ซูหนี่นักแสดงเจ้าบทบาท วันหนึ่งเธอได้รับติดต่อให้รับบทนางร้ายที่ต้องตายเมื่อออกได้เพียงสามตอน ผู้กำกับนัดเธอให้ออกไปรับบทที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเมื่อตกลงกันได้แล้ว เธอก็กล่าวขอบคุณแล้วนัดคิวถ่ายทำกัน ซูหนี่อ่านบทของเธอที่มีเพียงน้อยนิด นางร้ายคนนี้ทำให้เธอโมโหอย่างมาก เป็นสตรีที่วางยาเพื่อให้ได้ แต่งกับบัณฑิตหนุ่ม จ้าวหนิงหลง เมื่อฝ่ายชายรังเกียจนางก็ยิ่งแสดงความร้ายกาจออกมา เมื่อจ้าวหนิงหลงสอบเป็นจวี่เหรินได้ นางก็จบชีวิตลง ถึงบทที่เธอได้รับจะออกมาให้คนดูได้เห็นเพียงไม่กี่ตอน แต่การแสดงที่เข้าถึงทำให้คนจดจำได้ ไม่ใช่เพียงคนชื่นชมเท่านั้น เธอยังทำให้แม่ค้าเกลียดจนด่าเธอกลางตลาดมาแล้ว เมื่อเธอทำทีไปเดินเพื่อเช็คความนิยม มีแม่ค้าคนหนึ่งเข้าถึงอารมณ์ในการแสดงเยอะไปหน่อย วิ่งไล่ปาไข่ไก่ใส่เธอจนนางเตลิด ไม่ได้ดูทาง จึงทำให้รถที่วิ่งมาเร็วชนเข้า เธอตื่นมาอีกครั้งในร่างของซูหนี่นางร้ายที่เธอได้รับบทบาท และที่ในบทไม่มีเหมือนกันคือซูหนี่มีลูกน้อยวัยสามขวบถึงสองคน เธอจะทำอย่างไรต่อไป จะหนีความตายที่ใกล้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่
"คุณซูหนี่ คิดยังไงคะที่รับบทบาทนี้" นักข่าวสัมภาษณ์เธอ
"ยินดีมากเลยค่ะ ที่คุณหม่า เลือกฉัน ถึงบทจะออกมาได้กี่ตอน แต่ฉันอยากให้ทุกคนได้ติดตามนะคะ ครั้งนี้ฉันร้ายมากเลยค่ะ" เธอสัมภาษณ์ไปหัวเราะยิ้มแย้มไป รอยยิ้มของเธอไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตรึงใจทุกคนได้
ชีวิตในวงการของเธอ เธอแสดงมาทุกบทแล้ว แต่ที่ยอมมาเล่นเพียงไม่กี่ตอนในเรื่องนี้เพราะคุณหม่าผู้กำกับมือทองที่ยื่นโอกาสในครั้งแรกให้เธอจนมีทุกวันนี้ เมื่อเขาส่งบทมาให้เธอจึงตอบรับทันที
ซูหนี่เป็นคนที่ทำงานด้วยง่ายไม่ว่าจะเป็นช่างแต่งหน้าหรือคนดูแลล้วนชื่นชอบเธอทั้งนั้น วันไหนเธอว่างมักจะออกไปเดินที่ตลาดสดเพื่อซื้อของมาทำอาหาร นี่คืออีกอย่างที่เธอทำได้ดีรองลงมาจากการแสดง
เธอเรียนจบด้านเชฟมาโดยตรง ตอนแรกเธอเปิดร้านอาหาร ร้านอาหารของเธอนั้นขายดีจนมีชื่อเสียง ดารา อินฟลูเอนเซอร์ล้วนแล้วแต่เข้ามาถ่ายทำ เธอจึงมักได้ออกหน้าโซเซียลเป็นประจำ จนไปเข้าตาผู้กำกับเม่า เขาเรียกเธอมาลองแสดงให้ดู หลังจากนั้นมาเธอจึงได้รับโอกาสอีกมากมาย
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอมาเลือกซื้อของเพื่อนำกลับไปทำอาหารเอง อีกอย่างเธออยากจะลองเช็คความนิยมจากบทบาทล่าสุดที่เธอได้รับอีกด้วย เสียงชื่นชมจากแม่ค้าที่สนิทกันดังไม่ขาดระยะ แต่ก็มีแม่ค้าที่เจ้าถึงอารมณ์เกินไปด่าทอ เมื่อนึกไปถึงความร้ายกาจในบทของเธอ
"โอ๊ยยยย ยังมีหน้ามาเดินตลาดอีกนะนังซูหนี่" เธอชะงักไปแล้วหันไปยิ้มหวาน
"คุณป้าด่าฉันหรือด่าซูหนี่บทที่ฉันแสดงคะ" เธอถามกลับด้วยรอยยิ้ม เธอภูมิใจที่คนดูโมโหเช่นนี้ เพราะแสดงว่าเธอแสดงได้ถึงบทบาท
