สตรีอย่างจ้าวเยว่ก็เสมือนคมในฝัก ภายนอกแม้จะดูเกียจคร้านจนผู้คนเบือนหน้าหนี ทว่าความสามารถที่มีนั้นไม่อาจดูแคลนได้ แต่เมื่อต้องปกป้องชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจึงไม่อาจปิดบังความสามารถได้อีกต่อไป
สตรีอย่างจ้าวเยว่ก็เสมือนคมในฝัก ภายนอกแม้จะดูเกียจคร้านจนผู้คนเบือนหน้าหนี ทว่าความสามารถที่มีนั้นไม่อาจดูแคลนได้ แต่เมื่อต้องปกป้องชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจึงไม่อาจปิดบังความสามารถได้อีกต่อไป
บทที่ 1
จ้าวเยว่
หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่ง¬อำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียว
ฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมือง
ส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุด
อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุน¬นางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสาม
จ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่
บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าว¬หลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว
ส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโดยแท้จริง เนื่องจากนางเป็นบุคคลที่เกียจคร้านที่สุดในเมือง ไม่สิ ต้องกล่าวว่าทั่วแคว้นเลยก็ว่าได้ จ้าว¬ฮูหยินมักจะชอบกล่าวหาว่า ‘นางเป็นสตรีเกียจคร้าน’ ไม่มีผู้ใดอยากสู่ขอไปเป็นภรรยาอยู่เสมอ
ทว่าจ้าวเยว่หาได้สนใจไม่ ต่อให้ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางเป็นภรรยาก็ช่างปะไร ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ก็พอใจแล้ว
ส่วนพี่ชายทั้งสองก็เอาใจนางยิ่งนัก แต่ใครให้นางเกิดเป็นน้องสาวคนสุดท้องกันล่ะ ในเมื่อเป็นน้องคนสุดท้องอีกทั้งยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว พี่ชายทั้งสองย่อมต้องรักและทะนุถนอมมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ยามนี้บริเวณบ่อเลี้ยงปลาในสวนของจวน มีปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายไปมา พวกมันทำตัวราวกันว่าชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร มีหน้าที่เพียงแค่ว่ายไปมาอย่างมีความสุข พร้อมกับกิน¬อาหารที่ผู้คนนำมาให้เท่านั้น จ้าวเยว่นั่งมองดูปลาพวกนี้ว่ายไป¬มาอย่างใจลอย มือหนึ่งถือกิ่งไม้ไว้ใช้ตีน้ำเล่น ก่อนจะเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท ที่อยู่กันมาตั้งแต่วัยเยาว์
“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้ากับปลาพวกนี้ใครสบายกว่ากัน” แม้จะกล่าวกับผิงผิง แต่สายตาของนางยังคงมองปลาพวกนั้นไม่วางตา
สาวใช้นามว่าผิงผิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นนายของตนได้ยินถนัด
“ก็ต้องเป็นคุณหนูอยู่แล้วเจ้าค่ะ จะมีผู้ใดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิเจ้าคะต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันจะสบายเท่าคุณหนูไม่มีอีกแล้ว”
