ในวันที่ตระกูลเหลิ่งและตระกูลฉู่จัดงานแต่งงาน
ไฟที่โหมกระหน่ำได้ลุกโชนจนทำให้ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดง
ฉู่จินเหอได้แต่มองดูเหลิ่งมู่หยวนสามีที่เธอเพิ่งแต่งงานด้วยอุ้มไป่ฉู่ฉู่วิ่งออกมาจากกองไฟ โดยไม่หันหลังกลับมาเหลียวแลเธอเลยแม้แต่น้อย
ฉู่จินเหอถูกทับอยู่ใต้ป้ายขนาดใหญ่ น้ำตาไหลนองหน้าไม่สามารถขยับตัวได้
ควันหนา ๆ พวยพุ่งขึ้นมา ก่อนที่ฉู่จินเหอจะหมดสติไป เธอแทบจะรู้ชะตาชีวิตได้เลยว่าวันนี้เธอจะถูกฝังอยู่ในทะเลเพลิงนี้แน่ ๆ
และแล้วในเวลาแห่งความเป็นความตาย
มีคนมาอุ้มเธอขึ้นไปแล้ว
เสียงเต้นของหัวใจที่รุนแรงทำให้ฉู่จินเหอรู้สึกจิตใจสงบสุขได้อย่างอธิบายไม่ถูก
“ซ่า——”
ทันใดนั้น ฉู่จินเหอก็ได้กลิ่นเนื้อสด ๆ ที่ถูกย่างโชยขึ้นมา!
เธอพยายามลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตกใจ แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับมีเพียงหมอกควันที่หนาทึบจนทำให้หายใจไม่ออกเท่านั้น
เธอยื่นมือออกไปมั่ว ๆ หลังจากนั้นภายในชั่วพริบตา นิ้วของเธอก็สัมผัสไปโดนอะไรบางอย่างที่เหนียว ๆ แล้วร่างกายของชายคนนั้นก็หลบเธอไปด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็เป็นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น หลังจากนั้นชายคนนั้นก็หยุดเคลื่อนไหวและปล่อยให้เธอสัมผัสได้ตามอำเภอใจ
มีเสียงลมหวีดร้องขึ้นที่ข้างหู
ฉู่จินเหอรู้สึกว่าอาการแสบร้อนบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ จางหายไปแล้ว
เธอพยายามลืมตาขึ้นมา เพื่อจะดูว่าใครกันที่เป็นคนช่วยเธอเอาไว้
ซึ่งในฉากที่สลัว ๆ นี้ เธอมองเห็นเพียงไฝที่หางตาของชายคนนั้นเท่านั้น
เธอจ้องมองไฝนั้นด้วยความรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างอธิบายไม่ถูก
ตอนที่เธอกำลังสะลึมสะลือและจะหมดสติไป
ฉู่จินเหอได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบว่า “คุณท่าน รถพยาบาลมาแล้วครับ คนของตระกูลฉู่ต่างก็อยู่บนรถกันหมดแล้ว พวกเราไปกันก่อนเถอะครับ แผลใหญ่ที่แขนของคุณต้องได้รับการรักษานะครับ อีกอย่างวันนี้ก็เป็นงานแต่งงานใหญ่ของคุณจินเหอด้วย หากคุณตามไปด้วยอีกมันจะไม่เหมาะสมเอานะครับ”
……
ฉู่จินเหอตื่นขึ้นมาคนเดียวในห้องผู้ป่วยราคาถูกของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ด้านนอกพระจันทร์กำลังส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าสูง ๆ บริเวณรอบ ๆ เงียบอย่างกับป่าช้า สามีที่เธอเพิ่งแต่งงานด้วยหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉู่จินเหอซี่โครงหักหนึ่งซี่ มีแผลถลอกที่ดูน่ากลัวมากหนึ่งรอยบนแก้มฝั่งซ้าย หมอบอกว่า แผลนี้จะต้องทำการดูแลแผลอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นจะทำให้กลายเป็นแผลเป็นได้ในอนาคต
เช้าวันรุ่งขึ้น หมอก็เข้ามาตรวจคนไข้อีกครั้ง
เขาหันมองไปรอบ ๆ และถามฉู่จินเหอขึ้นมาว่า “แล้วญาติล่ะครับ?”
ฉู่จินเหอส่ายหน้าไปมาด้วยความขมขื่น
เธอโทรหาเหลิ่งมู่หยวนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลย
หมอถอนหายใจและเตือนถึงเรื่องที่ต้องระวังว่า “ตอนนี้คุณยังเคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่มากนัก จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ถ้าหากไม่มีจริง ๆ งั้นก็คงต้องให้พยาบาลติดต่อผู้ดูแลให้คุณสักคนนะครับ”
พยาบาลที่อยู่ข้าง ๆ พูดว่า “เอ๊ะ คุณคือเจ้าสาวในกองเพลิงที่อยู่ในงานเลี้ยงฉลองการแต่งงานที่เป็นข่าวไม่ใช่หรอกเหรอคะ แล้วสามีของคุณไม่ได้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณเหรอคะ?”
หัวหน้าพยาบาลที่อยู่ข้าง ๆ พอได้ยินเช่นนั้นก็กระแอมออกมาสองครั้ง แล้วก็สะกิดแขนพยาบาลสาวก่อนจะพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เฝ้าไข้ผู้ป่วยชั้นบนน่ะ”
พยาบาลสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า “อ้าว!” แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดต่อว่า “แต่ไป่ฉู่ฉู่แค่มือถลอกนิดเดียวเองนะคะ!”
ฉู่จินเหอต่างหากที่ควรจะต้องมีคนมาคอยดูแล
หัวหน้าพยาบาลก็ถอนหายใจและส่ายหัวไปมาก่อนจะพูดขึ้นว่า “คนที่มีสถานะสูงส่งก็ย่อมต้องมีผู้คนคอยรายล้อมอยู่รอบตัวเป็นธรรมดา ถึงได้มีคนพูดที่ว่า เป็นคนเหมือนกันแต่บุญวาสนาต่างกันยังไงล่ะ”
วินาทีนั้น
ฉู่จินเหอรับรู้สึกย่ำแย่อย่างถึงที่สุด เธอนั่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เลือดของเธอเย็นเฉียบ ร่างกายของเธอสั่นเทาเล็กน้อย