"ยังมีหน้ามาถาม แย่งผู้ชายของลี่อินแล้วยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตาอยู่อีกหร๊ออ" หน้าของเธอเริ่มจะยิ้มไม่ไหวแล้ว
"คุณป้าคะ นั่นคือการแสดงนะคะ แต่ฉันดีใจนะคะที่คุณป้าชอบ"
"ใครจะไปชอบแกลงร้ายขนาดนั้น" คุณป้าไม่ได้พูดเปล่า แต่หยิบไข่ไก่ปาใส่เธอด้วย
"ว๊ายยย คุณป้าหยุดก่อนค่ะ" จากนั้นแม่ค้าคนอื่นก็ช่วยห้ามทั้งยังให้เธอหลบออกไปก่อน
ซูหนี่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกครั้งก็มีเสียงด่าทอบ้างแต่ไม่ถึงกับลงไม้ลงมือแบบนี้ เธออับอายจนต้องรีบวิ่งไปที่รถ แต่เธอมัวแต่หันหลังกลับไปมองว่าป้าคนนั้นยังตามเธอมาหรือเปล่าจนไม่ได้มองทางข้างหน้า
รถส่งของวิ่งมาด้วยความเร็วจึงทำให้ซูหนี่โดนชนอย่างแรง หลังจากนั้นเธอก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย
"ท่านพี่นางตายแล้วหรือยัง"
"คงตายแล้ว ข้าเรียกนางแล้วไม่เห็นนางจะขยับตัวเลย"
"เช่นนั้น เช่นนั้น พวกเราจะไม่ถูกตีแล้วใช่หรือไม่ท่านพี่"
"ใช่ รอให้ท่านพ่อกลับมาจัดการกลับนางเถิด"
'เสียงเด็กที่ไหน แล้วใครปล่อยให้เด็กเข้ามาในห้องพักของเธอ' ซูหนี่ที่เจ็บปวดไปทั้งตัว ลืมตาไม่ขึ้น เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอโดนรถชน ตอนนี้เธอคงอยู่ในโรงพยาบาลสักแห่ง แต่ทำไมพยาบาลถึงปล่อยให้เด็กเล็กเข้ามาในห้องพักของเธอได้ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว เธอจึงนอนต่อ
"ท่านพ่อ นางตายแล้วใช่หรือไม่ขอรับ" เสียงเด็กชายรอคำตอบอย่างมีความหวัง
"นางยังไม่ตาย พวกเจ้าไม่ต้องไปสนใจนาง ปล่อยนางไว้เช่นนั้น" เสียงบุรุษเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
ซูหนี่รู้สึกตัวอีกครั้งภายในห้องก็มืดมิดแล้ว นางพยายามลืมตาขึ้นมา กว่าจะทำให้สายตาคุ้นชินก็นานเกือบครึ่งชั่วโมง 'โรงพยาบาลจะประหยัดไปไหน แม้แต่ไฟสักดวงก็ไม่เปิด'
กลิ่นเหม็นหืนลอยเข้าจมูก เสื้อผ้าที่เธอใส่ก็ดูไม่สบายตัว เธอคลำหาโทรศัพท์ที่มักจะติดตัวอยู่เสมอ โรงพยาบาลนี้ทำไมหมอนแข็งแบบนี้ ไหนจะเตียงไม้นี้อีก ฟูกรองนอนก็บางจนเธอปวดหลังไปหมด เธอหิวน้ำจึงคลำไปมั่วไปหมด
"ไม่ใช่แล้ว" ซูหนี่มองไปรอบๆตัว นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแต่มันคือที่ไหน เธอเริ่มกลัวขึ้นมา เธอลงจากเตียงแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอก อาศัยแสงไฟมองไปรอบๆตัว เธออยู่ในกระท่อมที่ไหน
ซูหนี่เดินออกไปนอกบ้าน ด้านหลังมีห้องครัวอยู่ในโอ่งยังมีน้ำเธอไม่รู้ว่าน้ำในนี้ไว้ใช้ทำอะไรแต่ตอนนี้เธอหิวน้ำจนทนไม่ไหวแล้ว เมื่อหาแก้วได้เฮก็ตักน้ำในโอ่งดื่มทันทีโดยไม่ได้ระวังเลยว่าแก้วที่ใช้เป็นอย่างไร ขอบแก้วที่บิ่นบาดเข้ากับปากของเธอ
"โอ๊ยยย เจ็บชะมัด" เธอจับปากจึงได้รู้ว่ามีเลือดไหลออกมา
"เจ้าทำอันใด" เสียงตวาดเหมือนฟ้าผ่า ทำให้เธอสะดุ้งตกใจ จนถอยหลังหนีทันที ซูหนี่ชนเข้ากับโอ่งจนล้มลงไป แก้วในมือก็หล่นแตกจนบาดเข้ากับมือของเธอ