จ้าวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ข้าคิดว่า เจ้าปลาพวกนี้สบายกว่าข้าตั้งเยอะ ตัวข้าเป็นสตรียังต้องอาบน้ำแต่งตัว ยามจะกินข้าวก็ต้องเดินไปกิน ยามจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเดินไปนอน แต่เจ้าดูสิเจ้าปลาพวกนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาโยนอาหารให้กินถึงปาก ข้าว่าอย่างไรเจ้าปลาพวกนี้ย่อมต้องสบายกว่าข้า”
“แล้วคุณหนูจะอิจฉาเจ้าปลาพวกนี้ไปด้วยเหตุใดกันล่ะเจ้าคะ ถึงอย่างไรพวกมันก็มิได้มีชีวิตที่ดีแบบคุณหนูนี่เจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูถึงได้อิจฉาเจ้าปลาพวกนี้กันนะ
“ก็จริงของเจ้า” จ้าวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเมียงมองไปยังบ่อปลาอย่างเหม่อลอย
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีสาวใช้นางหนึ่งวิ่งมาหา พอมาถึงจุดหมายก็หยุดหอบหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาให้ฟัง “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”
จ้าวเยว่ได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะทุกครั้งที่ถูกมารดาเรียกไปพบ เรื่องส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจทำ
ไม่ว่าจะเป็นให้นางไปเรียนเขียนอักษร เรียนปักผ้า ไปถือศีลที่ศาลเจ้าแม่หวังหมู่ ไปฝึกทำอาหาร หรือแม้แต่ไปงานเลี้ยงใด ๆ นางล้วนไม่อยากทำทั้งนั้น และครั้งนี้ที่นางเชื่อว่ามารดาเรียกพบก็คงจะไม่พ้นเรื่องพวกนี้อีกตามเคย จึงได้คิดเตรียมคำกล่าวที่จะปฏิเสธขึ้นมา
“ให้ข้าไปพบที่ใดหรือ” จ้าวเยว่ถามกลับ ในใจนั้นพยายามหาข้ออ้างเพื่อที่จะปฏิเสธเรื่องที่มารดาเรียกหา
“ห้องโถงเจ้าค่ะ” สาวใช้นางนี้ก้มหน้าตอบ เพราะไม่ค่อยกล้าสู้หน้าคุณหนูสักเท่าไร เนื่องจากรู้ดีถึงจุดประสงค์ที่ฮูหยินเรียกคุณหนูไปพบ
“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะตามไป” เมื่อรู้ว่ามารดาเรียกตนเองไปที่ใด จ้าวเยว่จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาท่าทางเกียจคร้านเหมือนที่ทำเป็นประจำ เมื่อได้รับคำตอบสาวใช้นางนี้จึงได้เดินกลับไปยังห้องโถงตามเดิม
ที่จริงแล้วระยะทางจากสวนแห่งนี้ไปยังห้องโถงนั้นไม่ได้ไกลเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เพียงแต่จ้าวเยว่ยังไม่อยากเดินไปถึงห้องโถงเร็วนัก จึงได้ถ่วงเวลาไว้ด้วยการชะลอฝีเท้าให้ช้าลง
“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้าควรปฏิเสธท่านแม่ว่าอย่างไรดี” จ้าวเยว่เอ่ยถามกับคน¬ข้างกายด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อพบว่าพวกตนเดินมาใกล้จะถึงห้องโถงแล้ว
ซึ่งตัวผิงผิงเองก็กระซิบกระซาบตอบกลับไปผู้เป็นนายเช่นกัน
“จะให้ตอบอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ก็คุณหนูเองไม่มีอะไรทำเป็น¬ชิ้นเป็นอัน ที่พอจะเป็นข้ออ้างให้ปฏิเสธได้เลย”
“หรือข้าจะบอกท่านแม่ไปว่าข้าจะท่องตำราดี เจ้าคิดว่าเหตุผลนี้ดีหรือไม่” คุณหนูเพียงหนึ่งเดียวของจวนพยายามคิดหาทางรอดอย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้เป็นมารดาต้องการสิ่งใดจากนาง
“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจะตอบว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ถ้าเกิดฮูหยินถามคุณหนูว่าท่านท่องตำราไปเพื่อสิ่งใดกัน” ผิงผิงเอ่ยถามกลับพร้อมกับส่ายหน้าคอแทบหลุด เพราะถ้าคุณหนูของนางบอกไปแบบนี้ฮูหยินคงไม่มีทางที่จะเชื่อแน่นอน
จ้าวเยว่ทำสายตาละห้อยส่งให้กับผิงผิง พลางพึมพำออกมาอย่างอับจนหนทาง
“นั่นน่ะสิ จะตอบว่าข้าเตรียมสอบบัณฑิตก็คงไม่ได้ แล้วข้าจะตอบท่านแม่ว่าอย่างไรดีเล่า เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ผิงผิง”
ผิงผิงสูดลมหายใจหนึ่งครั้งก่อนที่นางจะคว้ามือทั้งสองข้างของผู้เป็นนายมากุมไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอาอย่างนี้สิเจ้าคะ ถ้าฮูหยินให้คุณหนูทำสิ่งใด คุณหนูก็ทำไป¬เถอะเจ้าค่ะ อย่าได้ปฏิเสธเลย เชื่อผิงผิงนะเจ้าคะ”
“ผิงผิง นี่เจ้า... นอกจากจะไม่ช่วยข้าคิดแล้ว ยังจะอยู่ฝ่ายท่านแม่อีกหรือ”
จ้าวเยว่เอ่ยอย่างตัดพ้อ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความอึดอัด ราวกับว่าจะมีการลงโทษผู้ใดอย่างไรอย่างนั้น จ้าวเยว่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากจะมีการลงโทษกันเกิดขึ้นจริง ผู้ที่ถูกลงโทษก็น่าจะเป็นตนเอง
อีกทั้งเวลานี้ผิงผิงสาวใช้คนสนิทไม่ได้ตามเข้ามาด้วย นี่จึงทำให้นางหมดความมั่นใจไปอีก¬หลายส่วน
อีกด้านหนึ่งของห้องโถง จ้าวฮูหยินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลางของเจ้าจวน นางสวมชุดผ้าไหมสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีต ท่วงท่าการนั่งที่สง่างามนั้น ทำให้นางดูราวกับนางพญาผีเสื้อตัวใหญ่ที่โดดเด่น
จ้าวเยว่ยืนมองมารดาด้วยสายตาที่เหมือนจะมีคำถาม จากนั้นจึงเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน “ท่านแม่เรียกข้ามา มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“นั่งลงก่อนเถอะ เยว์เอ๋อร์” ผู้เป็นมารดาสั่งความแต่เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามบุตรสาว
เมื่อได้รับคำอนุญาต จ้าวเยว่จึงเดินไปนั่งเก้าอี้ทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของนาง ทว่าสายตายังคงมองไปยังมารดาอย่างไม่วางใจ
เมื่อเห็นบุตรสาวนั่งลงแล้ว จ้าวฮูหยินก็เริ่มต้นการสนทนา
“ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่บ้าง”
แม้นี่เป็นคำถามง่าย ๆ ที่ผู้ใดก็สามารถตอบได้ แต่คนคนนั้นไม่ใช่จ้าว¬เยว่ เนื่องจากนางคือบุคคลที่ไม่มีอะไรทำอย่างแท้จริง ดังนั้นการถูกถามว่าทำอะไรอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่ไม่สามารถหา¬คำตอบที่น่าฟังมาตอบได้
จ้าวเยว่ทำตาละห้อยเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของนางในยามนี้ดูเจื่อนลงไปหลายส่วน ก่อนจะตอบมารดาของตน
“ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าค่ะ จะมีก็แต่...ให้อาหารปลา”
“สิ่งนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องทำ ข้าคิดว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่สตรีในห้องหอต้องทำ เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”
จ้าวฮูหยินสวนทันควัน พลางจ้องมองบุตรสาวด้วยความเอือมระอา จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยเสียงอันเข้มงวด
“เย็นวันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหว งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก ครอบครัวของเราจะต้องไปทุกคน เจ้าเองก็ต้องไปด้วย ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”
“ข้าไม่ไปไม่ได้หรือท่านแม่”
จ้าวเยว่ถามขึ้นมา เนื่องจากนางไม่ชอบงานเลี้ยงพวกนี้ ไม่ใช่เพราะนางเกียจคร้าน แต่เพราะนางไม่ชอบปั้นหน้าให้กับผู้ใดต่างหาก ดังนั้นหากให้เลือก นางขออยู่ในจวนอย่างเกียจคร้านดีกว่า
จ้าวฮูหยินหันมาทำสีหน้าจริงจังกับบุตรสาว แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นราวกับมีดวงไฟลุกโชนอยู่ภายใน และทุกครั้งที่จ้าวเยว่เห็นเข้า นางก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกครา
“ไม่ได้! งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก อีกทั้งท่านโหวเองก็เป็นผู้¬มีพระคุณกับสกุลจ้าวของเรา ถ้าเจ้าไม่ไปก็ถือว่าไม่ให้เกียรติท่านโหว”
“แต่ข้าก็มิได้รู้จักกับท่านโหวเป็นการส่วนตัวนี่เจ้าคะ ท่าน-พ่อ ท่านแม่ กับท่านพี่ทั้งสองไปก็พอแล้วนี่เจ้าคะ” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า พลางลอบสังเกตสีหน้าของมารดาไปด้วย
จ้าวฮูหยินฟังข้ออ้างของบุตรสาวแล้วก็ยิ่งบังเกิดโทสะ จึงใช้มือทุบโต๊ะคราหนึ่ง พร้อมกับลุกพรวดขึ้นยืน
“อย่างไรเจ้าก็ต้องไป คราวนี้ท่านโหวอยากให้บุตรชายของท่านได้พบกับเจ้า”
จ้าวเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอีกทันทีเช่นกันก่อนจะกล่าวเสียงแข็งตอบกลับมารดา
“ถ้าอย่างนั้นข้ายิ่งไม่ไปเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากพบกับบุตรชายท่าน¬โหวอะไรนั่น เขาสำคัญแค่ไหนกันเชียว”
กล่าวจบหญิงสาวก็เดินปัดก้นออกจากห้องโถงไป ปล่อยให้ผู้¬เป็นมารดายืนคับแค้นใจอยู่ฝ่ายเดียว จ้าวฮูหยินเองก็ไม่รู้จะทำ-อย่างไรกับบุตรสาวคนนี้ดี จึงได้แต่ปล่อยนางไป หวังว่าสักวันเมื่อ-นางเติบโตขึ้น จะเข้าใจสิ่งที่บิดามารดาสั่งสอนบ้าง
จ้าวเยว่เดินกลับห้องของตัวเองไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง นาง-ไม่ชอบไปงานเลี้ยง เพราะนางไม่อยากที่จะต้องปั้นหน้าปั้นตากล่าว¬ทักทายคนนั้นคนนี้ ปกติแล้วนางเองก็ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใด มีบุตรสาวขุนนางหลายคนพยายามจะมาเป็นสหายกับนาง ชวนนางไปนั่นไปนี่ ทว่านั่นกลับขัดกับความต้องการของนางอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวพวกนี้มักจะออกไปเดินตลาด เพื่อหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หรือไม่ก็พวกเครื่องประทินโฉมเพื่อเสริมส่งความงามให้โดดเด่น
แต่ว่าหญิงสาวไม่เคยหาสนใจสิ่งของพวกนั้น เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจก็คือการฝึกวรยุทธ์ต่างหาก
จ้าวเยว่มักจะไปฝึกกับพี่ชายที่สนามฝึกอยู่เสมอ ด้วยนางถือ¬ว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวที่ได้เข้าไปใช้สนามฝึกของกองทัพ ตั้งแต่เล็กจนโต นางจึงฝึกมาหมดทั้งเพลงดาบ กระบี่ ทวน ธนู เพลงหมัด ขี่ม้า นางยังเคยขี่ม้าชนะทหารภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายนางมาแล้ว จนทหารนั้นต้องแพ้พนัน ด้วยการกินกระเทียมเป็นเข่ง¬¬ ๆ
หากถามว่านางมีใครเป็นสหายบ้าง หากจะให้ตอบคงจะพวกทหาร แล้วก็พวกหน่วยพยัคฆ์ดำของพี่ชายนั่นแหละ ส่วนสตรีในห้องหอหรือสตรีวัยเดียวกันนางนั้น แทบไม่มีเลย
ทันทีที่กลับถึงห้อง หญิงสาวก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที นาง-กางแขนกางขาสองข้างออกทำท่าทางราวกับว่าเป็นบุรุษที่ตรากตรำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วต้องการพักผ่อน
“คุณหนูจะทำอะไรดีเจ้าคะ” ผิงผิงถามในขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังถอดรองเท้าให้ผู้เป็นนาย
จ้าวเยว่ส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่หลังจากนิ่ง¬คิดไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
“อืม...ทำอะไรดีนะ แช่น้ำดีหรือไม่”
“ถ้าอย่างนั้นผิงผิงจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล
แต่ก่อนที่ผิงผิงจะเดินไปที่ถังอาบน้ำ ก็หันกลับมากล่าวกับจ้าวเยว่อย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
“คุณหนูจะไม่ไปงานเลี้ยงที่จวนท่านโหวจริงหรือเจ้าคะ ผิง¬ผิงว่าคุณหนูควรจะไปเสียหน่อย”
จ้าวเยว่ถึงกับต้องดีดตัวขึ้นจากเตียง
“ผิงผิง เจ้านี่อย่างไรกันนะ เจ้าเป็นคนของข้า หรือว่าเป็นคนของท่านแม่กันแน่ หรือว่าเจ้าถูกท่านแม่จ้างมา”
“ผิงผิงหวังดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ” ผิงผิงตอบกลับเสียงซื่อ
“ถ้าเจ้าหวังดีกับข้า เจ้าก็ต้องอยู่ข้างข้าสิ”
จ้าวเยว่กล่าวจบก็เดินไปที่ถังอาบน้ำ นางปลดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยความงาม แต่นางกลับชอบแช่น้ำอุ่นมาก ปกติแล้วจะแช่ถึงวันละสองครั้ง เพราะการแช่น้ำอุ่น ๆ นั้น ทำให้ร่างกายได้ผ่อน¬คลาย
อีกทั้งกลิ่นของพวกดอกไม้กับเครื่องหอมต่าง ๆ ที่ผิงผิงหา-มาใส่ในอ่างอาบน้ำให้นั้น ทำให้หญิงสาวมีความสุขอย่างยิ่ง และทุกครั้งที่แช่น้ำ ผิงผิงก็จะเป็นคนนำผ้ามาขัดถูตามเนื้อตัวให้อยู่เสมอ
หลังจากชำระร่างกายและขึ้นจากน้ำแล้ว จ้าวเยว่มักจะชอบให้ผิงผิงทาน้ำมันแล้วนวดให้เสมอ การบีบนวดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายกายยิ่งนัก
แล้วสิ่งนี้ก็คือสวรรค์สำหรับนางอย่างแท้จริง!!
เหอหลันฮวา คุณหนูใหญ่ตระกูลเหอ ชาติที่แล้วตกตายเพราะความริษยาของน้องสาวต่างมารดา แต่ที่นางกลับมา ไม่ได้อยากล้างแค้นใคร ขอให้ข้าได้ใช้ชีวิตกับสามีอย่างสงบสุขได้หรือไม่
เมื่อนางร้ายตัวแม่เกิดใหม่เข้ามาในสถานที่คล้ายๆ กับนิยายที่เคยอ่าน พระเอกเหรอไปไกลๆ จะให้เธอคอยตามพระเอกในเรื่องไม่มีทางเสียหรอก นางร้ายคนนี้ขอใช้ชีวิตแบบเริดๆ เชิดๆ ดีกว่าเป็นไหนๆ เอาสิร้ายมาร้ายกลับไม่โกง หลิงชิงเย่ว หญิงสาวที่น่าสงสาร สามีแต่งงานด้วยเพราะคำสัญญาและตอบแทนบุญคุณพ่อของเธอ แต่สำหรับหญิงสาวการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นจากความรัก หลังจากแต่งงานไม่นานแม่สามีกลับแต่งภรรยาให้อีกคนซึ่งเป็นหลานสาวของนาง แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรักของสามีเธอด้วยนี่สิ ยิ่งคิดลี่น่ายิ่งเครียดแทน ยังไงซะเธอไม่มีทางหนีชะตาพ้น ก็วิ่งชนสิคะจะกลัวอะไร ในเมื่อท่านยมจอมผิดพลาดส่งนางร้ายตัวแม่เช่นเธอเข้ามาแทน ก็อย่าฝันว่าเธอจะตามง้อผัวโง่ๆ นี่อีก พระเอกเหรอ หลบไป นางเอกเหรอ ไปไกลๆ นางร้ายตัวแม้คนนี้จะใช้ชีวิตเริดๆ เชิดๆ หลังจากหย่าให้อิจฉาตายไปเลย ที่สำคัญเธอมาพร้อมกับพรที่ขอกับท่านยมอีกสามข้อแบบจุกๆ อีกด้วย
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
ในชาติก่อน ซูเยว่ซีถูกอวิ๋นถังยวี่ทำร้ายจนตาย ทำผิดต่อครอบครัวของท่านตา และตัวเองยังถูกทรมานจนตาย เกิดใหม่ครั้งนี้ นางตั้งใจจะจัดการกับพวกผู้ชายชั่วและหญิงเลวจัดการพ่อชั่ว เพื่อปกป้องแม่และครอบครัวของท่านตาให้ปลอดภัย พวกผู้ชายชั่วเข้ามาใกล้งั้นเหรอ นางจะใช้แผนให้เขาเสียชื่อเสียง หญิงตีสองหน้าเก่งชอบทำตัวอ่อนแองั้นเหรอ นางจะเปิดโปงธาตุแท้อีกฝ่ายและไล่นางออกจากจวนซู! ในชาตินี้ สิ่งที่นางต้องทำคือการจัดการพวกปลวกที่แอบแฝงอยู่ในราชสำนัก แก้แค้นคนทรยศ เพื่อปกป้องท่านตาที่เป็นคนซื่อสัตย์ นางใช้มือเรียวเป็นเครื่องมือ ก่อให้เมืองจิงเกิดความวุ่นวาย แต่ท่ามกลางความโกลาหล นางได้พบกับองค์ชาย ผู้ที่ทุกคนเล่าลือว่าเป็นคนพิการ “อวิ๋นเฮิง เจ้าจะมาขวางข้าหรือ” อวิ๋นเฮิงยิ้มเบาๆ “ไม่ ข้าตั้งใจจะมาช่วยเจ้า”
เวินอี่ถงได้เห็นความรักอันลึกซึ้งของเจียงยวี่เหิง แต่ก็ได้สัมผัสกับการทรยศของเขาเช่นกัน เธอเผารูปแต่งงานของพวกเขาต่อหน้าเขา แต่เขากลับมัวแต่ง้อชู้ของเขา ทั้งๆ ที่เขาแค่มองดูแวบหนึ่งก็จะเห็น แต่เขากลับไม่สนใจเวินอี่ถงสุดจะทน ตบหน้าเขาอย่างแรง พร้อมอวยพรให้เขากับชู้ของรักกันยืนยาว แล้วเธอก็หันหลังสมัครเข้ากลุ่มวิจัยลับเฉพาะ ลบข้อมูลประจำตัวทั้งหมด รวมถึงความสัมพันธ์การแต่งงานกับเขาด้วย! ก่อนจากไป เธอยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เขาอีกด้วยเมื่อถึงเวลาที่จะเข้ากลุ่ม เวินอี่ถงก็หายตัวไป บริษัทของเจียงยวี่เหิงประสบปัญหาล้มละลาย เขาจึงออกตามหาเธอด้วยทุกวิถีทาง แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบมรณบัตรที่ต้องสงสัยเขาสติแตก “ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่ยอมรับ!”เมื่อพบกันอีกครั้ง เจียงยวี่เหิงต้องตกใจที่พบว่าเวินอี่ถงเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว โดยข้างกายมีผู้มีอำนาจที่เขาต้องยอมก้มหัวให้เขาอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ถงถง ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาเถอะ!”เวินอี่ถงเพียงยิ้มยักคิ้ว จับแขนของผู้มีอำนาจข้างๆ “น่าเสียดาย ตอนนี้ฉันอยู่ในระดับที่นายไม่อาจเอื้อมถึงแล้ว”
วายุ : นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงผู้จมอยู่กับอดีต เขาเป็นชายหนุ่มผู้คลั่งรัก ทว่าทิฐิทำให้เผลอทำร้ายคนที่รักที่สุด อลิสา : ดาราสาวที่พลาดพลั้งอุ้มท้องลูกของนักธุรกิจหนุ่ม แต่เขากลับผลักไส ไม่รัก มิหนำซ้ำยังกลับไปหาคนรักเก่าอีกด้วย ..................... "นอนกับฉันแค่คืนเดียว กล้าดียังไงมาพูดว่าเป็นเมียฉัน! เพราะถ้าเเค่คืนเดียว ฉันคงมีเมียไปค่อนโลกแล้ว" "แล้วถ้าอลิซท้องล่ะคะ! ท้อง! หมายถึงกำลังมีเด็ก...ที่ตอนนี้กำลังเป็นก้อนเลือดนอนนิ่งอยู่ในนี้"มือบางลูบไล้หน้าท้องแบนราบอย่างยั่วเย้า ก่อนจะยกยิ้มอย่างเป็นต่อ "....." วายุ จ้องสบด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ฝ่าเท้าหนัก ค่อยๆ สาวเท้าเข้าหาเธออย่างคุกคาม "เหตุผลแค่นี้ พอที่จะเป็นเมียคุณได้หรือยัง! "เสียงหวานท้าทายเขา ใบหน้างามเชิดรั้นอย่างถือดี ก่อนที่ปากอิ่มจะเบ้ออกน้อยๆ ด้วยความเจ็บปวด เพราะปลายคางมนถูกบีบจนน้ำตาเล็ด "อย่าคิดจะใช้เด็กมาต่อรองกับฉัน! เพราะฉันไม่ใช่พระเอกที่จะยอมเเต่งงานกับเธอเพียงแค่ทำผู้หญิงท้อง...ฉันบอกเอาไว้ตรงนี้เลย ฉันจะรับผิดชอบแค่เด็ก..ที่อาศัยท้องเธอมาเกิดเท่านั้น! "เสียงเข้มกระซิบเหี้ยม ก่อนมือหนาอีกข้างจะยกขึ้นกดหน้าท้องแบนราบนั้นเบาๆ เพื่อเป็นการย้ำเตือน! "แต่ลูกของฉันต้องการมีทั้งพ่อและแม่! "มือบางสะบัดเขาออกอย่างถือดี ก่อนจะตะโกนลั่นใส่หน้าเขา "หึ...ถามจริงๆ อยากให้ลูกมีพ่อหรืออยากได้ผัวจนตัวสั่นกันแน่! " .................... "จำไว้นะคุณยุ! วันนี้คุณอาจจะยังไม่ต้องการพวกเรา...ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวันไหนที่เราไม่ต้องการคุณบ้าง แม้แต่วิญญาณของพวกเราคุณก็จะไม่ได้เห็น! "อลิสาตะโกนลั่นใส่หน้าเขาอย่างสุดทน ใบหน้างามเต็มไปด้วยน้ำตาทั้งสองข้างแก้ม "ปากดี " "ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณ...พวกไร้ความรับผิดชอบ! " "อลิสา"เสียงเข้มกดต่ำ ใบหน้าคมขึงขัง อารมณ์ร้อนเริ่มเดือดพล่าน "เอากระโปรงไปใส่มั๊ยค่ะ บริจาคให้"เสียงหวานเอ่ยบอกเขา มือบางปาดน้ำตาก่อนจะยกยิ้มสมเพชส่งให้ "...." เพี๊ยะ! "หน้าตัวเมีย...คนสารเลว" "..." "อลิซเกลียดคุณที่สุด!"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY