รามสูรผู้ที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปฏิเสธ เมขลาผู้หญิงคนแรกที่กล้าปฎิเสธเขา เพราะค่ำคืนที่เร่าร้อนเพียงคืนเดียว ทำให้เขาติดใจในตัวเธอ แต่เธอกลับคิดจะหนี รามสูรจึงวางแผนเพื่อให้เมขลา มาเป็นทาสรักของเขา แต่ว่าไป ๆ มา ๆ เธอกลับได้เป็นเจ้าของหัวใจของเขาซะนี่
"เจ๊ มา ๆ ทางนี้ ทางนี้"
เสียงเพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานส่งเสียงตะโกนเรียก เมขลา หรือ เม พร้อมกับกวักมือเรียกเธอให้เดินเข้าไปหา ทุกคนยืนรอที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งในย่านแหล่งท่องเที่ยว วันนี้ที่แผนกของเธอมีการนัดเลี้ยงสังสรรค์กันประจำไตรมาส ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคราวนี้ถึงพากันมายังสถานที่แบบนี้ด้วย ซึ่งทุกทีก็ไปตามร้านอาหารธรรมดาหรือไม่ก็ร้านหมูกระทะซะมากกว่า จะบอกว่าเธอไม่ค่อยชินกับสถานที่แบบนี้เลยไม่ใช่ไม่ชอบนะแค่ไม่ชิน
"โอ้ย กว่าจะถึง ทำไมต้องมาที่แบบนี้ด้วยนะ"
เมขลาโวยเอากับเพื่อน ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย
พี่พัชร สาวใหญ่ใจดี อายุก็เลยหลักสี่ไปหลายแล้วแต่ก็ยังดูสวยใส และอ่อนกว่าวัย ตำแหน่งผู้จัดการแผนก
กระแต สาวน้อยวัยใสเพิ่งจบใหม่ มาทำงานได้สามเดือน
กระเจี๊ยบ สาวสวยประจำแผนกมีหนุ่ม ๆ ตามจีบไม่เว้นแต่ละวันวัยเบญจเพสพอดี
แล้วก็เธอ เมขลา อายุครบ 29 ขวบ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง
"นี่แล้วเธอแต่งตัวอะไรของเธอ มาเที่ยวผับนะยะ ไม่ได้ไปวัด"
พี่พัชรพูดพร้อมกับกวาดตามองเมขลาตั้งแต่หัวจรดเท้า มองการแต่งตัวของเธอที่สวมกางเกงยีนส์ขายาวทรงบอย กับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวตัวโคร่งติดกระดุมถึงเม็ดสุดท้าย
"พี่พัชรก็พูดเกินไป แบบนี้แหละสวยแล้ว สวยในแบบของหนู เขาไม่ได้กำหนดซะหน่อยว่าต้องแต่งแบบใหน"
เมขลาตอบสาวใหญ่ผู้จัดการแผนกไป
"มิน่าล่ะ เจ๊ถึงไม่มีแฟนสักที"
กระแตพูดขึ้นบ้าง
"การที่จะมีแฟนหรือไม่มีแฟนมันอยู่ที่เบ้าหน้าจ้าไม่ใช่การแต่งตัว เอ็งดูเบ้าหน้าเจ๊แกด้วย"
เมขลาตอบกระแตไป เพราะเธอคิดว่าที่ไม่มีใครมาจีบเธอนั้นเป็นเพราะว่าเธอขี้เหร่
"เข้าไปกันเถอะค่ะเจ๊ ๆ หนูยืนจนปวดขาแล้ว"
กระเจี๊ยบบอกกับทุกคนบ้าง ทั้งสี่คนจึงเดินเข้าไปข้างในร้าน เมื่อเข้ามาแล้วพี่พัชรบอกกับเด็กในร้านว่าจองโต๊ะไว้แล้ว เด็กคนนั้นจึงเดินนำไปยังโต๊ะที่จองไว้
เมขลาทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บัญชีของบริษัทขนส่งขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในส่วนที่เธอทำคือสาขาย่อยไม่ใช่สำนักงานใหญ่ ที่ทำงานของเธออยู่ในเขตลาดกระบัง ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิแผนกเธอมีทั้งหมดสี่คนเป็นสาว ๆ ล้วน ปกติจะมีการสังสรรค์กันทุก ๆ ไตรมาสหรือสามเดือน โดยพี่พัชรให้เหตุผลว่าเพื่อกระชับพื้นที่ เอ้ยไม่ใช่ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่เมขลาคิดว่าน่าจะตอบสนองนี้ดของพี่พัชรมากกว่า
เมื่อนั่งโต๊ะกันเรียบร้อยแล้วก็สั่งเครื่องดื่มกับอาหาร
"เอายำสามกรอบ แป๊ะซะปลาช่อน แล้วก็ต้มยำกุ้ง เครื่องดื่ม เอาสปายคลาสสิคละกันเนาะ"
พี่พัชรกางเมนูแล้วก็สั่งเผื่อทุก ๆ คนไปด้วยเลย เมื่อไม่มีเสียงคัดค้านเธอจึงคืนเมนูให้เด็กเสิร์ฟไป ระหว่างนั่งรออาหารและเครื่องดื่มก็นั่งมองผู้ชายไปพลาง ๆ
"เจ้ ๆ ดูนั่นสิ น่ารักน่าชัง"
กระแตกรี๊ดกร๊าดพลางสะกิดให้เมขลากับกระเจี๊ยบดูหนุ่มหน้าใสนายหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
"เพื่อนสาวรึเปล่ายัยกระแต"
กระเจี๊ยบเอ่ยปากพูดออกมา
"ใช่ ๆ หน้าใสซะขนาดนั้น"
เมขลาพูดขึ้นบ้าง
ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคักหลังจากอิ่มหนำสำราญจากอาหารการกินแล้ว ทุกคนก็ผลัดกันออกไปดิ้นมีแต่เมขลาเท่านั้นแหละที่นั่งเฝ้าโต๊ะอยู่ โดยเธอให้เหตุผลกับเพื่อน ๆ ว่าไม่สันทัดเต้น ชอบดูมากกว่า
"ตามใจ"
พี่พัชรพูดแค่นั้นก็เดินกลับไปเต้นต่อหลังจากที่พยายามมาลากเมขลาไปแต่เธอไม่ยอมขยับ เมขลาก็นั่งมองอะไรไปเรื่อย ๆ จิบสปายไปพลาง ๆ ซึ่งขวดนี้ก็คือขวดเดียวกับที่สั่งมาตั้งแต่ตอนแรก ๆนั่นแหละ พี่พัชรเปรย ๆ ว่านี่เธอกินหรือดมเอากันแน่ เมขลาได้แต่ยิ้ม ๆ แล้วก็บอกว่าไม่อยากเมาคอยสังเกตุการณ์ดีกว่า เธอมองโน่นมองนี่ไปเรื่อย ๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับโต๊ะ ๆ หนึ่งตรงโซน วีไอพี เธอขยับแว่นสายตา แล้วก็เพ่งมองไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางขนาบข้างซ้ายขวาด้วยผู้ชายตัวใหญ่ข้างละคน แถมยังมีที่ยืนอยู่รอบ ๆ โต๊ะอีกสองสามคนด้วยน่าจะเป็นบอดี้การ์ด
"โอ้โห สงสัยคงเป็นมาเฟีย เคยเห็นแต่ในละคร ในชีวิตจริงก็มีด้วยแฮะ"
เมขลาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางขยับแว่นสายตาอีกรอบ เธอพิจารณาผู้ชายกลุ่มนั้น ไม่เสียแรงที่มาสถานที่แบบนี้ ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นด้วย แล้วก็หันมาพิจารณาผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้า
"อืม ! มาดก็ดูน่าเกรงขามดี ถึงจะดูหนุ่มไปสักหน่อย นึกว่ามาเฟียจะมีแต่แก่ ๆ ซะอีก แถมยังหน้าตาดีด้วยแฮะ หรือจะไม่ใช่มาเฟีย ดาราหรือเปล่า หรือว่านักการเมือง "
