มีผัวเหมือนมีมาร
ปัง!! ปัง!! ปัง!!
“ระวัง!!”
“พาคุณหนูหนีไป!!”
บอดี้การ์ดตัวใหญ่วิ่งด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ขายาวจะทำได้แล้วคว้าตัวผู้หญิงตัวเล็กแค่หน้าอกอุ้มวิ่งหนีออกไปทันที เสียงปืนดังไล่หลังตามมาติดๆจนกระทั่งมาถึงรถที่จอดรออยู่แล้ว เพียงไม่กี่นาทีรถคันหรูขับออกไปด้วยความเร็วมากและรถอีกคันตามมาติดๆอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน รถทั้งสองคันเหมือนกำลังขับแข่งกันบนท้องถนนแต่ความจริงไม่ใช่เลย นี่คือการตามล่าเพื่อเอาชีวิตผู้หญิงในรถที่เป็นลูกสาวคนเดียวของมาเฟียหน้าใหม่
ครั้งนี้ให้เจ็บตัวไม่ได้หรอก
เขามาดูแลเธอเองไม่ว่าใครก็ห้ามฆ่า
“เอาปืนมา!”
“อย่าครับคุณหนู”
“ฉันยิงแม่นน่า!”
“รถกันกระสุนทั้งคันแล้วคุณหนูจะเปิดหน้าต่างรับกระสุนทำไม!?”
“นี่กล้าขึ้นเสียงใส่ฉันเหรอไอ้บ้า!!”
“ขึ้นคร่อมยังทำมาแล้วนับประสาอะไรกับขึ้นเสียง!?”
“กรี๊ด!! ไอ้บ้า!!”
“โอ๊ย!! หุบปากได้แล้ว เสียงแหลมๆมันทำให้เสียสมาธิ!!”
“ฉันเป็นเจ้านายนะ!!”
“แต่พี่เป็นผัว!!”
“ไอ้ผัวเฮงซวย!!”
ด้านนอกรถมีคนหาทางจะยิงเข้ามาให้ได้ ส่วนด้านในก็เหมือนว่ามีสงครามขนาดย่อมเช่นกัน รถคันหรูที่มีรอยโดนยิงแทบทั้งคันขับด้วยความเร็วสูงหาทางสลัดรถที่ตามติดเหมือนเจ้ากรรมนายเวรให้หลุดพ้นไป ผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมงที่ถูกไล่ล่าในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาได้อย่างสะบักสะบอมมากพอสมควร
เอี๊ยด!!
“จอดทำไม!?”
“แล้วจะอยู่ให้มันตามทันรึไง!?”
“พูดดีๆไม่เป็นรึไงห่ะ ความจริงเอาปืนมาให้ฉันยิงมันก็จบแล้ว”
“อวดเก่งจริงๆ ทีตอนพี่วิ่งไปอุ้มทำไมไม่ยิงล่ะ มาปากเก่งทำไมตอนนี้!?”
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ ตอนนี้พี่เป็นแค่บอดี้การ์ดลืมตัวไปแล้วรึไง!?”
“ในรถคันนี้มีแค่เราสองคน ตอนนี้พี่เป็นผัวไม่ใช่ลูกน้องใครทั้งนั้น!”
“พวกนั้นเป็นใคร!?”
“ยังไม่รู้”
“ไม่ได้เรื่อง!”
“ว่าพี่แล้วตัวเองรู้เหรอ?”
“ก็…”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันนี่!”
“ฉันน่าจะอยู่ฆ่ามันให้ตายๆไปซะ!”
“มันจะฆ่าเธอก่อนดิ!”
“หุบปาก!!”
“ไปกันได้แล้ว ที่นี่เป็นเซฟเฮ้าส์แล้วอีกเดี๋ยวคนอื่นจะตามมา”
“เดินช้าๆไม่ได้รึไงเนี่ย ฉันเดินตามไม่ทันนะ!”
“ช่วยไม่ได้ก็เกิดมาขาสั้นเอง”
“ปากหมาที่สุด!!”
บลูมเดินถือปืนเข้าไปในบ้านที่มีรั่วล้อมสูงพร้อมกับกวาดสายตามองด้วยความระมัดระวังมากพอสมควร เขาเดินนำเธอขึ้นไปที่ห้องพักเพราะตอนนี้คุณหนูคนสวยมอมแมมเหมือนตัวอะไรสักอย่างไปคลุกฝุ่นมา ในระหว่างที่รอเธออาบน้ำก็กดโทรศัพท์อ่านข้อความที่ลูกน้องรายงานมา ทุกคนกำลังจะมาที่นี่แล้วประชุมกันอีกทีเพราะคืนนี้คุณหนูต้องออกงานในฐานะทายาทคนเดียวของนักธุรกิจนำเข้าอัญมณี เขาพึ่งมารับหน้าที่นี้วันแรกแทนทีมบอดี้การ์ดเก่าของเธอที่บาดเจ็บหนักจากการปะทะครั้งก่อนและตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่
เงยหน้ามาอีกทีเพราะได้กลิ่นหอม
ฟีนด์ใส่แค่ผ้าเช็ดตัวยืนเท้าเอวจ้องมองกันอยู่
หน้าที่หลักคือผัวในความลับ...มั้ง! หน้าที่รองคือบอดี้การ์ดประจำตัวแม่คุณทูนหัวที่กำลังเท้าเอวใส่แล้ววีนฉ่ำแบบไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย นู้นก็จะเอา นี่ก็จะเอา คิดบวกไม่เคยมีแต่พร้อมบวกไม่เคยขาด เดือดร้อนผัวก็วิ่งสี่คูณร้อยลากขึ้นรถตลอด
เด็กดื้อต้องโดนอะไรกูไม่รู้
แต่เท่าที่รู้คือต้องหาอะไรปิดปากเมียแล้ว!!
"โธ่เว้ย!! ออกไปแล้วไม่ต้องมาให้เห็นหน้า!"
"กล้าไล่ผัวเหรอ!?"
"แล้วคิดว่าฉันไล่หมารึไงเล่า ออกไป!!”
“ไม่ออก!”
“ฉันจะแต่งตัว”
“พี่เห็นมาทั้งตัวแล้วจะอายอะไรอีก!?”
“พี่บลูม!!”
“นั่งลงเดี๋ยวเช็ดผมให้”
ฟีนด์นั่งลงบนเตียงด้วยความไม่ชอบใจเท่าไรแต่ทางเลือกเธอมีน้อย พี่บลูมถูกส่งตัวมาเพื่อดูแลเธอชั่วคราวในช่วงที่บอดี้การ์ดส่วนตัวรักษาตัวให้ดีก่อนจะกลับมาทำหน้าที่เดิม มือใหญ่หยิบผ้ามาเช็ดผมที่เปียกให้ไม่แรงมากแต่ก็เล่นเอาหัวแทบโยกกันเลยทีเดียว จากนั้นมือหยาบที่เคยจับแต่อาวุธฆ่าคนก็หยิบไดร์เป่าผมมาทำต่อด้วยความไม่ถนัดสักเท่าไร แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายเถื่อนแบบนี้จะทำอะไรอ่อนโยนไม่เป็น
สิ่งที่เขาทำมันคือความใส่ใจ
แต่ว่าเธอทำเอาน่าจะดีกว่าหลายเท่า
“เสร็จแล้ว”
“ขอบใจ”
“พี่จะลงไปเช็ครอบๆบ้านก่อนนะ แล้วเดี๋ยวลูกน้องจะเอาชุดที่ใส่คืนนี้กับเครื่องสำอางมาให้ เราต้องไปให้ทันงานก่อนสองทุ่มไม่งั้นจะมีข่าวเสียหายเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน”
“รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำหรอก!”
“อ่อ! อย่าให้เห็นว่าสนใจใครล่ะ?”
“มีสิทธิ์อะไรมาหวง?”
“เอากันตอนนี้ยังได้นะฟีนด์!”
“ออกไปเลยไป๊ไอ้บ้ากาม!!”
บลูมเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับถือปืนเพื่อตรวจเช็คบ้านหลังนี้ให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาฆ่ายัยเด็กปากดีได้ หลังจากเดินสำรวจชั้นบนครบหมดทุกห้องแล้วก็เดินสำรวจชั้นล่างและตามด้วยสำรวจรอบบ้าน แววตาดุดันจ้องมองด้วยความระมัดระวัง สัญชาตญาณป้องกันตัวที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กทำงานอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ปาไปบ่ายโมงกว่าๆแล้ว
ทีมของพวกเขาไปรับเธอมาจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อจะพามาเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย ก่อนจะถูกดักโจมตีในตอนแวะกินอาหารเพราะคุณหนูหิว จากนั้นก็ปะทะกันลากยาวหลายชั่วโมง
เซฟเฮ้าส์หลังนี้ปลอดภัย
คืนนี้เราน่าจะมาค้างที่นี่แทนโรงแรม
เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านจากนั้นก็เปิดตู้ลับที่ใช้เก็บซ่อนอาวุธ คืนนี้ในตอนกลับพวกเราต้องถูกเล่นงานอย่างแน่นอนและไม่รู้ว่าจะจบลงตอนไหนด้วย เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับตำแหน่งประธานบริษัทของพ่อเธอที่พึ่งจะรับช่วงต่อมาได้ไม่นาน หลังจากนั้นมีการเปิดโปงเรื่องยักยอกทรัพย์ของหลายคนที่ถือหุ้นส่วนและทำงานอยู่ หลายคนหนีออกนอกประเทศทันและบางคนถูกสั่งเก็บทันที มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ติดคุก แต่นั่นมันไม่จบเพราะมีการล้างแค้นทันทีและต้องการทวงคืนทุกอย่างที่เสียไป
คุณหนูฟีนด์คือเป้าหมายในครั้งนี้
ฆ่าเพื่อล้างแค้น
“นี่ทำอะไรอะ?”
“ชักว่าว”
“อี๋! น่าเกลียดที่สุด”
“ก็เห็นอยู่ว่าเช็คปืนแล้วจะถามทำไม?”
“เผื่อมีอะไรให้ช่วยไง”
“ช่วยอย่าเป็นปัญหาก็พอ”
“ปากเหรอห่ะ! ฉันไม่แปลกใจเลยที่ใครๆก็เกลียดพี่”
“แล้วไง?”
ฟีนด์นั่งลงที่เก้าอี้แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูแก้เบื่อระหว่างรอคนอื่นมา คืนนี้เธอต้องไปออกงานกับพ่อเพราะจะมีการพูดคุยเรื่องงานกับเจ้าของเหมืองขนาดใหญ่ที่นั่งเครื่องบินข้ามประเทศมาถึงที่นี่
เธออายุยี่สิบสี่แล้วยังต้องเรียนรู้อีกเยอะกว่าจะเก่งมาก ไหนจะต้องเรียนศิลปะการต่อสู้ให้หนักขึ้นกว่าเดิมเพราะหนทางข้างหน้าไม่ใช่เรื่องงานเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว อาวุธก็ใช้เป็นแค่ปืนสั้นธรรมดาและยิงไม่แม่นเท่าไรนัก แต่เธอพยายามมากจริงๆเพื่อจะขึ้นเป็นที่หนึ่งและจะไม่ยอมให้ใครมาฆ่าตัดตอนง่ายๆด้วย
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
ซ่งหยุนหยุนแต่งงานไปแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบเลย ด้วยความโกรธหนัก เธอจึงมอบกายให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแทนในคืนการแต่งงานนั้น หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกชายคนนั้นจับตาเข้า...
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
ในคืนวันเกิดอายุยี่สิบสองปี ลี่เฉี่ยนโลว่ถูกแฟนหนุ่มวางยา และไปมีอะไรกันกับซือจิ้นเหิง ผู้ชายลึกลับคนหนึ่งตลอดทั้งคืน วันรุ่งขึ้นเธอพบว่าครอบครัวเธอถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เธอแต่งงานกับจิ้นเหิง ได้รับการคุ้มครองจากเขา และใช้เขาเพื่อแก้แค้น "ฉันเป็นภรรยาที่ถูกกฎหมายของเขา" แม้ว่าแม่สามีของเธอจะไม่ยอมรับ แม้ว่าแฟนสาวที่เป็นซุปเปอร์สตาร์ของเขาจะตามมาอยู่ด้วยกัน เธอก็ยังคงยืนยันอยู่อย่างนั้น เธอแท้งโดยบังเอิญ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าเธอไม่อยากมีลูกกับเขา และด้วยความเข้าใจผิดต่าง ๆ อีกหลายหย่าง เธอเลือกที่จะกระโดดลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตาย หลายปีต่อมา เมื่อเธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาถึงกับตกตะลึง ชายคนนี้ได้สิ่งที่ต้องการจากเธอแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงยังรังควานและทรมานเธอต่อไป
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง