสาธารณะ ด้านข้างเธอเห็นคนกลุ่มหนึ่งยกโทรศัพท์มาแนบกับใบหู กำลังวิ่งตรงมาที่เธอกับชายชรา
เธอกลับไปเอายาขวดใหม่ที่บ้านไม่ทันแน่ ทางเดียวคือต้องภาวนาให้รถพยาบาลมาช่วยเธอให้เร็วที่สุด หรือหากวาสนายังดี ขอให้มีสักคนในสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นโรคเดียวกับเธอ
ลมหายใจของหญิงสาวเริ่มติดขัด ลำคอตีบตันจนต้องอ้าปากพะงาบไขว่คว้าหาอากาศเข้าปอดอย่างยากลำบาก มือที่สั่นเทาจนแทบควบคุมไม่ได้พยายามเปิดหน้าหนังสือนิยายออกมาอีกครั้ง ทางเดียวที่เธอจะลดความตื่นกลัวได้ในขณะนี้มีเพียงการพุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มากที่สุดเพื่อรอคอยรถพยาบาลอย่างมีสติที่สุด
ตัวหนังสือบนกระดาษสีขาวแกมเหลืองดูโย้ไปเย้มาจนอ่านไม่ได้สักตัวอักษร หญิงสาวร่างกระตุกเกร็งซ้ำไปซ้ำมา รอบกายมีเสียงเอะอะโวยวาย ความช่วยเหลืออย่างไม่รู้ประสีประสาจากคนรอบข้างวนเวียนอยู่รอบตัวเธอ พยายามยื้อยุดชีวิตเธอเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเช่นไรกู้ลี่ถิงไม่อาจล่วงรู้ เปลือกตาคู่งามค่อยๆ ปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วงนานกว่าเดิมไปทุกที
……….
จวนเสนาบดีกู้ เมืองหลวงแคว้นต้าเหว่ย
“ตำราเล่มนี้มาอยู่ในมือคุณหนูได้อย่างไรกันนะแปลกจริง!”
“อาจเป็นแม่สื่อส่งให้คุณหนูอ่านเล่นตอนที่อยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวกระมัง เจ้าเบามือหน่อยปล่อยให้คุณหนูนอนต่ออีกสักพักเถิด คนจากวังหลวงยังมาไม่ถึงมิใช่หรือ?”
กู้ลี่ถิงได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างหู ใจความเรื่องที่ทั้งคู่พูดอยู่เธอไม่เข้าใจเท่าใดนัก แต่แรงดึงสิ่งของบางอย่างจากมือของเธอทำให้หญิงสาวตื่นขึ้นมา นิ้วมือเรียวงามขยับช้าๆ มาจับสิ่งของในมือเอาไว้มั่น
สัมผัสจากฝ่ามือรับรู้ได้ว่าสิ่งของที่มีคนพยายามดึงออกจากมือของเธอเมื่อครู่นั้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง
เปลือกตาหนักอึ้งจนลืมแทบไม่ขึ้น ความรู้สึกง่วงงุ่นแปลกประหลาดทำให้กู้ลี่ถิงยิ่งต้องพยายามเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมาโดยเร็ว
ความคิดของหญิงสาวเรียบเรียงความทรงจำสุดท้ายขึ้นมาได้ ตอนที่เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย เธอกอดหนังสือนิยายประโลมโลกของแม่เอาไว้แน่นอย่างหาที่พึ่ง การที่เธอยังมีความรู้สึกยังได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน นั่นแปลว่าเธอยังไม่ตาย!!
สาวใช้คนเดิมขมวดคิ้วมุ่น นางเห็นกับตาว่าตอนที่คุณชายเย่แบกร่างหมดสติของคุณหนูขึ้นหลังออกจากเกี้ยวเจ้าสาว สองมือของคุณหนูห้อยทิ้งลงมาข้างลำตัวปราศจากสิ่งของใดๆ
จนกระทั่งทหารจากวังหลวงมาถึงจวนสกุลเย่และสั่งยุติงานมงคลไปแล้ว คุณชายเย่ที่เพิ่งแบกคุณหนูไปได้ไม่ไกลก็พานางกลับมาส่งไว้ในเกี้ยวดังเดิม ตอนไหนกันที่ตำราเล่มนี้มาอยู่ในมือคุณหนูของนาง?