เมขลาพิจารณาเขาคนนั้นพร้อมกับเดาสถานะของเขาไปด้วย แล้วเธอก็ใจหายวูบ เมื่อเขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากพลางชูแก้วในมือเป็นการทักทาย เมขลารีบหลบสายตาเขาทันที เสมองไปทางอื่น ทำทีเป็นก้มมองโทรศัพท์ ทั้งที่ในใจเต้นโครมคราม
"จะยิงตรูส์เปล่าวะ ไม่น่าสอดรู้สอดเห็นเลยเรา"
เมขลาบ่นพึมพำในใจ พอดีกับจังหวะที่พวกเพื่อน ๆ เดินกลับมาที่โต๊ะ
"เจ๊ เป็นไรอ้ะ หน้าซีดเชียว เมาเหรอ"
กระแตถามเมื่อเห็นท่าทางเลิ่กลั่กของเมขลา
" เปล่า ๆ ไม่เป็นไร แล้วนี่เลิกเต้นกันแล้วเหรอ"
เมขลาเอ่ยถามเพื่อน ๆ
"นั่งพักก่อน คอแห้ง"
กระเจี๊ยบตอบ แล้วหันไปสั่งสปายเพิ่ม พร้อมกับคะยั้นคะยอให้เมขลาดื่ม เธอจึงยกขวดกระดกรวดเดียวหมดไปเกือบครึ่ง ในใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นผสมความกลัว
"ไปห้องน้ำแป๊บนะ"
บอกเพื่อน ๆ แล้วเมขลาก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จเธอก็มายืนที่หน้ากระจกถอดแว่นตาเอาน้ำลูบหน้าสักหน่อยเพื่อความสดชื่น สำรวจความเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องน้ำ ระหว่างเดินก็ก้มหน้าก้มตาเช็ดแว่นไปด้วย จะด้วยเพราะความเมา เพราะความมืด หรือเป็นเพราะไม่ได้สวมแว่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้เธอเดินชนกับใครบางคน เธอกระเด้งออกมาทันทีมือลูบหน้าผากป้อย ๆ เนื่องจากความสูงของเธออยู่แค่ระดับหน้าอกเขา อีกอย่างเดินก้มหน้าก้มตาแบบนั้นทำให้ส่วนที่สัมผัสกันคือหน้าอกเขากับหน้าผากเธอ
"ขอโทษค่ะ"
เมื่อตั้งหลักได้ เธอก็เอ่ยปากขอโทษเขาทันทีพร้อมกับรีบเอาแว่นในมือขึ้นมาสวม เมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้นแล้วเมขลาก็หัวใจกระตุกวูบ ดูเหมือนว่ามันจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยแล้วถ้าเป็นไปได้
"ไม่เป็นไร"
เขากล่าวออกมา เหมือนการ์ดเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงทำท่าจะเดินเข้ามาเพื่อกันเมขลาออก แต่เขากลับส่งสายตาปรามไว้
"แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่า"
เขาถามเธอ ถ้าหูไม่ฝาดเหมือนเสียงนั้นจะเจือหัวเราะไปด้วย เมขลาขยับแว่นเงยหน้าขึ้นสบตาเขาพลางคิดในใจ
'ขำอะไรยะ'
แต่ปากตอบออกไป
"ไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวนะคะ"
เธอเดินออกมาจากบริเวณนั้นด้วยใจที่เต้นโครมคราม เมื่อมาถึงที่โต๊ะแล้ว ก็เห็นกระแตนั่งอยู่คนเดียว
"พวกพี่ ๆ ล่ะ"
"นู่นนน"
กระแตชี้มือ เมขลามองตามก็เห็นสองสาวสองวัยแด๊นซ์กระจายอยู่กลางฟลอ
"ไม่ไปเต้นล่ะ"
เธอถามเพื่อนรุ่นน้อง
"เหนื่อยแล้ว นั่งอ่อยผู้ชายดีกว่าพี่"
เมขลาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เธอกับกระแตก็จิบสปายต่อ ครู่ใหญ่ ๆ พี่พัชรกับกระเจี๊ยบก็เดินเข้ามา
"ยัย เม แกไปทำอะไรไว้ "
"ทำไมเหรอพี่"
"ก็.."
พี่พัชรหันไปมองหน้ากระเจี๊ยบแล้วพูดต่อ
"มีผู้ชาย มาขอเลี้ยงเหล้าพวกเราน่ะสิ"
"เห้ย..แล้วทำไมถึงคิดว่าเป็นหนูล่ะ อาจจะเป็นยัยกระแตก็ได้"
"จะเป็นยัยกระแตได้ไง ก็เขาระบุว่าอยากเลี้ยงเหล้าแก"
เมื่อพี่พัชรพูดจบกระแตก็ขยับเข้ามาใกล้ ๆ พี่พัชร ทั้งสี่คนหัวสุมกัน
"ผู้ชายที่ใหนกันพี่ ช่างตาถั่ว เอ้ยตาถึง"
กระแตถามพร้อมกับหัวเราะแหะ ๆ พี่พัชรเงยหน้าขึ้นแล้วก็หันหน้าไปทางโซนวีไอพี ตำแหน่งตรงโต๊ะของคนที่เมขลาคิดว่าน่าจะเป็นมาเฟีย ดาราหรืออาจจะเป็นนักการเมืองคนนั้น และหรือคนที่เมขลาเดินชนหน้าห้องน้ำนั่นเอง
"คุณราม หรือ รามสูร เดชณรงค์กุล เขาบอกอยากเลี้ยงเหล้าขอโทษที่เดินชนแกหน้าห้องน้ำ"
เมขลาสตั๊นท์ไปห้าวิ
"เห้ยพี่ เรื่องแค่นี้ถึงกับจะเลี้ยงเหล้ากันเลยเหรอ เขามีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า อย่าเอาของเขาเลยพี่ น่ากลัว ดูเขาสิ มาดอย่างกะมาเฟีย"
เมขลาบอกแล้วก็หันไปทางโต๊ะของเขา ซึ่งก็เหมือนว่าเขากำลังมองมาทางกลุ่มของพวกเธออยู่แล้วด้วยเหมือนกัน กระแตกับกระเจี๊ยบพยักหน้าหงึกหงัก เชิงเห็นด้วยกับเมขลา แต่เพราะด้วยน่าจะความงกของพี่พัชร หรืออะไรก็แล้วแต่
"ไม่ทันแล้วย่ะ ฉันรับไมตรีจากเขาไปแล้ว"
แล้วพี่พัชรก็พูดต่อ
"อย่าคิดมากเลยน่า ไม่มีอะไรหรอก"
หันไปส่งยิ้มให้แล้วก็ชูแก้ว ค้อมศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ
"ห๊ะ อะไรนะพี่ เขาชื่อรามสูรเหรอ ทำไมชื่อคล้องกับพี่เมอย่างนี้ล่ะ รามสูร เมขลา อร๊ายยย!เนื้อคู่รึเปล่าเนี่ย"
กระเจี๊ยบโพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบ พี่พัชรกับกระแตเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ จึงพยักหน้าหงึกหงัก
"นั่นน่ะสิ เนื้อคู่แกมาแล้วยัยเมขลาเอ๊ย"
พี่พัชรพูดพร้อมกับหัวเราะชอบใจ เมขลาหน้าแดงทั้งเขินทั้งเคืองที่โดนแซว
"บ้าน่าพี่เนื้อคงเนื้อคู่อะไรกันเล่า"
เมื่อเห็นเหมือนเมขลาจะเขินทุกคนจึงเลิกแซวเธอ ต่างคนต่างนั่งจิบเครื่องดื่ม สลับกับการออกไปแด๊นซ์
เพราะคิดว่าพ่อที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณ จะเคี้ยวหญ้าอ่อนอย่างเธอ เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง แต่ขวางไปขวางมา กลับกลายเป็นว่าเขากลับเป็นคนเคี้ยวหญ้าต้นนั้นซะเอง
เพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทหักหลัง เธอจึงหนีตามผู้ชายที่รู้จักกันในแอพหาคู่ แม้จะหวาดกลัว แต่ว่าเธอก็ไม่ขอกลับไปเจอเพื่อนทรยศ และคนรักจอมหักหลังอีก
ห้าปีก่อนเธอกับเขามีความสัมพันธ์กัน แต่ด้วยความไม่เหมาะสมหลายอย่าง เธอจึงต้องหนีเขาไป
เจียงซุ่ยแต่งงานกับยู่จินเฉินมาเป็นเวลาสามปี เธอยอมทำงานบ้านทุกอย่างเพื่อเขา ทั้งซักผ้า ทำอาหาร และถูพื้น แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้หัวใจของเขาสลายลงได้ เธอเริ่มตระหนักและตัดสินใจหย่ากับผู้ชายที่เธอรักสุดหัวใจมาเป็นเวลาสามปี เพื่อให้เขาได้ไปอยู่กับผู้หญิงที่เขารักจริง หลังจากที่เธอหย่าแล้ว คนในแวดวงไฮโซล้วนรอดูเรื่องตลกของเธอและล้อเล่นกับเธอว่า"เจียงซุ่ย ทำไมถึงหย่ากับคุณยู่น่ะ" เจียงซุ่ยยิ้ม"เพราะฉันจะกลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลไง ผู้ชายอย่างเขาไม่คู่ควรกับฉันหรอก" อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเธอ วันรุ่งขึ้น ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกปรากฏตัวในข่าวและกลายเป็นว่าเป็นภรรยาเก่าขอยู่จินเฉินด้วย ทุกคนล้วนตกตะลึงไปหมด เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้งหลังจากการหย่าร้าง ยู่จินเฉินมองไปที่ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดคนนั้นซึ่งกำลังถูกรายล้อมไปด้วยหนุ่มหล่อไฮโซมากมาย ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที "คุณเจียง คุณรวยขนาดนี้ ควรหาแฟนที่มีฐานะเสมอกันสิ อย่างผมนี่ ผมยอมให้ทุกอย่างที่ผมมีให้คุณนะ"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
แรกเริ่มเขา 'ซื้อ' เธอมาเพื่อบำบัดความใคร่ เมียชั่วคราวที่มีไว้แก้เหงา แต่สุดท้ายแล้ว...เมียชั่วคราวนั่นแหละ ที่อยากได้เป็นเมียจริงๆ ผู้หญิงสู้ชีวิตอย่างนับดาว...ไม่ยอมแพ้โชคชะตาที่นำพาตนเองไปรับบทน่าอดสู เธอถูกหลอกจากคนที่ไว้ใจที่สุด!! กับการ 'ขายตัว' เขาเหยียดหยามสารพัด ดุถูกจนเธอเจ็บช้ำเจียนตาย เธอเลือกทางหนี เพื่อจบปัญหาน่าปวดหัวครั้งนี้.... ขอเริ่มต้นใหม่ กับชีวิตแบบใหม่ แต่ทำไมล่ะ?...ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยเธอ ในเมื่อเขาชิงชังเธอนักหนานี่นา?????
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด