เงามืดของต้นไม้สูงใหญ่ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงทึบเหนือศีรษะ ลำแสงจาง ๆ ส่องลอดกิ่งใบลงมากระทบใบหน้า ราวกับฝันร้ายที่ยังไม่ยอมจบสิ้น
"แผ่นดินไหว..ห้างถล่ม..ใช่ไหม?" เสียงของนางแหบพร่า ริมฝีปากและลำคอแห้งผาก
ทันใดนั้น เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"พวกมันมาแล้ว! วิ่ง! วิ่งเร็ว!"
หัวใจของอู่หลิงเยว่กระตุกวาบ แม้ว่าภาพต้นไม้และป่าทึบจะขัดกับความทรงจำว่านางกำลังหนีตายอยู่ในอาคารสูงที่กำลังถล่มลงมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่สมองส่วนลึกบอกให้นางลุกขึ้นแล้วออกแรงวิ่ง วิ่งหนีสุดชีวิต!!
ยามนี้หัวใจของนางเต้นแรงรัวเหมือนกลองศึก มือเย็นเฉียบราวกับเลือดไหลย้อนกลับ เสียงหอบหายใจของตัวเองดังอยู่ข้างหู ขณะที่ฝ่าเท้ากระแทกพื้นจนรู้สึกแสบแปลบ บริเวณสะโพกก็ปวดตุบ ๆ เหมือนเพิ่งกระแทกอะไรบางอย่างมา
“เร็วเข้า! เร่งอีก!” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังไล่หลังนางมาอีกครั้ง รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งสวนกันไปมา บางคนกรีดร้อง บางคนร้องไห้ บ้างก็อุ้มเด็ก บ้างลากผู้เฒ่า ทุกคนดูสับสนปนตื่นกลัว เสียงฝีเท้าวิ่งอึกทึกไปหมด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!!”
นางหันมองซ้ายทีขวาที แต่ไม่มีใครมองกลับมาสักคน คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าแปลกตา เก่า ยับ และเปื้อนดิน เหมือนหลุดมาจากหนังจีนย้อนยุค!!
“ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่…” นางตะโกนออกมาด้วยความสับสน
ฟิ้ววว! เสียงธนูแหวกอากาศพุ่งผ่านหูอู่หลิงเยว่ไปอย่างฉิวเฉียดจนร่างเล็กชะงักกึก
ฉึก!
ลูกธนูเมื่อครู่แทงทะลุเนื้อคนข้างหน้า ตามด้วยเสียงกรีดร้องสั้น ๆ ร่างหนึ่งล้มลงห่างจากนางเพียงไม่กี่ก้าว เลือดเปรอะพื้นดินแดงฉาน แต่ผู้คนยังคงวิ่งต่อไป ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครแม้แต่จะเหลียวมอง
เกิดอะไรขึ้น!! นางยืนแข็งค้างนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ
มีคนตายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่มีใครหยุดวิ่งเลยสักคน!!
อู่หลิงเยว่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แม้ว่าภาพคนตายตรงหน้าเมื่อครู่จะทำให้นางขาสั่นจนแทบก้าวต่อไปไม่ออก แต่ถ้าคนที่โชคร้ายเมื่อครู่เป็นตัวนางเองเล่า?
หญิงสาวจำเป็นต้องวิ่งต่อไปทั้งๆ ที่สมองเต็มไปด้วยคำถาม
ฉันยังไม่ตายใช่ไหม?
แล้วฉันออกมาจากซากตึกถล่มใต้ห้างได้อย่างไร?
ความทรงจำสุดท้ายที่นางจำได้คือ ภาพเพดานห้างที่ถล่มลงมา ฝุ่นควัน เศษเหล็ก เสียงกรีดร้อง และกลิ่นเลือด นางจำได้แม่นว่ามีแผ่นดินไหว นางติดอยู่ใต้อาคารห้างสรรพสินค้าที่นางมาฝึกงานอยู่ และกำลังจะหมดลมหายใจในไม่ช้า
แล้วตอนนี้ ทำไมนางยังหายใจอยู่? นางเหนื่อย นางไม่ได้ฝัน!