เจ็บ เธอเจ็บจนน้ำตาคลอ ไม่ได้ฝัน เธอไม่ได้ฝันอยู่แล้วนี่เธออยู่ที่ไหน ผู้ชายที่ยืนอยู่มองมาเหมือนอยากจะเอาชีวิต รอบข้างที่มองยังไงก็ไม่คุ้นตา เหมือนจะอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญที่ไหนสักแห่ง แสงไฟไม่มีมีแค่แสงจากดวงจันทร์
จินเยว่ ตำรวจสาว เธอได้รับภารกิจให้เข้าจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่สายข่าวได้แจ้งเข้ามาวันนี้จะมีการเจรจาซื้อขายครั้งใหญ่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาให้จินเยว่ที่ตอนนี้เป็นถึงหัวหน้าสายสืบ พาลูกน้องไปสำรวจพื้นที่ก่อน อย่าเพิ่งเข้าปะทะเพราะเขาจะส่งกองกำลังเข้าไปช่วยเหลือ แต่ลูกน้องของจินเยว่เห็นโอกาสที่จะเข้าจับกุมได้แล้ว เลยไม่รอกองกำลังพิเศษที่กำลังเดินทางมาช่วยเหลือ ตอนแรกคิดว่าพ่อค้ายาเสพติดจะพาคนมาฝ่ายละไม่เกินยี่สิบคน แต่กลายเป็นว่าเธอโดนซ้อนแผนเสียแล้ว จะถอยก็ไม่ทัน จินเยว่เข้าช่วยลูกน้องจนเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างความเป็นกับความตาย สติของเธอเริ่มพร่ามัว เสียงเรียกที่ได้ยินแยกไม่ออกว่าเป็นใครเรียก แต่เธอจำได้ว่ากองกำลังพิเศษมาช่วยไม่ทัน ตอนที่เธอถูกยิงไม่ใช่ว่าจะโดนแค่นัดเดียวทางรอดย่อมไม่มี แต่ตอนนี้ใครกันที่เรียกเธอ หากเป็นหมอก็รักษาเลย ฉันขอนอนต่อก่อน แต่หากเป็นยมทูตรอสักครู่ฉันไม่ได้นอนเต็มตาเช่นนี้มาหลายคืนแล้ว "จินเยว่ ลูกรัก ตื่นเถิดลูก" "จินเยว่ อย่าเงียบเช่นนี้ เจ้าอย่าทำให้แม่กลัว"
หลิวเยว่ชิง สาวงามของเมืองหลวง บุตรสาวของท่านหมอหลวงหลิว ความงามของนางเป็นที่ประจักษ์ ทั้งเรื่องความสามารถเรื่องการรักษานางก็เก่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา แต่เพราะด้วยที่นางเป็นสตรี นางจึงมิอาจเดินตามรอยเท้าของบิดาได้ ทำได้เพียงรักษาให้กับสตรีที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง นางยังคิดจะเปิดโรงหมอ เพื่อรักษาให้กับสตรีโดยเฉพาะ แต่เพราะคู่หมั้นของนาง กงหลี่เฉียงมิเห็นด้วย นางจึงได้เลิกล้มไปเสีย นางแต่งให้กงหลี่เฉียงท่ามกลางความเสียดายของบุรุษมากมายในเมืองหลวง งานมงคลของนางเป็นที่พูดถึงนานหลายเดือน เพราะสินเดิมที่บิดาจัดเตรียมให้ เรียกได้มามากมายจนไม่ต้องทำสิ่งใดอีกแล้ว นางใช้ชีวิตเป็นฮูหยินของกงหลี่เฉียง ดูแลจวน ทั้งยังดูแลแม่สามีที่เจ็บป่วยอยู่เสมอ จนมีแต่คนเอ่ยชมกงหลี่เฉียงที่ได้ภรรยาเช่นนางไปครอบครอง ในวันแต่งงาน เรื่องที่ไม่อาจไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องคำสาบานของกงหลี่เฉียง “ข้ากงหลี่เฉียง ขอสาบานต่อฟ้าดิน ว่าชีวิตนี้จะมีเพียง หลิวเยว่ชิงเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว” เรื่องนี้ยังสร้างความอิจฉาให้กับเหล่าสตรีในเมืองหลวงอยู่นานหลายเดือน หากบุรุษบ้านใดที่รับอนุเพิ่ม จะถูกเปรียบเทียบกับกงหลี่เฉียงในยามนั้นทันที แต่แล้วความสุขของนางก็อยู่ได้ไม่นาน หลังแต่งงานได้เพียงสองปี กงหลี่เฉียงที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่ง รององครักษ์เสื้อแพรมาหมาดๆ ก็พาญาติผู้น้องของเขา ตู้ซิงเยียน เข้าจวนในตำแหน่งฮูหยินรอง เรื่องนี้สร้างข่าวลือไปทั่วเมืองหลวง เพราะไม่คิดว่า กงหลี่เฉียงที่กล้าเอ่ยคำสาบานในวันงานแต่งเช่นนั้น จะกล้ารับสตรีเข้าจวนได้อีก “ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร” หลิวเยว่ชิงดวงตาแดงก่ำ มองกงหลี่เฉียงประคองตู้ซิงเยียนอยู่หน้าเรือนของนาง น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่งามของนาง บ่าวไพร่ที่รู้จักฮูหยินน้อยว่านางแสนดีเพียงใด ก็อดจะเห็นใจนางไม่ได้ “บุรุษใดเล่าในเมืองหลวงที่ไม่มีสามภรรยา สี่อนุ” กงหลี่เฉียงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ โดยที่ตัวเขาก็หลงลืมเรื่องคำสาบานในวันแต่งงานไปแล้ว “หึ เช่นนั้นรึ ท่านคงหลงลืมไปแล้วกระมังเรื่องคำสาบาน” “แล้วอย่างไรเล่า ชิงชิง เจ้าแต่งเข้าจวนข้ามาสองปี ท้องเจ้ายังมิได้เรื่อง หากข้ารับเยียนเออร์เข้าจวนจะผิดอันใดเล่า” “อ้อ เพราะเรื่องนี้อย่างนั้นรึ” นางยิ้มเยาะตนเอง เป็นนางที่คิดแทนผู้เป็นสามี ไหนจะเรื่องภายในจวน ที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดล้วนต้องควักมาจากสินเดิมของนาง ไหนจะเรื่องของอาการป่วยของแม่สามีที่แทบจะเรียกหานางทุกหนึ่งชั่วยาม นางและเขาจึงคิดตรงกันเรื่องที่ยังไม่อยากมีบุตร ทุกครั้งที่ร่วมรักกันนางจึงกินยาห้ามครรภ์มาตลอด แต่การที่หวังดีต่อเขาเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าหักหาญน้ำใจของนาง “หากท่านดึงดันจะรับนางเข้าจวน เช่นนั้นก็หย่าขาดจากข้าเสีย” “เพ้ย ไม่หย่า เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย เยียนเออร์ย่อมเชื่อฟังเจ้าอย่างดี ไม่ดีหรือที่จะมีคนมาช่วยดูแลเรือนเพิ่มอีกคน” “วาจาของท่านช่างน่าขันนัก หากข้าไม่รับน้ำชาของนาง นางรึจะเข้ามาอยู่ในจวนได้” “หึ ต่อให้เจ้าไม่รับน้ำชาของนาง นางก็เข้ามาอยู่ในจวนได้ เพราะเยียนเออร์นางตั้งครรภ์แล้ว” คำพูดของกงหลี่เฉียง เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของเยว่ชิง นางเกือบจะล้มไปกองกับพื้น ยังดีที่สาวใช้ของนางเข้ามาประคองนางไว้เสียก่อน เขาให้นางกินยาห้ามครรภ์มาโดยตลอด แต่กลับพาญาติผู้น้องที่ตั้งครรภ์กลับเข้ามาในจวน นางจะทนฟังเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร “อาอิง เจ้าไปเก็บของข้าจะกลับจวนตระกูลหลิว” นางเอ่ยสั่งสาวใช้ที่ติดตามนางมาจากบ้านเดิม “หยุด!!! หากเจ้าจะไปก็กลายเป็นศพออกไปเสีย แต่งเข้าตระกูลกงแล้ว ถึงตายก็ต้องเป็นผีตระกูลกง” กงหลี่เฉียงตวาดออกมาเสียงดัง แต่ที่น่าขันที่สุดเห็นจะเป็นแม่สามีของนาง กลับลุกออกมาจากเรือนของนางได้ ทั้งๆ ที่ในแต่ละวันล้วนแต่นอนป่วยอยู่บนเตียง “ใช่แล้ว อาเฉียงพูดถูก หากเจ้าจะออกไปก็ต้องกลายเป็นวิญญาณเท่านั้น” นางเดินเข้าไปจับมือของซิงเยียนราวกับปลอบใจนางที่ได้รับความไม่ยุติธรรม "หึหึ ท่านแม่ ท่านหายป่วยแล้วรึเจ้าคะ” นางจ้องมองพวกเขาอย่างโกรธแค้น ไม่ว่ายาดีอันใดที่นางเพียรหามารักษา สมุนไพรราคาแพงนางก็ยอมจ่ายเงินซื้อ ก็ไม่อาจทำให้แม่สามีของนางลุกขึ้นมาจากเตียงได้ เห็นทีคงเป็นเพียงละครงิ้วบทหนึ่งเท่านั้น “ข้าเป็นอันใดอย่างงั้นรึ” นางมองเยว่ชิงด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ ราวกับว่ากำลังถูกเยว่ชิงใส่ร้าย “ข้าเข้าใจแล้ว เป็นข้าที่โง่เขลามาตลอด ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในจวนที่มาจากสินเดิมของข้า และเรื่องรักษาท่าน เพื่อให้หลี่เฉียงมีเวลาไปอยู่กับแม่นางตู้ หึหึ ตัวข้าช่างน่าขันนัก” ใบหน้าของสองแม่ลูกเบ้อย่างไม่น่ามอง เมื่อถูกเยว่ชิงเปิดโปงเรื่องที่พวกเขานำสินเดิมของนางมาใช้จ่าย นางหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ก่อนจะกระซิบสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย “ฮูหยิน” นางเอ่ยเรียกเสียงสั่น “ไปเอามา” นางเอ่ยเสียงเบา พร้อมกับผลักสาวใช้เบาๆ อาอิงรู้ดีว่าคุณหนูของนางใจกล้าเพียงใด แต่ไม่คิดว่านางจะเลือกหนทางนี้ แต่ก็ยังไปทำตามคำสั่งอยู่ดี ทั้งสามไม่รู้ว่า สองนายบ่าวกระซิบกระซาบอันใดกัน ได้แต่มองอาอิงหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนอย่างสงสัย เมื่อนางกลับมาพร้อมมีดสั้นในมือ ทั้งสามก็มีใบหน้าที่ซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าจะทำอันใด” กงหลี่เฉียงดันตัวตู้ซิงเยียนไปไว้ด้านหลัง ยิ่งทำให้เยว่ชิงปวดใจมากกว่าเดิม บุรุษที่นางเลือกเองกับมือ กล้าทำร้ายจิตใจของนางมากถึงเพียงนี้ แต่เรื่องนี้จะโทษใครได้ หากเขาไม่เอาใจใส่นางตลอดหลายปีก่อนที่จะแต่งงาน นางจะเลือกเขาได้อย่างไร ทั้งหน้ากากบุรุษแสนดีที่เขาสวมไว้ ทำให้นางเชื่อหมดใจว่าเขารักนางมากจริงๆ เยว่ชิงเดินเข้าไปหาทั้งสามคนช้าๆ พร้อมทั้งกำมีดในมือแน่น “กง หลี่ เฉียง ท่านฟังคำข้าให้ดี” นางยิ้มเย็นออกมาอย่างน่ากลัว “เจ้า เจ้า อย่าได้คิดบ้าๆ เด็ดขาด” “ข้า หลิวเยว่ชิง ชาตินี้คิดผิดที่เลือกบุรุษเช่นท่านเป็นสามี หากมีชาติหน้าจริง ขออย่าได้พบเจอท่านอีก หากพบเจอก็ให้นึกรังเกียจราวกับพบเดรัจฉาน ข้าขอให้ท่านมิได้สิ่งใดหรือสมหวังเรื่องใดอีกเลย” เยว่ชิงใช้มีดสั้นในมือของนางปักเข้าที่หัวใจของนางทันที
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
"สวัสดีค่ะ วันนี้หลิงหลิงจะมานำเสมอการออกกำลังกายเพื่อให้คุณมีหุ่นเหมือนหลิงหลิงค่าาาา" ทุกวันของซิงหลิงนอกจากงานถ่ายแบบเดินแบบที่เธอยึดเป็นอาชีพหลักแล้ว ก็คงเป็นอีกอย่างคือการถ่ายทอดชีวิตในแต่ละวันของเธอลงโซเซียลให้คนติดตาม ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า เธอเริ่มตั้งกล้องเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าเธอดูแลตนเองเช่นไร ตั้งแต่ยาสีฟันที่ใช้เพื่อทำให้ฟันของเธอขาว (แต่ความจริงเธอก็เข้าคลินิกเพื่อทำวีเนียร์) หรือจะเป็นมาร์คหน้าที่ใช้ก่อนจะลงครีม ขั้นตอนการลงเซรั่มไปจนถึงครีม แม้แต่การแต่งหน้าที่ดูธรรมชาติจนเหมือนไม่ได้แต่ง เรื่องอาหารการกินเธอก็ทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกซื้อผัก เนื้อสัตว์ไปจนถึงปรุงสำเร็จ การออกกำลังกายควรออกท่าไหน เพื่อให้ส่วนใดกระชับ ชิงหลิงเธอทั้งตั้งกล้องตัดต่อด้วยตนเองทั้งสิ้น ทุกคลิปของเธอสร้างรายได้มหาศาลมากกว่าเงินค่าจ้างเดินแบบเสียอีก หากผู้ติดตามเบื่อคลิปรูปแบบเดิมๆ เธอก็ออกไปถ่ายสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ แม้กระทั่งการขุดรากบัวขึ้นมาทำแป้งรากบัวเพื่อสุขภาพ หรือจะเป็นสบู่ล้างหน้า อาบน้ำแบบออแกนิค เธอก็ถ่ายทำทุกขั้นตอนให้ได้ชม คนยุคใหม่ชื่นชอบคลิปของเธอมากนักจนมีคนทำตามวิธีของเธอจนสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้จริง จนทำให้ชื่อเสียงของเธอเพิ่มขึ้นอีกมาก วันนี้ก็เช่นกัน ชิงหลิง ตื่นขึ้นมาตั้งกล้องทำทุกอย่างเช่นปกติ ทั้งยังพูดแนะนำไปตามแบบของเธอ จนเมื่อถึงตอนที่ไลฟ์สดกินอาหารเพื่อให้ทุกคนได้ดู ชิงหลิงอ่านทุกคอมเม้นและโต้ตอบกับผู้ติดตามเช่นปกติ “พี่หลิงหลิง ไม่กลัวอาหารติดคอหรือคะ พูดไปกินไป” “ฮ่า ฮ่า ไม่ค่ะ ทุกครั้งหลิงหลิงก็ทำแบบนี้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนนะคะ” เธอขยิบตาให้กล้องอย่างซุกซน แต่แล้วเหตุการณ์ที่เธอไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิด เนื้ออกไก่ชิ้นใหญ่หลุดเข้าไปในหลอดลมของเธอ คอมเม้นจากผู้ติดตาม กระหน่ำถามรัวๆ ว่าเธอเป็นอะไร ตอนนี้ชิงหลิง เธอหลบออกจากกล้อง เพราะเริ่มหายใจไม่ออก เธอพยายามล่วงคอเพื่อเอาเศษอาหารออกแต่ก็ไม่เป็นผล เธอใช้ท้องกระแทกกับพนักพิงของเก้าอี้อยู่หลายครั้ง แต่ที่ไม่ออกเสียที เพราะเธอไม่กล้าออกแรงมาก กลัวท้องจะเป็นรอยช้ำ เมื่อใส่เสื้อออกกำลังกายแล้วคนจะเห็น ครั้งนี้ชิงหลิงคิดน้อยไปเสียหน่อย เพราะมันไม่โชคดีเหมือนครั้งก่อนๆ เธอลืมหายใจไม่ออกจนล้มไปนั่งกลับพื้น เธอพยายามคลานไปที่โทรศัพท์เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ติดตามที่กำลังดูไลฟ์สดอยู่ เพียงอีกแค่ช่วงมือเดียวที่เธอจะเอื้อมถึง แต่กลับหมดเรี่ยวแรงเสียก่อน เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายทุบไปที่โต๊ะทานอาหารเพื่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ มีหนึ่งในผู้ติดตามพบความผิดปกตินี้ แล้วโทรตามรถพยาบาลให้เธอ แต่อนิจจา ไม่มีผู้ใดรู้ที่อยู่ของเธอ เพราะเธอหวาดกลัวพวกโรคจิตที่ชอบส่งข้อความแปลกมาหาเธอ ทุกครั้งที่ถ่ายคลิปหรือไลฟ์สด เธอจะไม่ถ่ายมุมกว้างเพื่อให้ผู้อื่นรู้ที่อยู่ของเธอ ชิงหลิงสิ้นใจลงในห้องพักของเธอในเช้าวันนั้น กว่าผู้จัดการของเธอจะรู้เรื่องก็เกือบจะถึงเวลานัดเพื่อไปถ่ายงาน แต่เธอไม่มาเสียทีเขาจึงมาดูที่ห้อง ไลฟ์สดของเธอก็ยังเปิดอยู่พร้อมทั้งคอมเม้นที่ยังเด้งไม่หยุดเพื่อถามว่าเธอเป็นเช่นไรกันแน่
ใบฟาง นักโจรกรรม เธอโดนทิ้งไว้ในบ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เมื่อไหร่ตัวเธอก็ไม่ทราบ อาจจะพูดได้ว่าเมื่อเธอจำความได้เธอก็คิดว่าที่นี่คือบ้านของเธอแล้ว เมื่ออายุได้ห้าขวบ มีสองสามีภรรยาชาวจีนรับตัวเธอไปเลี้ยงดูในฐานะบุตรบุญธรรม ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำการค้า แต่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ นี่คือสิ่งที่คนภายนอกรับรู้ผ่านเอกสารที่ปลอมแปลงมาเรียบร้อยแล้ว แต่ความจริงทั้งคู่คือนักโจรกรรมที่ตำรวจทั่วโลกต้องการตัว ทุกครั้งที่ออกทำภารกิจสองสามีภรรยาจะปลอมแปลงหน้าตาและบุคลิกของตนเองทุกครั้ง ทำให้ไม่มีใครจับผิดทั้งคู่ได้ แม้กระทั่งลายนิ้วมือทั้งคู่ก็สามารถเปลี่ยนได้ทุกครั้ง เมื่อใบฟางถูกรับมาเลี้ยงดูแล้ว ทั้งคู่สอนทุกสิ่งที่ตนรู้และเล่ห์เหลี่ยมที่ตนมีให้กับใบฟางทั้งหมด ใบฟางที่เป็นเพียงเด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจโลกที่โหดร้าย หลังจากที่ถูกฝึกจนพอจะเริ่มทำภารกิจได้ ในวัยเพียงหกขวบงานแรกของเธอคือ ขโมยกระเป๋าสตางค์ ซึ่งเธอก็ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นความเร็วและความสามารถของเธอ ในวัยเจ็ดขวบเธอเริ่มชำนาด้านการขโมยของเล็กของน้อย จนหลอกล่วงคนอื่น วัยแปดขวบเธอแสดงความสามารถโดยการเข้าร่วมงานประมูลกับพ่อแม่บุญธรรมและได้ขโมยแหวนเพชรมูลค่าเกือบสิบล้านหยวนมาได้ ทุกครั้งที่เธอได้รับภารกิจเธอตั้งใจทำอย่างมากเพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้ทั้งคู่รักเธอ เพียงแค่ได้รับคำชื่นชมจากทั้งคู่เธอจึงคิดเสมอว่านี่คือคนที่เป็นพ่อแม่ของเธอ การแสดงความรักของเธอคืองานที่ได้รับจะต้องไม่มีสิ่งใดผิดพลาดเพื่อให้พ่อแม่บุญธรรมรักเธอ แต่สิ่งที่เธอคิดเป็นสิ่งที่ผิดมาตลอด เมื่ออายุได้ยี่สิบปีเธอทำงานพลาดครั้งแรก เกือบจะถูกตำรวจจับตัวได้ พ่อแม่บุญธรรมที่เธอคิดเสมอว่าคือคนในครอบครัวได้หลบหนีทิ้งเธอไว้โดยไม่หันกลับมามอง จนเมื่อเธอซ่อนตัวจนตำรวจคิดว่าเธอหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ข่าวตามล่าเธอเงียบหายไป ทั้งคู่จึงได้ติดต่อกลับมา เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหากจวนตัวต้องเอาตัวรอดให้ได้ แต่เธอหวังเพียงอยากให้ทั้งคู่รักเธออย่างที่เธอรักพ่อแม่บุญธรรมสักนิดก็ยังดี เมื่อเบื่อที่ต้องใช้ชีวิตหลบหนีตำรวจ รวมทั้งองค์กรใต้ดินที่ตามล่าค่าหัวเธออย่างหนัก ทั้งคู่จึงขอให้เธอทำงานสุดท้ายให้ คือขโมยหยกเหอเถียนที่เพิ่งค้นพบเจออายุราวๆสามพันปี งานนี้ไม่ง่ายแต่หากจะแลกมาด้วยอิสระภาพที่ทั้งคู่จะยอมปล่อยเธอไป เธอจึงตกลงรับงานนี้ เธอใช้เวลาดูสถานที่ ทางหนีทีไล่อยู่สองสัปดาห์ เมื่อมั่นใจว่าเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มออกปฏิบัติการ หยกเหอเถียน ที่เธอต้องขโมยเป็นเพียงกำไลข้อมือเท่านั่น ระบบนิรภัยที่แน่นหนาไม่เกินความสามารถของเธอ เมื่อนำออกมาได้ก็เตรียมหลบหนี แต่ใครจะรู้ว่าพ่อแม่บุญธรรมที่แสนน่าเคารพรักนั้นได้ขายข้อมูลให้กับองค์กรใต้ดินเพื่อชิงของจากเธอ พร้อมทั้งฆ่าเธอเพื่อรับค่าหัวที่มูลค่าสูง แม้การต่อสู้ที่ถูกฝึกมาอย่างชำนาญ อาวุธในมือ มีดสั้น ปืนถูกนำออกมาใช้ ถึงจะฆ่าคนฝุ่นนั่นไปเยอะเพียงใด แต่เธอคนเดียวจะสู้คนที่เตรียมพร้อมมาถึงสามสิบคนได้อย่างไร ใบฟางหัวเราะให้กับความโง่ของเธอ แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่บุญธรรมก็ยังขายเธอได้ เธอเย้ยหยันให้กับชีวิตที่บัดซบ สาปแช่งเทพแห่งโชคชะตาที่ให้เธอมาเกิดกับพ่อแม่แท้ๆที่ไม่ต้องการเธอ แล้วยังส่งพ่อแม่บุญธรรมที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องพบจุดจบเช่นนี้
รูรักอันบริสุทธิ์เมื่อถูกปลายลิ้นร้อนของชายหนุ่มเป็นครั้งแรกดูเหมือนว่าจะตอบสนองได้เป็นอย่างดี ร่องของนางขมิบรัว สะโพกของนางยกขึ้นยังเด้งเข้าไปหาปากร้อน ฝ่าบาทเก่งกาจยังสามารถแยงลิ้นเข้าไปในรู อันซูเซี่ยถูกทาขี้ผึ้งหอมรอบปากทาง ขี้ผึ้งนี้นอกจากจะมีรสชาติดีส่งเสริมรสน้ำรักของนางแล้วยังมีคุณสมบัติอันวิเศษ แม้จะเป็นหญิงพรหมจรรย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด และเผลอทำร้ายฝ่าบาทจนบาดเจ็บ อี้หลงดูดแบะขาของนางให้กว้างขึ้นแล้วรวบขึ้นไปให้ขาชี้ฟ้า จากนั้นมุดใบหน้าลงมาอย่างหลงใหล “หอมอร่อยเหลือเกิน รู้สึกเหมือนดื่มสุราไม่เมามาย อ้า ข้าชอบยิ่ง หอยของฮองเฮาช่างใหญ่โต ดูโคกเนื้อโยนีแทบจะล้นริมฝีปากของข้า สีแดงเช่นนี้คงไม่เคยผ่านสิ่งใดมาก่อน บริสุทธิ์ยิ่งนัก ซี้ด” นางดิ้นเร่าอยู่ในปาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรนอกจากเชื่อฟังในคำของฝ่าบาท “อืม อร่อยยิ่งนัก อ้า ข้าไม่ไหวแล้วขอดูหน้าฮองเฮาของข้าหน่อยเถิด” ดูเหมือนว่าร่องรักของนางยังขมิบ นางไม่อยากให้เขาเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้นด้วยซ้ำ อยากถูกปลายลิ้นเลียเช่นนั้นจนกว่านางจะได้รับการปลดปล่อย “อ้า ฝ่าบาทเพคะ อย่าหยุดเพคะ อื้อ” นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักสำหรับผู้ใหญ่ มี 2 เล่มจบ เป็นนิยายแบบพล็อตอ่อน เน้นฉากรักบนเตียงของตัวละครเป็นหลัก เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่เหมาะสำหรับสายคลีนใส ๆ นะคะ หากใครไม่ชอบอ่าน NC เยอะ ๆ กรุณาเลื่อนผ่าน เพราะเรื่องนี้เน้น NC เป็นหลักค่ะ ซีไซต์ นักเขียน
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"