“ขอ..ขอน้ำหน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวฝืนลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้า แม้จะรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวดูแปลกตาไม่เหมือนกับโรงพยาบาล แต่นางไม่มีเวลาสนใจ ลำคอที่แห้งผากราวกับมีฝุ่นดินแห้งกรังอยู่ในยามนี้เรียกร้องให้นางต้องร้องขอน้ำดื่มมาดับกระหาย
ที่มือไม่มีสายน้ำเกลือ เช่นนี้เองนางถึงยังรู้สึกอ่อนแรงมึนงงไปหมด นางคงจะถูกช่วยเหลือจากคนในสวนสาธารณะและย้ายมาอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่ไม่ใช่โรงพยาบาลเป็นแน่ หญิงสาวคิดในใจ
“คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวเอาน้ำมาให้ ค่อยๆ ลุกขึ้นนะเจ้าคะ”
สาวใช้ที่อยู่ใกล้กู้ลี่ถิงรีบพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่ง ส่วนสาวใช้อีกคนก็รีบไปรินน้ำชามายื่นส่งให้หญิงสาว
กู้ลี่ถิงรับน้ำมาดื่มทั้งที่ตายังลืมไม่สนิทดี กลิ่นหอมและรสชาติละเมียดละไมของใบชาชั้นดีผ่านลำคอของนางไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า รสขมฝาดเฝื่อนในลำคอเริ่มเจือจางแต่สติของหญิงสาวก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์
“ม่านอวี้ เราช่วยกันเปลี่ยนอาภรณ์ให้คุณหนูเสียก่อนจะดีกว่า" ม่านลู่สาวใช้กล่าวกับสหายของนาง
ชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงามถูกปลดเปลื้องออกจากร่างของกู้ลี่ถิงทีละชิ้น และเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าแบบโบราณสีเขียวอ่อนเนื้อดีอย่างรวดเร็ว
การกระทำของสตรีทั้งสองคนคล่องแคล่วแต่ทว่านุ่มนวล ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้เรี่ยวแรงรู้สึกเจ็บแม้แต่นิด มีเพียงความอับอายที่ต้องให้ผู้อื่นมองเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตนเท่านั้น
เรือนนี้ผีไม่หลอก : นามปากกา บ.บี อู่หลิงเยว่หญิงสาววัย 17 ปี ตายเพราะแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 21 แต่ยังไม่ทันได้ผุดได้เกิด กลับตื่นขึ้นในร่างหญิงโบราณที่ชื่อแซ่เดียวกันท่ามกลางภาวะสงคราม โลกใหม่ที่นางมาเยือนคือแคว้นเหยียน ดินแดนที่เพิ่งถูกตีแตกและกำลังจะล่มสลาย นางไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน ไม่มีครอบครัวหลงเหลือ มีเพียง “ห้างสรรพสินค้าส่วนตัว” พร้อมระบบแลกแต้มที่ยังไม่เสถียร และกฎเหล็กข้อเดียว: จะใช้ของในห้างสรรพสินค้าได้ ต้องทำความดีเพื่อสะสมแต้ม! แต่ในยุคที่ผู้คนกำลังอดอยากและถูกไล่ล่าจากศัตรู หากนางเผลอหยิบเอาอาหารออกมาจากอากาศแล้วมีคนพบเห็นเข้า นางคงถูกตีตราว่าเป็นแม่มดนอกรีตเป็นแน่ เพื่อเอาตัวรอด อู่หลิงเยว่หนีเข้าเรือนร้างเก่าแก่ของตระกูลเกา เรือนที่คนทั้งหมู่บ้านร่ำลือว่ามีผีเฮี้ยน เพราะเจ้าของเรือนกับบ่าวไพร่สิบสองชีวิต เคยถูกฆ่าตายยกหลังในคืนเดียว นางจึง "แกล้งเป็นผี" แจกจ่ายข้าวของกลับไปเป็นข้าว ยา และของใช้ ชาวบ้านได้ของกินนางได้แต้ม ระบบได้ทำงาน วิน วิน!!! แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด... แม่ทัพเซี่ยโม่เหวิน นำทหารสามร้อยนายเข้ามาตั้งค่ายในหมู่บ้านหานเฉิง เพื่อดูแลชาวบ้านและทหารหนีตายจากทั่วสารทิศ เมื่อเขาค้นพบว่าองค์ชายแห่งแคว้นยังมีชีวิตอยู่พร้อมกองกำลังขนาดใหญ่ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการกอบกู้บ้านเมือง เขาจึงวางแผนพาชาวบ้านและทหารที่เหลือทั้งหมดไปรวมกำลังกับองค์ชาย ทว่า..ชาวบ้านกลับปฏิเสธ พวกเขาไม่เชื่อในกองทัพ แต่กลับเชื่อมั่นใน "ผีเรือนร้าง" ผีที่ไม่เคยหลอกใคร แต่แจกข้าว แจกยา และความหวัง เมื่อทางเลือกหมดลง..เซี่ยโม่เหวินจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่มีแม่ทัพคนใดเคยคิดจะทำมาก่อน เขาจะไปเชิญ “ผี” ร่วมเดินทางไปด้วย และสิ่งที่เขาได้พบในเรือนร้าง จะเปลี่ยนทุกอย่างที่เขาเคยเชื่อไปตลอดกาล
แนะนำตัวละคร ฉู่หลิง : แวมไพร์สาวที่ย้อนมาในยุคโบราณแคว้นต้าหยวน แต่นางถูกยังยั้งพลังและความสามารถ ต้องกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเป็นเวลา 3 ปี เข้ามาอาศัยกับกลุ่มเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในหอนางโลมร้างหงไถ โจวเฉิง : ผู้นำหน่วยตรวจการพิเศษแห้งแคว้น ไร้ตำแหน่งที่ชัดเจนในแวดวงขุนนาง แต่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แคว้นต้าเหยียนในระดับสูงสุด สัญลักษณ์บนชุดขุนนางของเขาถึงกับเป็นกิเลนสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของแผ่นดิน บุคลิกน่าเกรงขามแต่กลับอ่อนน้อมถ่อมตน มู่เจียเหยียน : มือปราบหนุ่มขุนนางขั้น 6 ที่คอยช่วยเหลือฉู่หลิงอยู่ห่างๆ เรื่องย่อ ฉู่หลิงแวมไพร์สาวแห่งโลกอนาคตถูกจับกุมตัวได้โดยกลุ่มผู้พิทักษ์มนุษย์ในโลกยุคใหม่ และถูกฉีดสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกายเพื่อทดสอบยาในการทำให้แวมไพร์กลับมาเป็นมนุษย์ปกติ พวกเขาจัดการส่งเธอเข้าไปในนอนในโลงศพเหมือนกับแวมไพร์คนอื่นที่ถูกจับมาด้วยกันอีกหลายคน แต่อุบัติเหตุเล็กๆ ภายในโลงศพโบราณในสถาบันวิจัย เป็นต้นเหตุให้เธอถูกส่งตัวกลับมายังยุคโบราณ กลายเป็นแวมไพร์หนึ่งเดียวบนแผ่นดินต้าหยวน!! จากแวมไพร์ยุคอนาคตที่ขาดอาหารเพราะการโต้กลับของมนุษย์ นางก้าวออกจากโลงศพอีกครั้งในยุคโบราณก็ได้มาพบกับเด็กมนุษย์ฝูงใหญ่!! ก้อนเลือดสีแดงสดหลายก้อน วิ่งผ่านหน้าแวมไพร์สาวทุกวัน แต่ฉู่หลิงไม่อาจแตะต้อง!!! นั่นเป็นเพราะยาที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายได้ยับยั้งความกระหายเลือดและพลังทั้งหมดของนาง แวมไพร์สาวต้องอดทนรอเป็นเวลา 3 ปี ให้พลังและเขี้ยวของตนงอกกลับคืนมา ขณะเดียวกันก็เริ่มวางแผนการครอบครองโลกโบราณในฐานะแวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียว โดยจะใช้เด็กๆ ที่นางพบเจอมาเป็นลูกสมุนอันดับต้นๆ ไม่ต้องห่วงเด็กๆ ของเราเลยจ้าาา เป็นห่วงแวมไพร์สาวผู้ไร้พลังของเรากันก่อนเถอะ!! การเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และนางยังต้องเลี้ยงดูเด็กๆ ให้เติบโตจนกว่าพลังจะกลับคืนมา การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ยังมีอุปสรรคภายนอกเข้ามาขัดขวางไม่หยุดหย่อน ให้ตายเถอะแวมไพร์อย่างฉู่หลิงต้องมาขายซาลาเปา!! เมื่อเด็กในหอหงไถที่นางเลี้ยงดูอยู่ถูกคุกคาม และนางจำเป็นต้องปกป้องแหล่งอาหารกลุ่มแรกที่เตรีียมไว้ฟื้นฟูร่างกายเมื่อครบกำหนด 3 ปี เหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้ โจวเฉิงกลายมาเป็นผู้ปกครองหอหงไถ และรับเอาคนในหอหงไถทั้งหมดมาอยู่ในความดูแลของเขา แต่ตัวตนที่พิเศษและน่าสงสัยของโจวเฉิงก็ยังสร้างปัญหาค้างคาใจให้กับฉู่หลิงเป็นอย่างมาก สุดท้ายแล้ว เด็กๆ จะถูกแวมไพร์จับดูดเลือดหรือไม่? นางจะได้รับพลังอำนาจกลับคืนมาแล้วสร้างอาณาจักรแวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่บนแผ่นดินต้าหยวนสำเร็จหรือเปล่า มาร่วมลุ้นกันค่ะ
สวนท้อสวรรค์ของเหยาจี เขียน บ.บี ภาพปก AhriMu ผลท้อสวรรค์สูญหาย นางเซียนน้อยจึงถูกลงโทษให้ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ แต่นางดันพกเมล็ดพันธ์ผลท้อติดมือมาด้วยนี่สิ!! เหล่าเซียนว่างงานที่หมายปองผลท้อรีบขันอาสาลงมาแดนมนุษย์เพื่อตามหาผลท้อที่ตนต้องการอีกเป็นขโยง และหนึ่งในนั้นก็มีเซียนหนุ่มผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาสายเทพมังกรซึ่งควรเป็นผู้ครอบครองผลท้อสวรรค์ตั้งแต่เริ่มรวมอยู่ด้วย แต่เป้าหมายหลักของเขากลับเป็นความท้าทายในการมีชีวิตในฐานะมนุษย์มากกว่าและยังตั้งใจจะยับยั้งการปลูกท้อสวรรค์ในแดนมนุษย์อีกด้วย สุดท้ายแล้วเซียนน้อยของเราจะปลูกท้อสวรรค์ในแดนมนุษย์สำเร็จหรือไม่? เจ้าของผลท้อที่แท้จริงจะยับยั้งนางไว้ทันเวลาหรือไม่? เหล่าเซียนผู้แอบแฝงจะยึดครองอำนาจในแดนมนุษย์สำเร็จหรือไม่? ร่วมลุ้นและเอาใจช่วยสาวน้อยผู้มีดีในการปลูกต้นท้อเพียงอย่างเดียวของเราไปด้วยกันนะคะ แนะนำตัวละคร มู่เหยาจี เซียนน้อยเหยาจีผู้มีพลังวิญญาณแห่งเทพพฤกษา นางมีความสามารถในการเพาะปลูกและได้เป็นผู้ดูแลสวนท้อสวรรค์เพียงหนึ่งเดียว มู่สี่เสิน ผีเสื้อเกล็ดแก้วหนุ่มน้อยทูตสวรรค์ผู้ซื่อสัตย์ เขายอมรับโทษพร้อมกับเหยาจี ติดตามเหยาจีลงมาแดนมนุษย์ในฐานะพี่ชายแท้ๆ หลวนหลง เซียนหนุ่มผู้บ่มเพาะพลังเทพมังกร ผู้โชคดีที่จะได้รับผลท้อสวรรค์คนสุดท้ายในรอบ 3,000 ปี แต่เขาต้องพลาดโอกาสงาม เพราะท้อสวรรค์ของเขาถูกช่วงชิงไปโดยเซียนน้อยเหยาจี มหาเทพฮ่าวเทียน หนึ่งในสามมหาเทพผู้ปกครองสูงสุดบนแดนสวรรค์ ดูแลสรรพสิ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ สุริยัน จันทรา มหาเทพมู่ซี หนึ่งในสามมหาเทพผู้ปกครอง ดูแลเหล่ามวลพฤกษานานาพรรณ มหาเทพสิงเทียน หนึ่งในสามมหาเทพผู้ปกครอง ดูแลสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
หลังจากที่แฟนหนุ่มประสบอุบัติเหตุรถชนและหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจำได้ว่ามีคนที่เขารักมายาวนาน ดังนั้น สิ่งแรกที่เซิ่งหลินชวนทำเมื่อฟื้นจากอาการโคม่า คือการขอเลิกกับฉินเวย “เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฉันความจำเสื่อม ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจทำจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราตัดขาดความสัมพันธ์ ความรักของเราก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย ” ฉินเวยไม่ได้ว่าอะไร บัญเอิญว่าการวิจัยยาใหม่ในห้องทดลองสำเร็จ ฉินเวยจึงขอเข้าร่วมการทดลองยา “เมื่อคุณรับประทานยาเม็ดนี้ ความทรงจำส่วนนี้จะถูกลบไปอย่างถาวร คุณฉินเวย คุณตัดสินใจดีแล้วหรือ?”
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
กลางวันอ่อนหวาน กลางคืนร้อนแรง นี่คือคำที่ลู่เยียนจือใช้เพื่อบรรยายถึงเธอ แต่หานเวยบอกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งปี ลู่เยียนจือกลับไม่ลังเลที่จะขอหย่ากับสือเนี่ยน “แค่ปลอบใจเธอไปก่อน ครึ่งปีข้างหน้าเราค่อยแต่งงานใหม่” เขาคิดว่าสือเนี่ยนจะรออยู่ที่เดิมตลอด แต่เธอได้ตาสว่างแล้ว น้ำตาแห้งสนิท หัวใจสือเนี่ยนก็แตกสลายไปแล้วด้วย การหย่าปลอมๆ สุดท้ายกลายเป็นจริง ทำแท้งลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่ สือเนี่ยนจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก แต่ลู่เยียนจือกลับเสียสติ ต่อมา ได้ยินว่าคุณชายลู่ผู้มีอิทธิพลนั้นก็อยู่นิ่งๆ ต่อไปไม่ได้ ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อขอให้เธอเหลือบมองเขาอีกครั้ง...
เพราะเพื่อน..เธอจึงต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เป็นเหตุให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอแอบชอบ ในขณะเดียวกัน เธอเองก็คิดว่าเขาเป็นเกย์ เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่นกัน แล้วความวุ่นวายก็บังเกิด เมื่อเธอดัน…หลงรักเกย์ ‘ฮื่อ! เป็นเกย์นะเว้ยไม่ได้เป็นหวัด รักษาวันเดียวจะหายได้ไง สู้ต่อไปศิศิรา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังไม่มีผัวเป็นตัวเป็นตน เพราะงั้นฉันก็ยังมีหวัง เฮ้อ! อย่างมากก็แค่ผิดหวังล่ะน่า’ ***“สาบานได้ว่าครั้งนี้ผมจะไม่หยุด จนกว่าเรา…จะเป็นของกันและกัน” เขาบอกก่อนจะผละลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขณะที่สองมือค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ สองตาก็ยังไม่ยอมเลื่อนไปจากเรือนร่างขาวโพลนตรงหน้า และไอ้สายตาคมกล้าประหนึ่งเสือรอตะครุบเหยื่อของเขาก็ทำให้เธอหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก “ไม่! เราพวกเดียวกัน เรากินกันไม่ได้” เธอพยายามเตือนสติ เพราะคิดว่าเขาอาจจะกำลังขาดสติ “แต่ผมเคยกินคุณแล้ว แล้วผมก็ชอบกินคุณ” เขาพูดพลางหลุบตามองไปที่แพนตี้ของเธอ ทำเอาเจ้าของแพนตี้ทำตาโต ไม่แน่ใจในคำว่ากินของเขา ที่สำคัญ…กะๆ กินอะไร “มะหมายความว่าไง”
ลูกสาวเพื่อนพ่อตามจีบเขาตั้งแต่เด็กยันโต เล็กๆ ก็ดูน่ารักดี แต่ทำไมยิ่งโตยิ่งน่ารำคาญ พฤติกรรมก้าวร้าวขนาดนี้ใครได้เป็นเมียมีแต่ซวย กับซวย!
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY