เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
“หย่ากันเถอะ”
เจี่ยนเหยาเพิ่งกลับมาจากถ่ายละครเสร็จ สามีก็โยนข้อตกลงการหย่าร้างมาตรงหน้าของเธอ
เธอมองผู้ชายที่ดูสูงส่งทะนงตัวตรงหน้าคนนั้น
คิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันสามเดือน สิ่งแรกที่เขาพูดคือคำว่าหย่าร้าง
เมื่อเห็นเธอเงียบไม่พูดอะไร
ฟู่เซิ่งเหนียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจี่ยนเหยา อย่าบอกนะว่าคุณกลับใจแล้ว! สัญญาแต่งงานครบสองปีแล้ว คุณมากลับใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ!”
ใช่!
สัญญาแต่งงานสองปีของพวกเขามันถึงกำหนดแล้ว
เธอเองก็ควรลงมาจากตำแหน่งคุณนายฟู่ของเธอได้แล้ว
“ปีนี้เจี่ยนซืออายุยี่สิบปีแล้วสินะ ถึงอายุที่สามารถแต่งงานกันตามกฎหมายได้แล้ว พวกเราหย่าร้างกัน มันก็พอดีเลย” เธอแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
เจี่ยนซือเป็นน้องสาวต่างมารดาของเธอ แล้วก็เป็นคนที่อยู่ในใจของฟู่เซิ่งเหนียนเช่นกัน
สองปีก่อน เจี่ยนซือตรวจว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือด ผลการตรวจเลือดของเธอมันตรงกับเจี่ยนซือพอดี แถมยังไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน
ถึงแม้ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าที่ล้มป่วย เธอก็เลือกที่จะช่วยเหลืออย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายเป็นน้องสาวของเธอ
แต่ฟู่เซิ่งเหนียนไม่คิดแบบนั้น เขาตัดสินว่าเธอเลือดเย็นไร้ความรู้สึกไม่มีทางช่วยเหลือเจี่ยนซือแน่นอน
ดังนั้น เพื่อเจี่ยนซือเขาไม่ลังเลที่จะคุกเข่าอ้อนวอนเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอไม่เคยเห็นฟู่เซิ่งเหนียนถ่อมเนื้อถ่อมตัวขนาดนี้มาก่อน
เธอกับฟู่เซิ่งเหนียนถือว่าเป็นเพื่อสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เธอรักเขามาตั้งสิบปีเต็ม ๆ
เมื่อเห็นว่าเขาทำขนาดนี้เพื่อคนอื่น เธอก็ทั้งโกรธทั้งเกลียดและอิจฉาริษยาจนแทบจะบ้าเลย
จึงบีบบังคับให้ฟู่เซิ่งเหนียนแต่งงานกับเธอในตอนนั้นทันที
เพื่อที่จะช่วยเหลือเจี่ยนซือ ฟู่เซิ่งเหนียนสัญญาที่จะให้เวลากับเธอสองปี
ระยะเวลาสองปี เจี่ยนเหยาคิดอย่างใสซื่อว่ามันเพียงพอที่จะทำให้ฟู่เซิ่งเหนียนหลงรักเธอ
แต่สุดท้ายเธอก็พ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างยับเยิน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากที่ซีดขาวของเจี่ยนเหยาก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา
ดวงตาที่สวยดูดีของฟู่เซิ่งเหนียนหมดความอดทน ยื่นปากกาในมือออกไป พลางพูดขึ้นอย่างเฉยชา “เซ็นชื่อเถอะ”
เธอพยักหน้า รับปากกาที่เขายื่นมาให้ เปิดไปหน้าสุดท้าย ก่อนจะเซ็นชื่อของตัวเองลงไป
หลังจากวางปากกาลง เธอก็เงยหน้าขึ้นมองฟู่เซิ่งเหนียน สองตาที่สวยดูดีคู่นั้นของเขายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน เปล่งประกายระยิบระยับ เพียงแต่สายตาที่มองเธอมันเยือกเย็นจนทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บอยู่ภายในใจ
ฟู่เซิ่งเหนียนรับข้อตกลงมา มองลายเซ็นของเจี่ยนเหยา ก่อนจะพูดขึ้น
“อาการป่วยของเจี่ยนซือกำเริบแล้ว...”
เขายังพูดไม่ทันจบ เจี่ยนเหยาก็ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดก่อน “เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง! จะให้ฉันไปให้ความร่วมมือที่โรงพยาบาลไหม”
ถึงยังไงสองปีก่อน เธอก็เป็นคนบริจาคไขกระดูกเพื่อช่วยชีวิตเจี่ยนซือ
“ไม่ต้อง! หรือว่าคุณอยากจะแสดงละครเหมือนกับเมื่อสองปีก่อนอีกงั้นเหรอ” ฟู่เซิ่งเหนียนปฏิเสธด้วยเสียงดุดัน
”ผมจัดเตรียมหมอที่ดีที่สุดเอาไว้แล้ว แล้วก็หาคนที่เหมาะสมไว้แล้วด้วย ครั้งนี้คุณไม่จำเป็นต้องช่วยอะไรทั้งนั้น เจี่ยนซือเธอบอกว่าคิดถึงคุณแล้ว คุณไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลสักหน่อยก็พอ”
ตอนที่พูดถึงเจี่ยนซือ คิ้วที่ขมวดแน่นของเขาก็ค่อย ๆ คลายออกอย่างช้า ๆ ใบหน้าที่เย็นชาเองก็เริ่มมีอุณหภูมิขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เจี่ยนเหยารู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างแสนสาหัส ตอบอืมกลับไปอย่างเรียบเฉย
“วันนี้ค่อนข้างดึกแล้ว ค่อยย้ายออกไปวันพรุ่งนี้ได้ไหม” เธอฝืนยิ้มออกมา คิดว่าฟู่เซิ่งเหนียนจะเห็นแก่ความรู้สึกเก่า ๆ ขึ้นมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาอย่างอย่างเด็ดขาดขนาดนี้ “เหล่าหลี่จะไปส่งคุณที่โรงแรม”
นี่จะไล่เธอไปแล้วสินะ
ไม่ให้เธออยู่ต่ออีกแม้แต่คืนเดียวเลยงั้นเหรอ
รอยยิ้มของเธอหยุดชะงักบนใบหน้า เผชิญหน้ากับฟู่เซิ่งเหนียนอยู่สักพัก ลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาแล้วจึงเดินจากไป
เธอกลับมาเอาข้าวของสัมภาระที่ยังไม่ทันได้เก็บที่ห้องของตัวเอง เธอถือกล่องลงมาข้างล่าง คนรับใช้เห็นแบบนี้ก็วิ่งตรงเข้ามาช่วย เธอโบกมือ “ไม่ต้อง ฉันไหว”
เหล่าบรรดาคนรับใช้มองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง และยืนเรียงแถวมองดูเพื่อส่งเธอออกไป
อยู่ที่นี่มาเป็นระยะเวลาสองปี เจี่ยนเหยายังคงมีความรู้สึกต่อที่นี่อยู่นิดหน่อย ทุกคนที่นี่ นอกจากฟู่เซิ่งเหนียนแล้วทุกคนก็ดีกับเธอเป็นอย่างมาก
เธอรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่หลังจากที่แต่งงานกับฟู่เซิ่งเหนียน ถูกเขาทำตัวเย็นชาใส่เป็นระยะเวลาสองปีเต็ม ๆ จิตใจของเธอได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส
ให้มันจบลงแบบนี้แล้วกัน
ถึงเวลาจบสิ้นลงแล้ว!
ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดหัวใจจนแทบจะฉีกขาดออกจากกัน แต่เธอก็กลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
หลังจากที่ทำเรื่องเข้าพักโรงแรมเสร็จ ก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
เธอไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน หลังจากที่ฟ้าสว่างแล้วเธอก็เตรียมเนื้อเตรียมตัว มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลกลาง
เจี่ยนซืออยู่ที่ห้องผู้ป่วยเดี่ยวห้องหนึ่ง มีนางพยาบาลดูแลเป็นพิเศษ มองจากกระจกที่อยู่บนประตูเห็นนางพยาบาลกำลังป้อนอาหารเจี่ยนซือ แต่กินไปได้ไม่กี่คำเจี่ยนซือก็อาเจียนออกมาทั้งหมด ภายในใจของเธอรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
ซ่งหยุนหยุนแต่งงานไปแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบเลย ด้วยความโกรธหนัก เธอจึงมอบกายให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแทนในคืนการแต่งงานนั้น หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกชายคนนั้นจับตาเข้า...
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"