แผ่นดินไหวซ้ำอีกครั้งแล้วตัวนางหลุดออกมาจากกองปูนที่ทับร่างเอาไว้เช่นนั้นหรือ?
ลมหายใจของหญิงสาวเริ่มขาดช่วงจากการวิ่งที่ยาวนานโดยไม่มีการหยุดพัก เสียงฝีเท้าดังกลบหูจนเหมือนโลกทั้งใบกำลังไล่ล่าตัวนาง รอบด้านเป็นต้นไม้ใหญ่ ลมเย็นพัดปะทะหน้า ใบไม้ปลิวว่อน
“ไปต่อเร็วเข้า! อย่าหยุดกลางทาง!” เสียงตะโกนดังมาจากทิศทางด้านหน้า
อู่หลิงเยว่หันกลับไปมองด้านหลังก็เห็นเปลวไฟลุกไหม้อยู่ไกล ๆ มีควันดำลอยคลุ้งไปทั่วปลายฟ้า ในหมู่ควันนั้น... เหมือนมีเงาคนจำนวนมากไล่ตามหลังมา
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเริ่มดังขึ้น บางคนล้ม บางคนถูกเหยียบย่ำ แต่ยังไม่มีใครหยุดแม้กระทั่งตัวนางเอง!
อู่หลิงเยว่พยายามหายใจลึก แต่มันกลับเหมือนกลืนเอาทรายเข้าไปในหลอดลม นางเหนื่อยจนลมหายใจติดขัด ในหูอื้อไปหมด
“ฉันอยู่ที่ไหนกันแน่!!” หญิงสาวเริ่มเสียสติ นางไม่ได้กำลังวิ่งหนีจากเหตุการณ์ตึกถล่ม และไม่ได้วิ่งออกมาที่สวนสาธารณะนอกอาคารแต่อย่างใด
ด้านหลังมีเพียงเสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ คล้ายกับฉากหนังต่อสู้ในละครจีนไม่มีผิด
“นี่มันป่าชัดๆ!!” นางเห็นใบไม้หนาทึบ เห็นเห็ดป่า เถาวัลย์...เมื่อมองไปยังแขนของตนเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ที่เคยใส่ได้หายไป เหลือเพียงเสื้อผ้าสีหม่นสกปรกคล้ายชุดชาวบ้านจีนโบราณอยู่บนร่าง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม?
ขาของนางเริ่มอ่อนแรง หัวใจเต้นกระหน่ำเหมือนกำลังจะระเบิด
"อ๊ะ!!"
หญิงสาวสะดุดรากไม้แล้วล้มลงกับพื้นอย่างจัง ร่างไถลไปบนทางลาดชันที่เต็มไปด้วยหินแหลม นางร้องออกมาเบา ๆ ขณะที่ฝ่ามือถลอกเลือดซิบ ไม่มีใครหยุดช่วย ไม่มีแม้แต่สายตาเห็นใจ
หญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านร่างนางไปพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขน มีเพียงชายชราคนหนึ่งที่ร้องเตือนว่า “ลุกขึ้นเร็วเข้า! ข้างหลังพวกมันมาแล้ว!”
พวกมัน?
อู่หลิงเยว่หันกลับไปตามสัญชาตญาณ ทว่านางก็ไม่ทันได้เห็นว่าพวกมันคือใคร แต่มันต้องเป็นคนที่ส่งธนูดอกนั้นมาสังหารผู้คนเป็นแน่!
นางกัดฟันแน่น กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืนแล้วออกแรงวิ่งอีกครั้งแม้ขาจะยังเจ็บ น้ำหนักตัวที่โถมไปข้างหน้าเหมือนจะไม่ใช่การวิ่งด้วยสองขา แต่เป็นการพุ่งไปด้วยแรงเฮือกสุดท้าย
แครก! เสียงใต้ฝ่าเท้าทำให้ร่างเล็กชะงักงัน มันไม่ใช่เสียงกิ่งไม้ แต่มันคือเสียงของพื้นดินที่ทรุดตัวลง
"อ๊ะ!"
ทันใดนั้น พื้นดินเบื้องล่างก็ยุบตัวลง ร่างทั้งร่างร่วงตกลงไปในหลุมลึกซึ่งถูกปกคลุมด้วยใบไม้แห้งอย่างแนบเนียน เสียงของโลกเบื้องบนเงียบลงทันที เหลือเพียงเสียงหายใจของตนเองและความมืดที่โอบล้อมอยู่ทุกทิศ
อู่หลิงเยว่พยายามจะลืมตาอีกครั้ง แต่ความเหนื่อยล้า ความตกใจ และความกลัวกลับพานางดิ่งเข้าสู่ห้วงความมืดอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบงัน
……….
กลิ่นดินชื้นกับไอเย็นเฉียบแทรกเข้ามาในจมูกทันทีที่อู่หลิงเยว่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งภายใต้หลุมดินลึกท่วมหัว
ร่างกายของนางเจ็บปวดจนขยับแทบไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ดีใจที่ตนเองยังมีความรู้สึก นั่นหมายความว่านางยังมีชีวิตอยู่!
‘ฉันยังไม่ตาย?’
อู่หลิงเยว่ขยับนิ้วมือทีละข้างอย่างระมัดระวัง ราวกับต้องการยืนยันกับตัวเองว่าไม่ใช่แค่จิตวิญญาณที่ล่องลอย เมื่อแน่ใจว่าอวัยวะยังตอบสนองดีอยู่นางจึงค่อย ๆ ลืมตาสำรวจรอบกาย
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แต่แสงจันทร์ยามค่ำคืนก็ส่องสว่างเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพของหลุมดินที่นางตกลงมา
ผนังรอบตัวของนางเป็นดินแข็งที่ถูกขุดขึ้นโดยฝีมือคน พื้นที่ในหลุมก็ไม่ได้กว้างนัก ลักษณะคดเคี้ยวของโพรงนี้ทำให้คิดถึงอุโมงค์ในหนังสงคราม หรือที่หลบภัยชั่วคราวในสนามรบ
“คราวแรกร่างก็ติดอยู่ใต้คานปูนในตึก อีกเดี๋ยวก็ไปวิ่งอยู่ในป่า แล้วตอนนี้ก็มาติดอยู่ใต้ดิน? ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันกันแน่!!!”
นางรำพันพลางค่อย ๆ ยันตัวขึ้นไปพิงผนังดิน ความเจ็บระบมแล่นพล่านจนต้องกัดฟันเงียบ ๆ หัวเข่าซ้ายเจ็บจี๊ดทุกครั้งที่ขยับ ข้อมือขวาเต็มไปด้วยรอยถลอกจนเป็นแผลเปิด แต่ดูแล้วไม่น่าใช่กระดูกหัก
นางใช้สองมือลูบตัวเองอย่างเบา ๆ ตรวจหาบาดแผลที่มองไม่เห็น อกยังขยับขึ้นลงตามแรงหายใจ หัวใจยังเต้น ไม่เร็วเกิน ไม่ช้าเกิน และไม่ใช่ฝัน
‘โพรงดิน..หรือว่าจะเป็นทางหนีไฟเก่าแก่ใต้ตึก?’
หญิงสาวกวาดตามองแนวอุโมงค์ที่ทอดยาวออกไป มันทั้งแคบ ทั้งลึก และทั้งมืดมองแทบไม่เห็นปลายทาง มีเพียงรอยเลื่อนบนพื้นเป็นแนวยาวคล้ายทางที่เคยมีคนคืบคลานผ่าน
"นี่มัน...เหมือนสนามเพลาะในสงครามเลย..." อู่หลิงเยว่พึมพำ ขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้